Siltation ตกตะกอนความปิติในรอบปี ๒๕๕๑
อ่าน: 3267ปีใหม่นี้ไปไหน? ปีใหม่กลับบ้านไหม? ทำไมไม่กลับบ้านไม่คิดถึงครอบครัวเหรอ? เป็นคำถามที่ผมมักได้รับบ่อยๆจากเพื่อนร่วมงาน น้องๆผู้ช่วยงาน แม่บ้านที่มาทำความสะอาดห้อง หรือยามหน้าลิฟต์ ในช่วงเทศกาลวันหยุดยาวปีใหม่สากล รวมถึงวันหยุดยาวปีใหม่ไท(สงกรานต์) ผมมักตอบคำถามเหล่านี้อย่างแกนๆไปตามแต่จะคิดได้หรือตามแต่อารมณ์ในชั่วขณะนั้น งานเยอะบ้าง ติดธุระบ้าง ไม่อยากเบียดคนบ้าง หรือบางทีก็บอกเขาไปว่าเดี๋ยวทางบ้านเป็นฝ่ายมาหาเราเอง แต่คำตอบที่แท้จริงคือ ไม่อยากไปไหนครับ ไม่มีที่ไปครับ ไม่มีครอบครัวครับ อยากอยู่เงียบๆคนเดียวสักสี่ห้าวันครับ
และแล้วเมื่อถึงวันทำงานวันสุดท้ายก่อนหยุดยาวก็จัดการกักตุนเสบียงอาหารเครื่องดื่มขนมครบตามวันที่จะอยู่ในห้อง แล้วก็ไม่ออกจากห้องไปไหนสี่ห้าวัน พร้อมกับปิดการติดต่อสื่อสารทั้งหมด ปีนี้ก็เช่นเดิมครับ แต่คงไม่ถึงกับขังตัวไว้ในห้องเหมือนเมืองไทย เพื่อนร่วมบ้านห้าหกคนกลับหมดแล้ว ได้เวลาปลีกวิเวกเสียที แต่ที่ลาวนี่เขาปิดสำนักงานเฉพาะวันที่๑ มกราคม ส่วนวันสิ้นปีไม่ถือเป็นวันหยุดราชการ
อยู่คนเดียวทำอะไร อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ทบทวนกิจกรรมในรอบปี วางแผนปีหน้า นอน เปิดอาหารกล่องชิม ที่กล่าวมาข้างต้นแค่คิดว่าจะทำนะครับ เผลอแป๊ปเดียวเองผ่านไปห้าวันแล้ว สิ่งที่คิดว่าจะทำแล้วได้ทำสำเร็จก็คือการเปิดกล่องอาหารและขนมจัดการได้หมดตามที่ซื้อมา ปีนี้ลองใหม่นึกอยากเลียนแบบ ส.ค.ส. ที่เคยได้รับจากอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ท่านหนึ่ง ทุกๆปีท่านจะส่งมาเล่าให้ฟังว่าท่านและคู่ชีวิตได้ปั่นเสือหมอบไปที่ไหนได้ระยะทางรวมเท่าไหร่ อย่ากระนั้นเลยเรามาลองนั่งทบทวนความปิติสุขที่ได้รับที่บังเกิดในรอบปีออกมาเป็นบันทึกดีกว่า ส่วนขนมกับอาหารกล่องปีนี้ต้องอด เพราะที่หงสาหากคิดจะตุนก็เห็นจะมีแต่กล้วยน้ำว้าเท่านั้นเอง
สิ่งดีๆในรอบปีนี้ถือว่ามีมากมาย หรืออาจเป็นเพราะรู้จักมองโลกให้สวยงามมากขึ้นก็เป็นได้ลองมาไล่เลียงดูกันเถอะครับ
๑. ปีนี้งานเข้าตั้งแต่ต้นปี ได้ขึ้นล่องแม่น้ำโขงระหว่างหลวงพระบางกับไชยะบุรีครึ่งค่อนเดือน มีความสุขมาก ได้รอดปลอดภัยจากแก่งหลวงทำให้คิดถึงคนที่เก็บไว้ในซอกลึกของสมอง นำออกมาเขียนบันทึกชุด “เขียนถึงคนของหัวใจจากไชยะบุรี” เขียนออกมาจากใจถึงใครบางคนได้อย่างละมุนเล่นเอา(หลอกล่อ)ให้สาวๆมาเป็นแฟนบันทึกได้สองสามราย
๒. จากนั้นได้มาอยู่ในแดนดินสงบสุขแห่งเมืองหงสา เหมือนกับได้ย้อนเวลากลับไปเมื่อยามวัยเด็ก หรือตามหาฝันวัยเด็กที่หล่นหาย ได้สัมผัสธรรมชาติที่งดงาม และขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามที่หายไปจากบ้านเรา เขียนไว้ในบันทึกชุด “เล่าเรื่องเมืองหงสา” ที่เมืองนี้ได้มีโอกาสสร้างแผนงานที่คิดว่าจะสามารถช่วยเหลือพี่น้องให้สามารถฟื้นฟูเยียวยาวิถีชีวิต จากบาดแผลของ “การพัฒนา” ได้มีโอกาสต้อนรับท่านผู้นำอันดับสูงที่กำกับนโยบายของประเทศชาติ ที่สำคัญคือมีโอกาสได้นำเสนอความคิดเห็น สิ่งที่อยากคิดอยากทำ ที่อยากสร้างความสุขให้ผู้เดือดร้อน เริ่มรู้สึกได้ว่าความฝันถึงเมื่อครั้งที่ก้าวออกมาจากงานประจำ ที่ว่า “อยู่ที่นี่ได้ช่วยคนได้เท่านี้ไปอยู่ที่โน่นจะมีโอกาสช่วยคนได้มากกว่านี้ตามศักยภาพของตนเอง” ได้ปรากฏในเชิงประจักษ์
๓. ได้ไปสะพายย่ามเที่ยวลาวเหนือขาไปแบบติดดิน ส่วนขากลับแบบจ้าวน้อย นอกเหนือจากประสบการณ์ และสิ่งที่ได้เรียนรู้ตลอดการเดินทางตามที่เขียนไว้ในบันทึกชุด “รับลมหนาวที่ลาวเหนือ” แล้ว ยังได้ทะลายกำแพงความกลัวของตัวเอง ที่ได้แต่คิดว่าป่วยร่างกายจะไม่ไหว แต่ที่ไหนได้หากใจคิดจะไปที่ไหนๆก็ไปได้ ปีหน้าจะไปสิกขิมให้ดู
๔. ได้เปิดบันทึก siltation ในบ้านหลังที่สองที่เพื่อนบ้านในชุมชนเล็กๆแห่งนี้รู้จักรักใคร่กันแทบทุกคน ตั้งใจไว้ว่าอยากจะเอาไว้เก็บตะกอนความคิด ไม่อยากบันทึกอะไรเรื่อยเปื่อย หากอยากเจ๊าะแจ๊ะก็ออกมาคุยกันที่ลานรวมเอา แต่เอาไปเอามาดูเหมือนจะเริ่มเป๋ ด้วยเหตุมีหลานจอนป่วนมาคอยกวนน้ำไม่ให้ตกตะกอน แต่บ้านหลังเก่าที่ชุมชนเมืองใหญ่ก็ยังแวะไปเยี่ยมเยือนอยู่เสมอ สินค้าที่นำไปแสดงที่ห้องในบ้านชุมชนใหญ่ ตั้งใจจะนำเสนอองค์ความรู้หรือเรื่องแปลกใหม่ ที่จะได้ “ร้อยเรียงเรื่องที่ผ่านพบ” เอาไว้แลกเปลี่ยนกับผู้รู้ท่านอื่นๆ แต่บางครั้งตัดสินใจไม่ได้ก็นำเสนอเสียทั้งสองบ้านเลย
๕. ได้รับ รับความไว้วางใจจากหลายภาคส่วน เจ้าของงาน เพื่อนร่วมงาน พี่น้องชาวบ้านที่ลงไปคลุกคลี ได้รับการร้องเรียก ให้อยู่ต่อ ให้กลับไปทำงานในที่ที่จากมา แสดงว่าแนวทางและความตั้งใจทำงานของเราเป็นที่ถูกใจอยู่
๖. ได้ให้ ทั้งการให้โดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ให้โดยตั้งใจคือการเต็มใจให้กับเพื่อนพ้องน้องพี่ที่เดือดร้อน ให้โดยไม่ตั้งใจคือเขาเดือดร้อนมาขอยืม เห็นเขาเดือดร้อนจริงๆต้องไปรักษาตัวที่เมืองไทย ต้องต่อทุนค้าขาย อะไรทำนองนั้น เมื่อให้ยืมแล้วเขาไม่มีคืนให้ ก็ถือว่าให้เขาไปก็แล้วกัน จำนวนไม่มากไม่น้อยคงเท่าๆกับปีผ่านๆมาทุกๆปี ชะตาเราคงจะเกิดมาเป็นผู้ให้ ให้แล้วเราก็ไม่เดือดร้อนยังคงพอมีข้าวกินอิ่มทุกมื้อคิดว่าได้ให้ปิติก็เกิด
๗. สุดยอดแห่งปิติสุขที่ข้ามไม่ได้คือ การที่ได้มีโอกาสไปพบปะกับเพื่อนแซ่เฮ ทั้งที่ภูเก็ตในเดือนเมษายน และที่เชียงรายเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ขอบรรยายความสุข “ในรูปแบบไร้อักษร” ก็แล้วกัน
นี่เป็นความสุขของผมที่ตกตะกอนได้ครับ
คนเขาว่ากันว่าความปิติสุขก่อให้เกิดพลังไร้ขอบเขต ในโอกาสจะต้อนรับปีใหม่นี้ ขอส่งมอบความปิติสุขที่บังเกิดในจิตใจ ส่งผ่านไปยังผู้อ่านทุกท่าน และเพื่อนร่วมโลกทุกชีวิต