หนึ่ง(คืน)วัน ธรรมสวนะ ที่บ้านเวียงแก้ว
บันทึกนี้ตั้งใจมาก ด้วยความที่ต้องการถ่ายทอดสิ่งที่พบเห็นออกมาให้ทุกท่านจินตนาภาพตามกันไปได้อย่างชัดแจ่ม เป็นเรื่องราวของ หนึ่ง(คืน)วัน ธรรมสวนะที่บ้านเวียงแก้วครับ ชุมชนชาวลื้อแห่งนี้ยืนหยัดรักษาอัตลักษณ์ฮีตคองของตนเองได้อย่างเหนียวแน่น แม้ว่าจะอพยพมาลงหลักปักฐานแปลกปนเป็นคนส่วนน้อยของเมืองหงสาก็ตาม
“คนลื้อไปวัดเฮดบุญแต่เดิก(ดึก)” “ชาวลื้อไปวัดแล้วกลับมานอนหลับได้อีกหนึ่งตื่น” ความนี้ได้ยินพี่น้องคนลาวบอกเล่าผ่านหูอยู่บ่อยๆ แต่พอถามไถ่ซักไซร้ไล่เลียง ก็ไม่มีท่านใดให้รายละเอียดได้ ทำให้ใฝ่ฝันว่าสักวันต้องไปร่วมบุญที่วัดชาวลื้อสักครั้งให้ได้ รั้งรอมานานเนิ่นจนได้โอกาสเหมาะธรรมจัดสรร เมื่อวันขึ้นสิบห้าค่ำที่ผ่านมานี่เอง เห็นว่าตรงกับวันอาทิตย์พอดี ไม่ต้องเข้าสำนักงาน แถมมีแจ้งการว่าไฟฟ้าจะมอดอีก ลุงเปลี่ยนเลยนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ในคืนวันเสาร์จนถึงตีสาม อาบน้ำพาดผ้าเบี่ยงโทรปลุกน้องให้พาไปวัดบ้านเวียงแก้วตอนตีสี่ ผู้คนล้นวิหารแล้วครับ (นี่ถ้าไม่บอกกล่าวเอาไว้ก่อนว่าจะมีคนต่างถิ่นจะมาทำบุญร่วมสงสัยท่านทำพิธีกันไปแล้ว)
“เจ้าวาน” ท่านเรียกกันอย่างนี้ หมายถึงเจ้าภาพในการทำบุญแต่ละวันพระในระหว่างพรรษา สามเดือนๆละสี่ครั้งรวม ๑๒ครั้ง ที่บ้านเวียงแก้วจะแบ่งกันเป็น “เจ้าวาน”กันตามคุ้มบ้านหมุนเวียนกันไปจนครบทั้งหมู่บ้าน เมื่อถึงรอบที่คุ้มบ้านใดได้เป็นเจ้าภาพ ท่านจะเต้าโฮมกันแต่งกินดาทาน ตระเตรียมอาหารคาวหวานห่อหมกห่อขนมข้าวต้มมาทำบุญที่วัดตั้งวันโกน (ส่วนชาวคุ้มอื่นเอาแต่ข้าวเหนียวมาใส่บาตร แต่หากจะมีอาหารอื่นมาเสริมก็ไม่มีข้อห้าม) นอกจากนั้น “เจ้าวาน”ยังต้องตระเตรียมอมเมี่ยง มาเลี้ยงผู้เฒ่าผู้แก่ที่มาฟังธรรมกันในวันพระให้พร้อมพรัก
เช้าตรู่ของวันพระ ตีสอง สาธุท่านย่ำกลองสัญญาน ชาวบ้านต่างตื่นขึ้นมานึ่งข้าวเตรียมตัวมาวัด เจ้าวานนั้นมาตั้งแต่ได้ยินเสียงกลองแรกย่ำ ท่านมาตระเตรียมสถานที่ ปัดกวาด ปูเสื่อ เตรียมสำรับใส่อาหาร ที่ตักบาตร จุดเทียน ส่วนพระท่านสวดมนต์หนึ่งจบหลังย่ำกลอง แล้วกลับไปพักผ่อน
ตีสามกว่าๆ ชาวบ้าน (เกือบทั้งหมดเป็นแม่บ้าน มีพ่อบ้านสูงวัยมาวัดราวยี่สิบคนเท่านั้น) ท่านก็ทะยอยจุดโคมตามไฟกันมาที่วัด แต่งตัวสวยงามพาดผ้าเบี่ยง นอกจากกระติ๊บข้าวเหนียวอุ่นๆแล้วในขันเงินของแต่ละท่านยังมีดอกไม้ เทียน และ “ขวดน้ำหยาด..สำหรับกรวดน้ำ…คนละหลายขวดตามจำนวนญาติพี่น้องที่จะทำบุญไปถึง
เข้าไปในวิหาร กราบพระ ใส่ดอกไม้ใน “ขันแก้วทั้งสาม” ที่ฐานพระประธาน และที่ธรรมมาสน์ แล้วก็เดินเข่าไปตักบาตรที่ตั้งอยู่กลางวิหาร เอาขวดน้ำหยาดไปวางไว้หน้าอาสนะของสาธุท่าน “เก็บดอกไม้กับเทียนไว้ตอนพระมาสวดด้วย” แว่วเสียงแม่เฒ่ากระซิบบอกคนต่างถิ่นที่ท่าทางเก้ๆกังๆ
ก่อนตีห้า พระท่านเดินลงมาในวิหาร ไหว้พระ รับศิล กล่าวถวายทาน (สำเนียงที่อาราธนาศีล ใกล้เคียงกับของคนยวนที่บ้านหนองหล่ม บ้านเดิมของผม…เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปบ้าน) ขณะไหว้พระรับศีลญาติโยมต่างจุดเทียนไว้หน้าที่นั่งตนเองด้วย พระท่านให้พร(ไปด้วย กรวดน้ำจากขวดน้ำหยาดที่วางเรียงรายข้างหน้าไปพร้อมๆกัน) ญาติโยมก็มีขวดน้ำหยาดของตนเองกรวดน้ำพร้อมกันไปอีก (ถึงบางอ้อว่า ทำไมวิหารวัดชาวลื้อถึงมีรูๆๆๆเยอะท่านเอาไว้กรวดน้ำนี่เอง) เสร็จแล้วพ่อออกแม่ออกก็กล่าวคำขอสะมาลาโทษที่อาจ ทำ-คิด-พลั้งปาก ออกไปในช่วงที่มาทำบุญ แต่ละที่ไม่เหมือนกันสักแห่ง จำไม่ได้ซักที
ยังไม่ถึงหกโมง ลานวัดว่างเปล่า ญาติโยมกลับบ้านกันหมด ลุงเปลี่ยนก็สะพายย่ามเดินลงชุมชนแถวหน้าวัด ราวหกโมงกว่าๆจะเป็นรายการ “ทานขันข้าว หรือสำรับข้าว” อุทิศให้ผู้ที่ไปอยู่โลกอื่น เห็นชาวบ้านทะยอยกันยกสำรับขึ้นไปถวายพระบนศาลา ได้รับเชิญให้กินข้าวแทบทุกเรือนที่เดินผ่าน แต่ต้องปฏิเสธเพราะมีเจ้าภาพจองตัวไว้ เช้านั้นได้กินอาหารชาวลื้อของแท้ น้ำพริกข่าอ่อนจิ้มหน่อไม้ไร่ต้ม ปิ้งหน่อปรุงด้วยเครื่องแกง และขะแหนบยอดและดอกฟักทองยอดแตงไทปรุงด้วยพริกขมิ้นตะไคร้ห่อด้วยใบทูนแล้วปิ้งจนหอม
แปดโมงครึ่งกลับมาวัดอีกครั้ง พ่อเฒ่าแม่เฒ่าเริ่มทะยอยกันมา รอบสายนี่ส่วนใหญ่จะเป็นรุ่นอาวุโส บ้านเวียงแก้วมี “คองบ้าน” ที่น่าสนใจคือ คนสูงวัยตั้งแต่ห้าสิบปลายๆขึ้นไป หากวันพระวันศีล ไม่เคยเข้าวัดฟังธรรม ท่านจะไม่ยกเว้น “เวียกบ้าน”ให้ หมายความว่าหากมีงานเกณฑ์แรงงานพัฒนาบ้าน หรือออกแรงงานส่วนรวมแล้ว ท่านต้องไปออกแรงงาน ส่วนท่านที่มีหน้าปรากฏว่าเข้าวัดเข้าวา ท่านยกเว้นให้
ท่านเอาข้าวเปลือก ข้าวสาร ส้มสุกลูกไม้เปรี้ยวหวานมาใส่สำรับ เห็นท่านห่อประดิดประดอยด้วยใบตองแล้วเสียดายแทนคนที่ไม่ได้มาเห็น ส่วนเจ้าวาน ท่านก็หาบข้าวหนมข้าวต้มมาจากคุ้มบ้านท่าน นำมาใส่สำรับ ท่านเตรียมสี่ชุด เพราะมีพระเณรสามรูป อีกหนึ่งสำหรับมัคทายก ระหว่างนั่งรอ เจ้าวานก็เอาอมเมี่ยงห่อใบตองเป็นคำๆมาเลี้ยง
สิบโมงเศษๆ พระท่านลงมาประจำที่อาสนะ ไหว้พระรับศีลอีกรอบ แล้วก็อาราธนาธรรม พรรษานี้พระท่านเทศน์ ธรรมพื้นเมือง เป็นนิทานธรรมเรื่อง “จันทะคาด” แบ่งเป็นตอนๆจนจบเรื่องในพรรษา วันนี้ท่านว่าด้วย (หยังกะบ่ฮู้ ลุงเปลี่ยนไค่หลับ ก็ไม่ได้นอนมาทั้งคืน แถมบริโภคข้าวเหนียวกับอาหารเช้าแบบอิ่มไม่เป็น) จับเรื่องราวได้ตอนที่ เมียหลวงจะมาแก้แค้นพญาเจ้าเมือง พ่อลุงท่านที่นั่งข้างๆ อธิบายเสริมให้เข้าใจถึงบาปบุญคุณโทษตามท้องเรื่อง เช่นที่นางเมียหลวงถูกพญาเจ้าเมืองเอาใส่แพไหลน้ำ เพราะสมัยก่อนเคยโมโหแมวที่แง้วๆเซ้าซี้เอาข้าวเอาปลาให้ก็ไม่กิน เลยจับแมวโยนลงน้ำให้ไปหาปลากินเอง เป็นต้น
เทศน์จบตอน รับพรกรวดน้ำ ได้กราบลาพระเวลาใกล้เพล พ่อเฒ่าแม่แก่ให้ขนมข้าวต้มมาเต็มย่าม
นับเป็นวาระ ธรรมจัดสรร อีกหนึ่งวาระ
« « Prev : โบราณคดี นักปฐพี กับวิถีชาวถิ่น
Next : วาทะพี่Taxi “คุณนี่ท่าจะบ้า” » »
2 ความคิดเห็น
1) ไทลื้อนี้แปลก ทำไมนับถือพุทธ เคร่ง อีกต่างหาก ในขณะทีไทดำ แดง ขาว แถบลาวใกล้เวียตนามถือผี
2) อาหารที่ว่ามาก็แปลก เท่าที่ผมเห็นมาหลายแห่ง อาหารหลักไทลื้อคือ น้ำดองผักใสๆ เปรี้ยวๆ แล้วเอาไปจิ้มกินกับข้าวและผักสด ต้ม พบเห็นมากหลาย จากริมเชียงใหม่ ไปเชียงแสน ถึงแม่ฮ่องสอน สะเรียง แม่สอด ถึงเมืองแป้ (เงี้ยวเก่า) น่าน เชียงของ
3) วันนี้ทำให้ฉุกคิดว่า ชะรอย ลื้อ เงี้ยว ไทใหญ่ จะเป็นเผ่าเดียวกัน แต่เป็นละสาขาย่อย
4) ที่เมืองแพร่ (เงี้ยว)ก็มีไทยใหญ่ พวน มากหลาย รวมทั้งไทลื้อ ที่ต. บ้านถิ่น และรอบๆ ผมไปสัมผัสมาหลายปี นับสิบ ผู้คนใจดีมาก ผู้หญิงค้าขาย ยิ้มแย้ม หัวเราะ ไม่เอาเปรียบลูกค้า (มากนัก) ส่วนผู้ชายกินเหล้า เมา หัวเราะเอิ๊กอาก ทั้งวัน (เออ ดีกว่ารุนแรงแหละหวา)
…วัฒนธรรมไตเรา เดิมๆ “ไม่เป็นไร” หัวเราะกันไป ไม่ว่าจะโกง หรือ ถูกโกง ก็ตาม
กลางวันหรือกลางคืนใยเป็นอุสรรคต่อการชำระล้างจิตใจ
แต่โยนแมวลงน้ำให้ไปหาคาบปลามากินเองนี่ สุดระทดจริงๆ อิ