ทำไมต้องตามแฟชั่น
อ่าน: 4726คิดเรื่องนี้มานานแล้วค่ะ จากการสังเกตุมานาน แรกๆ ก็ไม่รู้สึกอะไรมากเพราะแฟชั่นในช่วงก่อนหน้านี้ก็ดูสมเหตุสมผลและสวยงามน่าติดตาม แต่ต่อมากลายเป็นแฟชั่นที่ดูแล้วไม่สมเหตุสมผล แถมยังอาจก่อให้เกิดผลอื่นๆที่เลวร้ายตามมา
แต่การเขียนหรือแสดงความคิดเห็นยังคงรั้งรอ แต่การแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกับเพื่อนหรือกับคนรอบข้างได้ทำอยู่เสมอๆ เพราะบางครั้งรู้สึกเหนื่อยใจจึงอดที่จะวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้
และเมื่อมาอ่านเรื่อง “ฤาเราจักขาดวิจารณญาณ” ของน้องเบิร์ดในลานน้ำฟ้าและปรายดาวจึงตัดสินใจเขียนบันทึกนี้ขึ้นมาแลกเปลี่ยนค่ะ
คำถาม สำหรับบันทึกนี้ คือ ทำไมเราต้องตามแฟชั่น โดยเฉพาะแฟชั่นเครื่องแต่งกาย?
เราไม่มีวิจารณญานบ้างเลยเหรอว่าชุดนี้ ชุดนั้นไม่เหมาะกับเรา ไม่เหมาะกับกาลเทศะ?
เช่น เมื่อ 5-6 ปีก่อน มีแฟชั่นเสื้อสายเดียว ปรากฎว่ามีสาวๆ ออกมาใส่เสื้อสายเดียว โชว์ไหล่ โชว์เนินร่องหน้าอก ให้คนที่พบเห็นได้หวั่นไหวกันในหลากหลายลักษณะ และอารมณ์ และยิ่งเมื่อมีดาราสวยๆ เกือบทุกคนใส่สายเดียวมาออก TV คราวนี้แหละ สาวน้อย สาวใหญ่ ในเมือง นอกกรุง ก็ตามกระแสกัน
หลังจากนั้น อีก 1-2 ปี เริ่มแฟชั่นโชว์หน้าท้อง ทำให้กางเกงเอวต่ำลงเรื่อยๆ จนไม่อยู่ที่เอว มาอยู่ที่ต่ำกว่าใต้สะดือสักคืบหนึ่ง แค่นั้นไม่พอเสื้อสายเดียว ตัวสั้นก็ยังเป็นที่นิยมอีก โดยเฉพาะดาราวัยรุ่นสาวๆสวยๆ แต่งตัวตามแฟชั่นกันเกือบทุกคน ทำให้สาวๆนอกจอ TV เอาเป็นแบบอย่าง ช่วงนี้ยังมีแฟชั่นเสื้อตัวเล็กเป็นที่นิยมอีก จึงมีกระแสเสื้อไซส์ SSSSS ออกมามากมาย ไม่เฉพาะเสื้อทั่วๆไป เสื้อนักศึกษาก็ไม่เว้น นักศึกษาสาวแต่ละสถาบันใส่เสื้อรัดติ้วจนแทบหายใจหายคอไม่ได้ และความความที่รัดติ้ว สาบเสื้อด้านหน้าก็ยังปริออกทำให้เห็นเสื้อตัวน้อยด้านในอีก
ต่อมา 1-2 ปีมานี้แฟชั่น แฟชั่นการโชว์หน้าท้องของสาวๆลดลง เสื้อสายเดียวตัวน้อยเริ่มเปลี่ยนมาเป็นเสื้อตัวโคร่งๆ ยาวเลยสะโพก แรกๆ รู้สึกโล่งอกที่เสื้อรัดติ้ว โชว์ไหล่ โชว์ร่องอกหายไป แต่ไม่นานกางเกงที่เคยเอวต่ำกลายเป็นกางเกงขาสูง สูงเลยเข่าขึ้นมาชิดต้นขา เมื่อใส่เสื้อเข้าไป จะทำให้ไม่เห็นกางเกงที่อยู่ด้านใน กลายเป็นเหมือนใส่กระโปรงแสนสั้น แต่บางครั้งที่ใส่เสื้อยืดปกติไม่ยาวมาก แต่ก็ใส่กางเกงขาสั้นๆ (บางคนบอกว่ารุ่นเสมอ…)
ส่วนชุดนักศึกษานั้นนอกจากเสื้อรัดติ้วขนาด SSSSS แล้ว กระโปรงยังหดสั้นขึ้นมา ต่ำกว่าเอวแค่คืบ บางคนใส่สั้นๆแล้วมาเดินกระมิดกระเมี้ยน บางคนก็ขาใหญ่มากๆ ก็ยังกล้าที่จะใส่สั้นๆ บางคนขาทู่ๆ ดำๆ ก็ยังกล้าที่จะใส่สั้นๆ บางครั้งเป็นชุดสูทเพื่อให้สุภาพ ภูมิฐาน ซึ่งเสื้อก็ดูดี แต่กระโปรงก็แสนสั้น ดูแล้วก็ไม่เห็นว่าจะสุภาพและดูดีอย่างไร
หลายสถาบันพยายามที่จะรณรงค์ให้แต่งกายให้ถูกระเบียบ โดยการพิมพ์โปสเตอร์ติดทั่วมหาวิทยาลัย บางแห่งก็ทำคัดเอาท์ติดตามจุดต่างๆ แต่ก็ไม่ได้ผลค่ะ นักศึกษาสาวๆ หลายคนก็ยังแต่กายตามแฟชั่น ในชุดที่แอบอ้างว่าเป็นชุดนักศึกษา โดยที่เสื้อนักศึกษาก็จะถูกปล่อยให้ลอยชายออกมาจากกระโปรง
หลังจากที่เหนื่อยใจกับแฟชั่นเหล่านี้ จึงทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า “ทำไมต้องตามแฟชั่น” โดยไม่ดูตัวเอง เพราะเมื่อเด็กๆ แม่เคยพูดเสมอว่า บางครั้งชุดที่เราเห็นเขาใส่ เราเห็นว่าสวย แต่มันอาจไม่เหมาะกับเราก็ได้ เราต้องมีวิจารณญาน…..
ขอระบายนิดนะคะ
« « Prev : ไผเป็นไผ: วัยเด็ก(น้อย)
Next : สุนทรียสาธกคืออะไร? » »
4 ความคิดเห็น
อาม่า นำแฟชั่นค่ะ ไม่ยอมตามแฟชั่นเด็ดขาด อาม่าภูมิใจการแต่งตัวของตัวเองมาตั้งแต่เด็กจนแก่เฒ่า ตอนเด็กป๋าจะเป็นผู้ดูแลการแต่งตัวของลูกๆ ให้เหมาะสมตามวัย และถูกต้องตามกาละเทศะ เป็นการปลูกฝังการแต่งตัวที่เน้นเรื่องให้เหมาะสมกับวัย และให้เกียรติสถานที่ค่ะ เรื่องแบบนี้ควรดูแลกันอย่างถูกต้องตั้งครอบครัว จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของแฟชั่นที่ไร้คุณธรรมค่ะ
สวัสดีค่ะอาม่า
อาม่าเยี่ยมมากเลยค่ะ เห็นด้วยมากๆเลยว่าเราต้องนำแฟชั่น ต้องรู้ว่าเราจะแต่งตัวอย่างไร ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ และกาลเทศะ
วันนี้ยังได้พูดคุยกับคุณแม่ของแป๋วในเรื่องการแต่งกาย คุณแม่ก็ยังพูดย้ำเสมอค่ะว่า เราต้องรู้จักแต่งตัวให้เหมาะสมกับตัวเรา แถมคุณแม่ยังบอกอีกการแต่งตัวสะท้อนถึงความเป็นตัวตนของเราด้วยค่ะ
ที่บ้านก็จะคอยดูแลกันและกันในเรื่องการแต่งตัวเสมอค่ะ
อิอิอิ ค่ะพี่แป๋ว ลองให้เด็กๆได้พูดในสิ่งที่ตัวเค้าคิด และร่วมวงคุยกันในเรื่องนี้แบบจริงจังเหมือนการสอนคิดแบบมีวิจารณญาณไปในตัวด้วยดีมั้ยเอ่ย
ค่อยๆคิดร่วมกัน ค่อยๆให้เค้าเห็นความเป็นจริงของตัวเค้าเอง น่าจะสนุกเนาะคะ
เบิร์ดเคยแอบคิดว่าทำไมเราไม่ลดเนื้อหาวิชา แต่เน้นกระบวนการคิดให้เด็กจะดีกว่ามั้ยเนี่ย แต่ก็ได้แค่คิดค่ะพี่แป๋ว เพราะขนาดนี้ แพทย์ยังร่ำๆจะเรียนถึง 7 ปีให้ได้แล้วเลย เพราะมีเนื้อหาที่ต้องรู้อีกเยอะมากๆๆๆๆๆ
สวัสดีจ้ะน้องเบิร์ดคนงาม
ช่วงหลังมานี้พี่ใช้กระบวนการเรียนการสอนที่ให้นักศึกษาได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกัน เรียนรู้ร่วมกันมากขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มนักศึกษาระดับปริญญาโทและเอก หลังการเรียนการสอน พี่ก็ให้เขาประเมิน เขาก็ชอบค่ะ เขาบอกว่านอกเหนือจากการได้ความรู้แล้วเขายังได้ความสนิทสนมคุ้นเคยกันในกลุ่มนักศึกษาด้วยค่ะ
ตอนนี้ สกอ ก็กำหนดมาตรฐานหลักสูตรระดับอุดมศึกษาให้หน่วยกิตลดลง จากสมัยก่อน (ที่พี่เรียน 150 หน่วยกิต) เดี๋ยวนี้หลังจากที่ลดมาเรื่อยๆ เหลือเพียง 128 หน่วยกิตแล้วค่ะ
แต่ปัญหาคือกระบวนการเรียนการสอนยังไม่ค่อยปรับเปลี่ยนมากนัก หลายวิชายังคง Lecture อัดเนื้อหาเข้าไปเหมือนเดิม ด้วยความที่ว่ารักลูกศิษย์ อาจารย์รู้อะไรก็อยากให้ลูกศิษย์รู้หมด แต่หลังจากชั่วโมงเรียน มีเวลาว่างหลายคนอาจไปค้นคว้าข้อมูล ศึกษาต่อเพื่อทำรายงาน หรืองานมอบหมายอื่นๆ แต่ก็มีหลายคนที่แอบใช้เวลาว่างที่ไม่ค่อยได้ประโยชน์ เช่น นอน เล่นเกมส์
ที่ มข ตอนนี้มีการปฏิรูปตารางเรียนค่ะ โดยจะให้มีช่วงบ่ายวันใดวันหนึ่งว่าง ไม่มีชั่วโมงสอน เพื่อเปิดเป็นช่วงการทำกิจกรรมเสริมหลักสูตร และอาจารย์เองก็อาจมีกิจกรรมเพื่อการพัฒนาต่างๆได้ … ตอนนี้กิจกรรมเสริมหลักสูตรต่างๆ ก็ระดมมาลงกันในวันนี้เป็นเรื่องเป็นราวมากขึ้น นักศึกษาเข้าร่วมกันอย่างเต็มที่ เพราะแต่ก่อนบางทีก็จัดช่วงเย็น หรือไม่ก็เสาร์ อาทิตย์ ทำให้ไม่ค่อยมีนักศึกษามาเข้าร่วมกิจกรรมมานัก
บ่นมาเยอะแล้ว แค่นี้ก่อนนะจ้ะ ขอบคุณค่ะ