การบูรณาการใจภายหลังจากการพูดก่อนคิด

อ่าน: 8866

สวัสดีครับทุกท่าน

สบายดีนะครับ วันนี้ทำให้ย้อนนึกถึงตัวเองตอนเรียนอยู่ ม. 1 ในคาบเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ตอนนี้อาจารย์ประจำวิชาท่านบอกว่า ตอนครูให้โจทย์คณิตศาสตร์และให้ทำในห้องหากมีนักเรียนคนใดสามารถทำได้เต็มและเสร็จเร็วเรียบร้อยได้ติดต่อกัน 5 ครั้ง ครูจะมีรางวัลให้ เอาละครับในใจผมคิดไม่ได้จะอะไรหรอกครับเพียงแต่ชอบคณิตศาสตร์อยู่แล้วละครับ และมีเพื่อนๆ ในห้องผมก็ชอบคณิตศาสตร์อยู่หลายคนครับโดยเฉพาะเพื่อนสนิทของผมและเป็นญาติกับผมด้วย เราเรียนกันมาในระดับประถมศึกษาด้วยกันทั้งหกปี เข้าใจกันก็ระดับเพื่อนสนิทเลยครับ

เรื่องไม่ได้เกิดอะไรในสี่ครั้งแรกหรอกครับ เพราะว่าสี่ครั้งที่ผ่านมาผมเป็นคนทำงานเสร็จก่อน ไม่มีข้อผิดใดๆ และเรียบร้อยผ่านเกณฑ์ ผมคิดเล่นๆ ว่ารางวัลหากเราผ่านในครั้งที่ห้าได้ รางวัลอาจจะเป็นขนมก็จะแบ่งกันกับเพื่อนในห้องนี่ละ เมื่อการให้งานของอาจารย์ในครั้งที่ 5 เกิดขึ้น วันนั้นผมไม่มียางลบครับ อย่างว่าครับทำโจทย์คณิตศาสตร์คิดเร็วกว่าเขียน เขียนอาจจะไม่ใช่ที่คิด หรืออาจจะอย่างอื่น สรุปว่าผมเขียนผิดแล้วต้องการแก้ให้ถูกเพื่อจะส่งเป็นคนแรกครับ แต่ไม่มียางลบเลย จริงๆ ในห้องเรียนนั่งกันเป็นกลุ่มๆ หันหน้าเข้าหากันโต๊ะแล้วล้อมวง ในกลุ่มเราไม่มีใครมียางลบกันเลย อิๆๆ ก่อนหน้านั้นจริงๆ ก็มีบ้างไม่มีบ้าง

ผมก็เลยพูดไปทางเพื่อนสนิทของผมว่า

ขอยืมยางลบหน่อย (ท่ามกลางความเร่งรีบของเพื่อน เพราะเพื่อนก็รู้ว่าเราก็ต้องทำเพื่อให้เสร็จแล้วเอาไปส่ง)

เพื่อนผมก็นิ่งเฉยแล้วทำต่อไป เพราะปกติหากยืมกันก็โยนให้กันหรือว่ายื่นมือให้กันระหว่างกลุ่ม พอเพื่อนนิ่งเฉย ด้วยความที่คิดว่าสนิทกันนะครับ ผมก็พูดไปว่า

ขี้ชิดจริงๆ มียางลบ ยืมหิดก้าไม่ได้ (ขี้เหนียวจริงๆ มียางลบขอยืมหน่อยก็ไม่ได้)

ท้ายที่สุดเพื่อนผมก็เงียบแล้วก็ไปส่งครู แล้วเพื่อนก็ทำได้ถูกต้องหมด เรียบร้อย เป็นอันว่าสี่ครั้งที่ผมทำมา เราเริ่มกันใหม่ครับ จริงๆเป็นเรื่องธรรมดามากที่เพื่อนทำได้เสร็จก่อน เพราะเวลาทำทุกคนจะจริงจังทำกันมากในการที่จะให้ได้ส่งเป็นคนแรกของห้องครับ เพราะทำตอนนั้นครูก็ตรวจตอนนั้นครับ ตอนนั้นผมรักคุณครูมากๆ ครับ คือจริงๆ ผมคิดว่าหากจะเรียนให้ได้ดีต้องรักคุณครู

เรื่องที่ตามมาภายหลังที่อยู่ในใจผมคือ เพื่อนโกรธผมไปแล้ว ผมเข้าไปขอโทษเท่าไหร่เพื่อนก็ไม่พูดด้วย เพราะสิ่งที่ผมทำไปคือผมพูดโดยไม่ได้คิด ซึ่งมันอาจจะทำให้เพื่อนเคืองในคำพูด หรือเพื่อนคิดในใจว่า หากอยากได้ก็เดินมาหยิบเอาเองซิ ก็ได้ หรือเพื่อนอาจจะคิดในใจว่า กำลังเร่งมืออยู่นะอย่าเพิ่งกวนใจ หรืออะไรก็แล้วแต่ครับ

ความรู้สึกที่ผมพูดไปโดยไม่ได้ยั้งคิดก่อนพูดแบบตรงๆ นี้ เลยทำให้ผมทรมานใจมาเกือบปี เพราะเราเรียนพื้นฐานเดียวกัน คือพื้นฐานวิชาการเกษตร แต่เป็นหลักสูตรวิทย์คณิตครับ เพื่อนๆ ก็พยายามช่วยกันใหญ่ แต่ไม่เป็นผลใดๆ ครับ จนเรื่องคงถึงหูคุณครูวิชาเกษตรครับ สิ่งที่คุณครูทำตอนนั้นผมว่าเป็นความฉลาดในการบริหารจัดการความขัดแย้งอย่างหนึ่ง คุณครูท่านทำอย่างไรทราบไหมครับ ตอนนั้นพวกเราต้องเรียนเรื่องการ ปักชำ การตอนกิ่ง ในการขยายพันธุ์พืชในแบบต่างๆ สิ่งที่คุณครูทำตอนนั้นก็คือ คุณครูให้ผมเป็นคนตรวจงานของเพื่อนคนอื่นทุกคนในการขยายพันธุ์พืชแบบหนึ่ง และให้เพื่อนสนิทของผมตรวจงานในการขยายพันธุ์อีกแบบหนึ่งของทุกคนเช่นเดียวกัน นั่นคือ ผมจะมีหน้าที่ให้คะแนนงานของเพื่อน และเพื่อนก็มีหน้าที่ให้คะแนนงานของผม ตอนนั้นผมอ่านเกมส์ออกแล้วคิดว่า คุณครูนี่ฉลาดจริงๆ ที่เอื้อให้มีโอกาสเช่นนี้ แต่ผมไม่ได้คุยกับใครเลย เพราะเก็บเอาไว้ยิ้มๆ และอยากจะคุยกับเพื่อนใจจะขาด แต่มันต้องทุกข์ใจทุกครั้งละครับ ที่คุยด้วยและเพื่อนไม่คุยตอบ เพราะเรารู้ว่าเรานี่ละที่ผิดพลาดก่อน

แต่การให้งานแบบนั้นของคุณครูในการตรวจงานทำให้สถานการณ์คลี่คลายครับ เพราะเพื่อนผมใจอ่อน ตอนเพื่อนตรวจงานผม ผมก็ขอบคุณเพื่อน แล้วตอนที่ผมไปตรวจงานของเพื่อน เพื่อนก็ขอบคุณผมครับ การตรวจงานที่ว่านี้ไม่ใช่ครั้งเดียวหรอกครับ แต่เป็นการตรวจอย่างต่อเนื่อง เพื่อดูว่ากิ่งที่ปักชำ หรือตอนนั้น ทำตั้งแต่แรกจนสุดท้ายได้ผลที่ถูกต้องหรือไม่ครับ นั่นคือต้องนำไปสู่การขยายพันธุ์ได้จริงๆ คือมีรากงอกและแตกยอดอ่อนนั่นเองครับ ตอนที่เพื่อนขอบคุณผมนะครับ ผมนะยิ้มในใจแล้วละครับ ว่าโอ้สำเร็จแล้ว เพื่อนคุยกับผมแล้ว

เชื่อไหมครับว่าตั้งแต่นั้นมาการที่จะพูดอะไรกับเพื่อนคนนี้ต้องคิดให้ดีๆก่อนพูด และกับเพื่อนคนอื่นก็เช่นกัน เพราะว่าเราไม่รู้หรอกครับว่าที่เราสนิทกันนั้นจริงๆ แล้วบางสถานการณ์มันไม่ง่ายที่จะทำความเข้าใจเพื่อนได้ทั้งหมดครับ เพราะปัจจัยภายในภายนอกของเพื่อนและของเราต่างกันครับ หลังจากนั้นมาเราสนิทกันมากขึ้น แคร์ใจกันมากขึ้น ใส่ใจกันมากครับ หลังๆ ตอนพักเที่ยงเพื่อนก็ชวนไปกินข้าวเที่ยงที่บ้าน แกงคั่วปลาไหลบ้าง และอื่นๆ เป็นอะไรที่มีความสุขละครับ เราจึงเป็นเหมือนเพื่อนที่ร่วมกันสร้างงานเกษตรให้กับชั้นปีได้พอสมควรครับ การแข่งขันกันเรียนแต่ไม่หวงความรู้ ไม่เข้าใจก็สอนกัน มีโอกาสอีกชิ้นงานคือได้ร่วมกันเลี้ยงไก่เนื้อด้วยกัน ในชั้นปี โดยมีผู้รับผิดชอบสี่คนครับ ต้องบริหารจัดการกันเองทุกอย่าง คือเริ่มตั้งแต่ไปซื้อลูกไก่อายุได้สองสามวัน จนถึงระดับต้มน้ำแล้วเชือดไก่ถอนขนพร้อมเพื่อนำส่งตามบ้านที่สั่งไก่ไปทำอาหารให้นักเรียนทานหรือขาจรและขาประจำในละแวกชุมชนรอบๆ โรงเรียน เราไม่ได้หวังผลตอบแทนใดๆ เพราะที่ทำคือการเรียนรู้ พวกเราทั้งชั้นปี ปลูกมะนาวหนึ่งสวน ปลูกยางพารา ตั้งแต่การวัดระยะหลุมและขุดหลุมกันเอง ปลูกกันเอง รดน้ำใส่ปุ๋ย จนทุกวันนี้ผ่านไปที่โรงเรียน สวนยางพาราเหล่านั้น ก็คือจุดเริ่มต้นจากชั้นปีที่เราร่วมทำกันมา

กับอีกอย่างคือ การไปสอบแข่งขันงาน ชกท. ชุมนุมเกษตรกรไทย ของระดับมัธยมศึกษา ผมรับหน้าที่แข่งขันตอบปัญหาทางการเกษตรครับ เข้ารอบบ้าง ได้ที่สามบ้าง แข่งกันมาเยอะ ได้เรื่องบ้างไม่ได้เรื่องบ้าง แต่ผมจับคู่กับเพื่อนสนิทผมอีกคน ส่วนเพื่อนสนิทผมที่เคยไม่เข้าใจกันไปแข่งขันอีกประเภทครับ และเมื่อวันหนึ่งมีการแข่งขันตอบปัญหาทางเกษตรระดับภาคใต้ที่หาดใหญ่ครับ จำได้ว่าตอนนั้น ผมไปกับเพื่อนสนิทเป็นการจับคู่กันใหม่ ในนามโรงเรียน การแข่งขันมีทั้งหมด 20 คำถาม แต่ละคำถามมีเวลา หนึ่งนาที เอาละครับ สิ่งที่เราหวังกันมากที่สุดคือคำถามแต่ละข้อตอบผิดหรือถูกก็ไม่เป็นไรแต่ขอให้เราสองคนคิดตรงกัน คุณเชื่อไหมครับว่า การตอบคำถามที่ผ่านๆ มาไม่เคยได้รางวัลยอดเยี่ยมเลย นั่นคือโรงเรียนควนเกยสุทธิวิทยาไม่เคยอยู่ในลิสต์ตัวเต็ง แต่วันนั้นเราสองคนคิดตรงกันหมดและตอบไปได้ 17 ข้อจาก 20 ข้อครับ และแล้วเราได้ต้นกุหลาบคนละต้นพร้อมเกียรติบัตรมาคนละใบ ต้นกุหลาบเอาไปปลูกหน้าบ้านครับ ดอกมันบานใหญ่จริงๆ นะครับดอกเท่าฝ่ามือได้ครับ สีแดง เป็นกุหลาบที่ผ่านการติดตา เราได้ขึ้นไปยืนหน้าเสาธงกันวันนั้น ตั้งแต่นั้นมาความเป็นมิตรต่อกันนั้นมิเคยลืมเลือน จนป่านนี้เพื่อนแต่งงานมีครอบครัวกันแล้ว เราเริ่มเรียนกันคนละสาขาก็ตอน ม.ปลาย เพราะเรียนกันคนละที่ ส่วน ป.ตรี เราเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันแต่คนละวิทยาเขต และท้ายที่สุดวันรับปริญญาเราสองคนก็ได้ถ่ายรูปร่วมกัน มาถึงเวลานี้ต่างคนก็ต่างมีภารกิจที่ต้องทำ มีการติดต่อเพียงผ่านพ่อแม่ของกันและกัน เพราะยังไม่ได้อีเมล์หรือเบอร์โทรของเพื่อนเลยครับ

ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้ผมคิดว่า การพูดก่อนคิดผมจะพยายามระวังมากที่สุด เพราะพอขว้างออกไปแล้วนั้นความทุกข์ที่เกิดจากการทบทวนของเรามันก็คือศรที่วิ่งปักหัวใจเราอยู่นั่นละครับ ยกเว้นแต่ว่าหากเราไม่ได้คิดทบทวนเราก็ไม่รู้ตัวว่าเราทำอะไรพลาดไปบ้าง… บทเรียนนี้จึงเป็นบทเรียนที่ผมไม่กลัวลืม เพราะมันลืมไม่ลงครับ

ถือว่ามาเล่าประสบการณ์แนวทางการบูรณาการใจกรณีง่ายๆ ก็แล้วกันนะครับ นานๆ ได้พิมพ์อะไรยาวๆ ครับ

ด้วยมิตรภาพครับ

เม้ง

« « Prev : พายุเกย์ (4 พ.ย. 2532)

Next : เกษตรประณีต อาหารสมองเพื่ออาหารกายและใจ » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

1458 ความคิดเห็น


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 3.1714248657227 sec
Sidebar: 0.049745082855225 sec