ผาซ่อนแก้ว - อีกครั้งครับ
เช้านี้ตื่นแต่เช้า ชวนแม่นุขึ้นผาซ่อนแก้ว เอาเป็นว่าไปส่งทีมงานของเทศบาลนครพิษณุโลกตามโครงการพัฒนาบุคคลากร ซึ่งจะหมุนเวียนพาพนักงานเทศบาลขึ้นไปศึกษาและปฏิบัติธรรมที่ผาซ่อนแก้วครั้งละ 30 คน แต่ต้องลงมาก่อนเพราะมีงานแต่งงานที่พิษณุโลก
ไปถึงที่ผาซ่อนแก้วประมาณ 8 โมงกว่า ปรากฏว่ามีกลุ่มที่มาจากกรุงเทพฯ ไม่ได้ติดต่อล่วงหน้า แต่มานอนที่รีสอร์ท ตื่นเช้าก็มานั่งสนทนาธรรมกับหลวงพ่ออำนาจอยู่ ก็เลยได้นั่งฟังด้วย
……
อ๋อ…. หลวงพ่อบอกว่าถ้าเราเข้าใจ เราอ๋อ (คลิกหรือปิ๊ง) เราก็จะมีความสุข แสดงออกทางร่างกาย สีหน้ามีความสุข
หลวงพ่อบอกว่าเกจิได้ทำนายไว้ว่าการตามดูจิตจะรุ่งเรือง เพราะปัจจุบันเป็นสังคมข้อมูลข่าวสาร ไม่ใช่สังคมเกษตรเหมือนเมื่อก่อน ข้อมูลข่าวสารที่เราเสพย์ ทำให้เกิดตัณหาและฐิติ
ถึงตอนนี้หลวงพ่อก็หันมาถามจอมป่วนเรื่องของวงน้ำชา จิตวิวัฒน์ การมองดูสิ่งต่างๆแบบองค์รวม บอกว่าเป็นการศึกษาภายในตัวเอง ฝึกดูจิต ภพภายใน ก่อให้เกิดปัญญา ปิติ
หลวงพ่อบอกว่าทางผาซ่อนแก้วก็มีลูกศิษย์ลูกหา และเครือข่ายที่มุ่งหวังจะสร้างสังคมอุดมคติ ส่วนใหญ่ก็เป็นคนรุ่นใหม่ที่หันมาสนใจศึกษาธรรมะ สอนและฝึกปฏิบัติให้ทั้งพระสงฆ์และฆราวาส เพื่อให้ขยายผลและสืบทอดพระศาสนาต่อไป
หลวงพ่อบอกว่าถ้าฝึกแล้ว มีสติ เข้าใจและสามารถไตร่ตรองมองสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ ด้วยใจเป็นกลาง ก็เหมือนจบสงครามภายใน ไม่มีเขา ไม่มีเรา ไม่มีถูก ไม่มีผิด จะสามารถเป็นทูตสันติภาพ เยียวยาสังคมได้ การทำความดีเป็นเหมือนการเบ่งบานของดอกไม้ เพื่อให้คนอื่นผลิแย้ม (เราสามารถใช้ความดีของเราเหนี่ยวนำคนอื่นให้ทำความดีได้)
ท่านสอนให้มีวิหารธรรม หรือที่อยู่ (อาจเป็นอิริยาบทย่อย) เป็นที่ตั้ง ทำให้มีสติคือไม่ลืมกายลืมใจ
ท่านสอนให้เฉลียวใจหรือ เอ๊ะ !!!!! สอนให้หลุดจากกรอบ ไม่ยึดติดกรอบ ไม่พายเรือวนอยู่ในอ่าง เพราะมัวไปยึดถืออะไรก็ไม่รู้ (คงเหมือนสร้างกำแพงของเราเอง)
………. นี่แค่นั่งฟังหลวงพ่อประมาณครึ่งชั่วโมงนะครับ
ทานกลางวันเสร็จก็ไปปลูกต้นไม้ร่วมกัน วันนี้ช่วยกันปลูกต้นพลับพลึงกับต้นสุพรรณิการ์ แล้วยกทีมไปร่วมสร้างเจดีย์ผาซ่อนแก้วต่อ
จอมป่วนเสียดายที่ไม่ว่างอยู่ปฏิบัติธรรมร่วมกับทีมงานเพราะมีภารกิจที่พิษณุโลก แต่แค่ช่วงสั้นๆที่ได้ร่วมฟังการสนทนาก็ได้เรียนรู้อะไรๆมากขึ้นครับ ถ้ามีโอกาสก็คงจะขึ้นไปอีกครับ
Next : ฟังเรื่องสุนทรียสนทนาที่โรงพยาบาลพุทธชินราช » »
8 ความคิดเห็น
อ่านแล้วจะมีวาสนาได้ไปกับเค้าบ้างมั๊ยนี่
กำลังคิดถึงคำว่าสนามพลังค่ะ เวลาที่คนๆหนึ่งมีพลังในตัวเองก็จะดึงดูดและก่อเกิดมณฑลแห่งพลัง และจะดึงสิ่งที่คล้ายกันมาอยู่รวมกัน โยงเป็นสายใยที่มองไม่เห็นที่ร้อยรัดและผูกพันขึ้นเรื่อยๆตามแบบจริตใครจริตคนนั้น..
มองสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ ด้วยใจเป็นกลาง ก็เหมือนจบสงครามภายใน ไม่มีเขา ไม่มีเรา ไม่มีถูก ไม่มีผิด จะสามารถเป็นทูตสันติภาพ เยียวยาสังคมได้ การทำความดีเป็นเหมือนการเบ่งบานของดอกไม้ เพื่อให้คนอื่นผลิแย้ม (เราสามารถใช้ความดีของเราเหนี่ยวนำคนอื่นให้ทำความดีได้)…ร่วมกันก่อเกิดแบบนี้คงไม่ไกลเกินฝันแล้วมั้งคะ
#3 น้ำฟ้าและปรายดาว
ความจริงของโลก ของจักรวาลคงมีอันเดียวที่ศาสดาต่างๆค้นพบและนำมาสอนด้วยภาษาและวิธีที่แตกต่างกัน ?
แต่ศิษย์ต่างๆนำมาตีความผิดเพี้ยนไปเองมั๊ง ?
มณฑลแห่งพลังก็มีการใช้ศัพท์ต่างๆที่ความหมายเหมือนกัน เช่น Wholeness ฯ ตามที่คุณหมอวิธานเขียนไว้ในหนังสือ มณฑลแห่งพลัง
ท่านพี่เข้าใจ ความหมายของ “ลมหายใจเดียวกัน” รึยัง ??????
ไม่เข้าใจ
แต่รู้ว่า ทีมเรามี ” ลมหายใจเดียวกัน” แล้ว อิอิ
ในโลกมีความจริงอยู่ชุดเดียว
แต่ข้อเท็จจริงอาจจะมีหลายชุด
ข้อเท็จจริง มันมีความเท็จปนอยู่มั๊ง ? มันเลยมีได้หลายชุด อิอิ