มนุษย์

6 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 20 กรกฏาคม 2010 เวลา 11:19 (เช้า) ในหมวดหมู่ สังคม ความคิด #
อ่าน: 2367

1234

มนุษย์ที่แท้สมัยโบราณ

ไม่ใยดีในชีวิต

ไม่กลัวความตาย

มาง่าย..ไปง่าย

ไม่ลืมว่ามาจากไหน

และไม่ถามว่าจะไปไหน

ไม่เดินไปเบื้องหน้า ด้วยความทุกข์โศก

ทั้งๆ ที่ต่อสู้อยู่ตลอดชีวิต…

จางจื๊อ

1234

…มนุษย์เรา หากสามารถ อยู่เหมือนไม่อยู่

…ดำรงตนเหมือนไม่ได้ดำรงตน

ทำงานเหมือนไม่ได้ทำงาน

รักพร้อมเกื้อกูลตนเองและผู้อื่น โดยไม่ได้ใช้ความพยายามในการที่จะรักและเกื้อกูล…

1234

เราจะมีความสุขสงบสักปานไหน…

นี่แค่คิดนะ ก็ยิ้มละมุนละไมอย่างมีความสุขแล้ว


จวักตักแกง

7 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 13 กรกฏาคม 2010 เวลา 10:54 (เย็น) ในหมวดหมู่ ภาษา ร้อยกรอง ความคิด #
อ่าน: 12330


ฟังใดได้รู้เรื่อง

ก็ปราดเปรื่องปรีชาชาญ

เปรียบลิ้นชิมน้ำตาล

รู้รสหวานซาบซ่านใจ

ฟังใดไม่รู้ความ

วิชาทรามจะงามไหน

เปรียบจวักตักใดใด

ไม่รู้รสหมดทั้งมวล

ชิต บุรทัต

1234

วันนี้อ่านเจอกลอนนี้โดยบังเอิญ ยิ้มเลย…

เพราะครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่อง การฟัง การได้ยิน การตีความในเรื่องราวต่าง ๆ อยู่พอดีว่า เพราะอะไรในเรื่องเดียวกัน แต่ต่างคนฟัง กลับเข้าใจกันไปคนละทางสองทาง บางครั้งถึงกับเป็นคนละเรื่องกันไปเลย พาลโกรธพาลทะเลาะกันวุ่นวายจริง ๆ


เคยได้ยินแม่สอนเมื่อเด็ก ๆ ว่า ผู้ใหญ่สอนสั่งอะไร ให้ตั้งใจจดจำ อย่าทำตัวเป็น “จวักตักแกง” (สำนวนไทย หมายถึงคนที่ทำตัวไม่สนใจที่จะรับประโยชน์จากบุคคลหรือสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว)


จำได้ว่ายังทำหน้าทะเล้นถามแม่ว่า จวักเป็นไงจ้ะแม่…ใช้คำโบราณจัง


คนโบราณท่านช่างคิด ช่างเปรียบเทียบ และใช้คำสอนที่ทำให้เกิดความสนใจ ทำให้จดจำได้ง่าย โดยใช้สิ่งใกล้ตัวในชีวิตประจำวันนั่นเอง และคงต้องน้อมคารวะ นายชิต บุรทัต กวีเอกในล้นเกล้ารัชการที่ 6 (ผู้แต่งสามัคคีเภทคำฉันท์) ที่ท่านได้ร้อยกรองไว้อย่างไพเราะและเปี่ยมความหมายสอนใจ

เด็ก ๆ ที่บ้านไม่รู้จักคำว่า “จวัก” แล้ว…

แต่เรียกว่า “ที่ตักน้ำแกง”

นี่ถ้าแม่ยังอยู่คงได้ฟังนิทานเรื่องยาวเชียว…


รู้แล้ว รู้แล้ว

4 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 12 กรกฏาคม 2010 เวลา 10:05 (เย็น) ในหมวดหมู่ ปรัชญา แนวคิด ชีวิต #
อ่าน: 2324

1234

” To understand a world

you must become part of that world ,

while at the same time remaining separate,

a part of and apart from.”

1234

Halcolm’s Methodological Chronicle,

Quoted in Patton (1990:199)

1234

หากต้องการเข้าใจ โลก หรือ ปรากฏการณ์ ใด ๆ เราควรเป็น ส่วนหนึ่งของสิ่งที่ต้องการเข้าใจนั้น แต่ไม่ใช่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับสิ่งนั้น

อ่านแล้วก็น่าจะไม่ยากเย็นนัก แต่หากพิจารณาลงลึกไปอีก…. ส่วนตัวแล้วคิดว่า…ยากมาก

เพราะเรามักจะมี อัตตาตัวตนใหญ่บ้าง เล็กบ้าง ตายไปแล้วบ้าง เพิ่งจะกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงให้โตขึ้นมาใหม่บ้าง

เมื่อพยายาม หรือ คิดว่าเราเป็น ส่วนหนึ่ง (a part of) ของสังคม/เรื่องราว/เหตุการณ์ใด ๆ เราก็มักจะกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับสังคม/เรื่องราว/เหตุการณ์นั้นไป

างทีอย่างไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวเสียด้วยซ้ำไป…

1234

ไม่ได้ตั้งใจจะบ่นหรือโอดครวญว่า ชีวิตนี้เป็นเรื่องยากลำบาก (Life is difficult) แต่…ความจริงเป็นเช่นนั้น

1234

เมื่อรู้แล้วตระหนักแล้ว ก็แค่ยอมรับมันซะ…

แค่นั้นเองล่ะน่า…

;)


เกือบไปแล้ว

9 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 11 กรกฏาคม 2010 เวลา 10:29 (เย็น) ในหมวดหมู่ เรื่องเรื่อยเปี่อยตามอารมณ์ #
อ่าน: 2341

1234

1234 โดยส่วนตัวเป็นคนมีปัญหาทางการได้ยิน มีความไวกับเสียงและคลื่นเสียงต่าง ๆ มากกว่าปกติ จึงไม่ชอบคุยโทรศัพท์ ทุกครั้งหลังจากคุยโทรศัพท์ โดยเฉพาะมือถือเกินกว่า 30 นาที จะมีอาการหูอื้อ ต่อด้วยอาการปวดหูและปวดศีรษะตามมา กว่าจะหายกลับเป็นปกติก็ต้องข้ามวันแล้ว

1234 เพื่อรักษาสมดุลและความปกติสุขของชีวิต จึงมักจะหลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์นาน ๆ หรือไม่ค่อยใช้มือถือในที่สุด จนเพื่อนฝูงและญาติ ๆ ต่างรู้นิสัยการไม่ค่อยรับโทรศัพท์ (แล้วมีโทรศัพท์ไว้ทำไมฟะ) ความจริงแล้วมักจะไม่ได้ยินเสียง เพราะไม่ได้พกโทรศัพท์ไว้กับตัว และหากจะโทรกลับก็มีสายที่ไม่ได้รับมากมายเกินกว่าจะโทรกลับได้ จึงเป็นข้อตกลงกับทุก ๆ คนรอบตัวว่าหากว่างและได้ยินเสียง ก็จะรับสายโทรศัพท์ นอกเหนือจากนี้ขออนุญาตไม่โทรกลับ นอกจากนัดหมายอะไรไว้ก่อน หรือเห็นเป็นเบอร์ของคนที่ได้ Memory ไว้และโชว์ชื่อแล้ว

สรุปแบบย่นย่อใจความก็คือ อยากโทรกลับก็โทร ไม่อยากโทรก็ไม่โทร อยากรับก็รับ ไม่อยากรับก็ไม่รับ (ตามใจฉัน) เป็นเช่นนี้เรื่อยมา…

1234

1234 วันดีคืนดี…กำลังนั่งสบายอกสบายใจชมนกชมไม้บนดาดฟ้า ก็มีเสียงเรียกสาย (หลานตัวเล็กเอามือถือมาวางไว้ให้หลังยืมไปเล่นเกม) ดูเบอร์ที่โชว์ก็ไม่คุ้น ไม่มีชื่อขึ้น สงสัยพวกขายประกันฟิตเนสอะไรทำนองนี้ เอ้า..วันนี้ลองรับดูหน่อยสิ

คนรับ หวัดดีค่ะ

คนโทร หวัดดีค่ะ อี้หรือคะ หนูเพื่อนเอ (ชื่อสมมุติ) นะคะ

คนรับ อ้อ…เพื่อนเอ (หลานสาว) มีอะไรเหรอคะ

คนโทร เอ เค้าให้หนูบอกอี้ว่า ช่วยเอาเป้สีดำไปคืนเค้าด้วย

เค้าต้องใช้อ่ะค่ะ

คนรับ อ้าว… เป้สีดำใบไหนนะ ใบที่เขาเพิ่งส่งมาให้อี้เมื่อ

เดือนที่แล้วหรือ

คนโทร ใช่มั้งคะ หนูไม่รู้ค่ะ เค้าบอกแค่นี้

คนรับ ส่งกลับไปให้ที่อังกฤษเลยหรือ… คิดในใจถ้าต้องใช้

ซื้อใบใหม่คงจะคุ้มค่าส่งมากกว่าหรือเปล่า

คนโทร ….?..?..?…

1234 เรื่องก็คือหลานสาวซึ่งไปเรียนต่อปริญญาโทที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ ส่งเป้สีดำใบเท่มาให้น้าสาว (ฝากเพื่อนที่กลับมาเยี่ยมเมืองไทยมาให้) เป็นเป้ที่ซื้อจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ที่ไปดูงาน มีชั้นด้านหลังสำหรับใส่โน้ตบุ้คส์ ชั้นล่างใส่รองเท้ากีฬาและชั้นในก็มีหลายชั้นแยกใส่ของได้ เป็นที่โปรดปรานและเห่อของน้าสาวมาก อยู่ดี ๆ จะให้ส่งกลับไป เลยชักงง ๆ

คนรับ เพื่อนน้องเอ ที่ไปเรียนที่ลอนดอน ใช่ไหมคะ อี้ชื่อ…นะคะ

คนโทร แหะ ๆ ๆ สงสัยโทรผิดแล้วค่ะ เอเพื่อนหนูเขาอยู่

บางซื่อนี่เองค่ะ ไม่ได้อยู่อังกฤษอ่ะ ขอโทษค่ะ

คนรับ อ้าว…ไม่เป็นไรค่ะ หวัดดีค่ะ

1234 เฮ้อ…อยากทำนิสัยดี รับโทรศัพท์ที่ไม่ได้ memory ไว้ … เลยเจอเรื่องฮา(ไม่ออก)

เรื่องนี้ให้ข้อคิดว่าจะทำอะไรที่ไม่ค่อยเคยทำ ต้องละเอียด รอบคอบ อย่าด่วนสรุป…ไม่งั้นอาจเดือดร้อนยุ่งยากโดยใช่เหตุ

1234

เกือบไปแล้วไหมล่ะ หากไม่เอ๊ะใจ คงได้ส่งเป้ใบโปรดกลับไปถึงอังกฤษให้หลานสาวงงเป็นไก่ตาแตกแน่ ๆ เลย


Antidote-อาการสำลักข้อมูล

8 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 10 กรกฏาคม 2010 เวลา 12:07 (เย็น) ในหมวดหมู่ สังคม ความคิด #
อ่าน: 2852

1234

วันนี้เกิดอาการ เอียน จากการได้ฟังรายการบางรายการที่เคยชื่นชอบว่านำเสนอข่าวสารและเรื่องราวที่ไม่เป็นที่เปิดเผย นอกจากพวก วงใน

แน่ล่ะ…เราอยู่ในยุคข่าวสารข้อมูล ยุคที่ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่กับปลายนิ้ว ข้อมูลคืออำนาจ (Information is power) เราปฏิเสธไม่ได้ หนีไม่พ้น เราต้องตามให้ทัน (อย่างรู้เท่าทัน) เราวิ่งตาม รับและกลืนกินข้อมูลอย่างหิวกระหาย … ขาดไม่ได้เสียแล้ว

การเสพสื่อทุกทางทั้งวิทยุ ทีวี หนังสือ เว็บต่าง ๆ ด้วยความเคยชินนี้ มีผลข้างเคียงที่เราอาจคาดไม่ถึงคือ อาการเมาและสำลักข้อมูล หากไม่ใช้วิจารณญาณอย่างถี่ถ้วนแล้ว จิตวิญญาณคงบอบช้ำ เพราะมักจะเป็นเรื่องไม่ดี ๆ (เรื่องดี ๆ ก็มีบ้างแต่…น้อยมาก)

1234

เลยคิดว่าต้องมี Antidote อาการเมาและสำลักข้อมูล บ้าง…ด้วยการ

@ ละลดเลิก การตำหนิ กันเถอะ เราตำหนิคนอื่น สิ่งแวดล้อม สังคม ประเทศชาติ ระบบ … ทุกสิ่งทุกอย่าง (ยกเว้น ตัวเอง) กันมากเกินไปหรือเปล่า? การตำหนิกันไม่ช่วยอะไร ทำได้ง่าย และยังมีคนที่ใช้การตำหนิเป็นเครื่องมือหากินในทุกเวที พูดทุกที่ ด่าทุกที (ขออภัยสำหรับผู้ที่ไม่ไ้ด้เป็นเช่นที่ว่า)

@ เพิ่มเติมเสริมต่อ การร่วมด้วยช่วยกันให้เกิดสิ่งดี ๆ กันดีกว่า เริ่มที่ครอบครัวซึ่งเป็นหน่วยเล็ก ๆ ขยายไปที่ชุมชนของเรา สังคม ประเทศชาติ และ…โลกของเราทุกคน  ฟังแล้วอาจคุ้น ๆ แต่ขอให้ตั้งใจจริงที่จะทำ ทำแม้ไม่มีใครรู้ใครเห็น ไม่มีใครสรรเสริญเยินยอหรือให้รางวัล ทำเพราะสำนึกว่า…”ควรทำ”

@ เริ่มต้นที่ตัวเอง เดี๋ยวนี้ เวลานี้ ตอนนี้เลย แทนที่จะคิดว่า ทำไมคนนั้นทำอย่างนี้อย่างนั้น ทำไมแย่จัง ทำไม…? เปลี่ยนเป็นหันมาคิดและถามตัวเองว่า ในฐานะของสมาชิกคนหนึ่งในสังคมโลก… เราจะทำอะไรให้เกิดสิ่งดี ๆ ต่อคนอื่น สังคม สิ่งแวดล้อมได้บ้าง

1234

ด้คำตอบแล้ว…

- เลิกเสพสื่อต่าง ๆ สัก 2-3 วัน

- จัดการ reset ความคิด มุมมองใหม่ และการกระทำใหม่

- ไปเที่ยวในที่ ๆ ไม่เคยคิดอยากไป

และท้ายที่สุด…

- คุยกับคนที่เราไม่เคยคิดอยากคุยด้วยเลย

1234

เรื่องที่ตั้งใจทำนี้ก็ไม่ง่ายสำหรับต้ัวเองนัก แต่พอทำได้ (หรอกน่า)

ก็ยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่คิดเล่น ๆ (แต่จะทำจริง) นี้

จะช่วยอะไรโลกได้บ้าง…แต่…ทำเถอะ

หากทำแล้วรู้สึกดีขึ้น เพราะเมื่อเรารู้สึกดีขึ้น คนรอบ ๆ ข้างก็จะดีขึ้น

ครอบครัว ชุมชน สังคม ประเทศชาติ และโลกนี้

ต้องดีขึ้นด้วยแน่ ๆ เลย


ทำให้จริง

4 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 9 กรกฏาคม 2010 เวลา 9:51 (เช้า) ในหมวดหมู่ การจัดการความรู้ #
อ่าน: 2247

1234

ฉันได้ยิน… ฉันลืม

ฉันได้เห็น… ฉันจำได้

เมื่อฉันทำ… แล้วฉันก็เข้าใจ

สุภาษิตจีน

1234

น่าจะทำนองเดียวกันกับสุภาษิตไทย ที่ว่า สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ”  (ยังไปเจอมีต่ออีกว่า สิบมือคลำไม่เท่ากระทำในใจ  ดีอยู่ที่ปากทุกข์ยากอยู่ที่มือ)

แม้ได้ยินได้ฟัง ได้เห็นได้อ่าน แต่หากไม่นำไปปฏิบัติจริง ก็ยากที่จะ…เข้าใจ และแม้เข้าใจก็จะเป็น ความรู้แห้ง ๆ ที่ขาดชีวิตชีวา

การได้เรียนรู้จาก ผู้รู้ ที่เพียงได้ยิน ได้อ่าน ฟังเขาเล่าว่า แต่ไม่มีประสบการณ์ทำจริงนั้น จึงแตกต่างกับการได้เรียนรู้จาก ผู้รู้ ที่สั่งสมประสบการณ์จริงจากชีวิตอย่างเทียบกันไม่ได้เลย

1234

งั้นที่ตั้งใจจะเป็น ครู เราก็ต้องหาประสบการณ์

จากการปฏิบัติจริงสินะ…

ไม่ง่ายเลยนะนี่


เปรียบดั่งผลพฤกษชาติดาษดื่นมี

2 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 7 กรกฏาคม 2010 เวลา 10:58 (เช้า) ในหมวดหมู่ ปรัชญา แนวคิด ชีวิต #
อ่าน: 2461

1234

คิดถึงกลอนบทนี้…

ซึ่งมีเพื่อนส่งมาให้ แต่ไม่ได้ระบุที่มาคัดลอกเก็บไว้นานแล้ว อ่านทุกครั้งก็จะเกิดอาการ ลอกคราบ ของอัตตาตัวตนไปได้บางส่วน (ก่อนที่จะสะสมจน”อัตตาตัวตน” หนาเนื่องใหญ่โตขึ้นมาใหม่…)

1234

โลกเรานี้มีมาแต่คราไหน

ไปข้างหน้านานเนาอีกเท่าใด

ไม่มีใครล่วงรู้สักผู้เดียว

เราอาศัยโลกนี้ครองชีวิต

เหมือนสถิตพักครู่อยู่ประเดี๋ยว

เปรียบฟองน้ำกับชีวิตมิผิดเชียว

เชิญผู้เชี่ยวชาญคิดพินิจตรอง

อายุคนถึงร้อยมีน้อยนัก

ต้องมีพักตร์พูนผลกว่าชนผอง

อายุโลกมากมายเป็นก่ายกอง

ถ้าจะลองกะประมาณกว่าล้านปี

คิดเทียบส่วนโลกมีอยู่ปีหนึ่ง

เราไม่ถึงนาฬิกาก็ล่าหนี

เปรียบดั่งผลพฤกษชาติดาษดื่นมี

อยู่ไม่กี่วันหล่นมิทนนาน…

1234

หลายวันที่ผ่านมานี้จับพลัดจับผลูเข้าไปในโลก ละครชีวิต ทั้งเป็นผู้ชมผู้ดู และบางฉากก็ลงไปร่วมแสดงด้วยอย่างไม่เต็มใจเลย

เห็นแล้ว…คล้ายเกิดอาการจิตตก แต่ก็ไม่ใช่ เพราะไม่ทุกข์ไม่ท้อ แต่รู้สึกชา ๆ เฉย ๆ รู้ เห็น เย็น ร้อน กระทบ ปล่อย ว่าง วาง-ยึด วาง-ยึด ไม่มีที่สุดสิ้น

การเป็นมนุษย์นี่ก็มีทุกข์ที่เกิดขึ้นเป็นปกติอยู่แล้ว

ทั้งเกิด แก่ เจ็บ ตาย…

แล้ว…

เรายังจะสร้างสมสั่งสมทุกข์ด้วยความไม่รู้ ไม่ยอมรู้ ไม่รับรู้ไม่รู้จบกันอีกหรือนี่

1234

ครูบาอาจารย์ท่านเห็นละครชีวิตของพวกเราแล้ว คงถามอย่างเมตตาว่า ไม่เหนื่อยไม่เบื่อกันบ้างหรือ?”

1234

หยุดพักบ้างก็ได้นี่นะ

มีความสุขมาก ๆ ในทุก ๆ วัน ค่ะ

;)



ดอกไม้พลังใจ

3 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 5 กรกฏาคม 2010 เวลา 9:24 (เย็น) ในหมวดหมู่ ภาษา ร้อยกรอง ความคิด #
อ่าน: 2848

เรียงร้อยกานท์กวีขึ้นบทหนึ่ง

แอบเพิ่มคุณค่าเติมความหมาย

ซ่อนรักและพลังไว้มากมาย

แทนค่า ดอกไม้ มอบให้เธอ

อย่ายอมแพ้แม้ท้อเหนื่อยหนัก

ส่งความรักแทนใจไม่ให้เผลอ

สติตั้งใจตรงอย่าละเมอ

ดอกไม้ ยังรอเธอ…ไม่โรยรา

5 กค.53


หมาหางด้วน

5 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 1 กรกฏาคม 2010 เวลา 11:54 (เย็น) ในหมวดหมู่ การศึกษา #
อ่าน: 2935

12344

หลายวันมาแล้วที่คุยกับเพื่อนที่เรียนด้วยกัน

1234 กลุ่มเพื่อนที่เรียนด้วยกันส่วนใหญ่จะเป็นผู้ใหญ่ที่ทำงานแล้ว ทั้งทำงานเอกชนและรับราชการ ก็มีทั้งทหาร ตำรวจ และพลเรือน

1234 ระยะนี้เป็นช่วงของการทำดุษฎีนิพนธ์ (Dissertation) ที่เราชอบเรียกง่าย ๆ ด้วยความเคยชินว่า วิทยานิพนธ์ (Thesis) อาจารย์ต้องทั้งดุและขอร้องให้เราเรียกให้ถูกต้อง แม้ว่าเราจะรู้สึกว่า ไม่ต่างกันหรอก เรียกง่าย ๆ ก็คือ รายงาน ชิ้นใหญ่ ที่ต้องทำส่ง ซึ่งเป็นเงื่อนไขหนึ่งในการจบหลักสูตรนั่นเอง จะเรียกอะไรก็ตามที

1234 ในยุคที่สถานศึกษาต้องแข่งขันด้านคุณภาพ ชื่อเสียง และการหารายได้เพื่อเลี้ยงตนเอง การเปิดหลักสูตรการเรียนการสอนก็ยิ่งเข้มข้น มีทั้งภาคปกติ (ค่าเรียนถูกหน่อย) ภาคพิเศษ (เรียนนอกเวลาราชการ ค่าเรียนแพงกว่า) และทั้งภาคปกติและภาคพิเศษรุ่นนี้มีนิสิตรวม 18 คน

1234 ทุกวันศุกร์จะมีการรวมกลุ่มเพื่อนเพื่อพบปะและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ช่วยกันกระตุ้น ติดตามกัน ใครมีปัญหาเร่งด่วนก็นำมาคุยในวงสนทนา เพื่อรับคำแนะนำปรึกษาจากเพื่อน ๆ ซึ่งมีความรู้ชำนาญ และมีเครือข่ายที่หลากหลายกันไป

1234

1234 วันอังคารที่ผ่านมาเป็นการรวมตัวกันนอกรอบ เนื่องจากมีเรื่องเร่งด่วน เราพบว่าในจำนวนพวกเรา 18 คนนั้น มี

- 1 คน สอบหัวข้อวิทยานิพนธ์ไม่ผ่าน (แม้จะได้สอบแก้ตัวถึง 3 ครั้ง)

- 2 คน ขอลาออกเนื่องจากมีปัญหาสุขภาพ เจ็บป่วยทางกาย (ซึ่งก็ส่งผลมาจากความวิตกกังวล-ทางจิต)

- 1 คนกำลังจะต้องลาพักหรือลาออกอีก เนื่องจากป่วยด้วยอาการทางจิตเวช (หวาดระแวง) และ

- อีก 2 คน กำลังคิดจะลาออกไม่เรียนต่อ เนื่องจากมีปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัว

รวมความแล้วมีเพื่อน ๆ ที่มีปัญหาและออกจากการเรียนไป 4 คน และกำลังจะออกไปอีก 2 คนในไม่ช้านี้

นั่นหมายถึงว่าจำนวน 1 ใน 3 ของผู้ที่เรียน ต้องออกจากการเรียนกลางคัน ไม่สามารถเรียนต่อจนจบหลักสูตรได้  การเรียนในระดับบัณฑิตศึกษานี้ นอกจากค่าใช้จ่ายส่วนตัวที่ต้องจ่ายจะสูงพอสมควรแล้ว ยังมีส่วนของการลงทุนจากภาครัฐที่สนับสนุนอีกส่วนหนึ่งด้วย … และนี่ก็คือสิ่งที่เรียกกันว่า “ความสูญเสียทางการศึกษา

1234

เกิดอะไรขึ้น?

เป็นคำถามที่กลุ่มเราพูดคุยกัน หลังจากมีการส่งตัวแทนไปคุยกับเพื่อน ๆ ที่ไม่เรียนต่อด้วยเหตุต่าง ๆ

- สำหรับคนที่สอบหัวข้อดุษฎีนิพนธ์ไม่ผ่านนั้น ทุกคนได้พยายามช่วยเหลือทางด้านวิชาการเต็มที่แล้ว แต่ไม่สามารถช่วยได้ ต้องปล่อยไป

- คนที่มีปัญหาสุขภาพทางกายและทางจิตนั้น ได้พยายามช่วยแล้ว แต่เกินวิสัยที่จะทำได้ และเป็นการตัดสินใจของเจ้าตัวและครอบครัว ซึ่งเห็นว่าหากการเรียนจนจบเป็นดุษฎีบัณฑิตแล้ว มีโรคติดตัวแถมไปตลอดชีวิต หรือเรียนแล้วต้องเป็นคนบ้า ๆ บอ ๆ เกิดปัญหาทางจิต คงไม่คุ้มกัน

- ส่วนอีก 2 คนที่มีปัญหาครอบครัวนั้น เราเสนอกันว่าควรไปคุยกับครอบครัวของเพื่อน ช่วยอธิบายและผ่อนคลายให้คนในครอบครัว (ภรรยา/สามี) ได้เข้าใจลักษณะการใช้เวลาของผู้ที่เรียนว่าเป็นอย่างไร ฯลฯ ในวันศุกร์นี้

ไม่หนักใจนักที่ได้รับการมอบหมายจากกลุ่มให้เป็นตัวแทนร่วมกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง ทำหน้าที่เป็นคนไปพูดคุยในครั้งนี้ เตรียมข้อมูลไว้แล้ว ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด แต่คงต้องปล่อย-วาง-ใจสำหรับผลที่จะเกิดขึ้น

1345

1234 แต่ที่คิดต่อมาอีกก็คือ ทำไม การศึกษา ในระบบจึงได้ทำร้าย ผู้เรียนได้ถึงขนาดนี้นะ เกิดอะไรขึ้น และควรจะแก้ปัญหานี้หรือเปล่า จะแก้อย่างไร ใครควรรับผิดชอบ

หรือ… จะตอบง่าย ๆ พอพ้น ๆ ตัวไปเหมือนที่เคยได้ยินได้ฟังมาว่า เรียนถึงระดับนี้แล้ว ต้องแกร่ง เข้มแข็ง อดทนได้ทุกสภาวะ ไม่งั้นไม่สมศักดิ์ศรี (ศักดิ์ศรีอะไรก็ยังไม่แน่ใจ)  ระบบการเรียนการสอนต้องไม่ยอมให้ผ่านไปได้ง่าย ๆ ต้องเคี่ยวกรำ บีบคั้น ให้คิดให้แก้ปัญหา ให้ทำได้ ทนได้ทุกอย่าง จบง่าย ๆ ก็ไม่มีคุณค่าน่ะสิ

งั้นการศึกษาก็เป็นเพียงกระบวนการที่จะทดสอบความแข็งแกร่ง เข้มแข็ง อดทน ทนอด ต้องปรับตัวได้ทุกสภาวะแบบ ศรีทนได้อย่างนั้นหรือ?

1234

การศึกษาจึงกลายเป็น “กองทุกข์” ก้อนโต  คนที่เรียกว่า เก่ง แกร่ง เข้มแข็งที่ผ่านไปได้เท่านั้นจึงจะได้ชื่อว่าเป็น “บัณฑิต มหาบันฑิต ดุษฎีบัณฑิต” แล้วคนที่มีปัญหาในบางด้าน (ใครจะไม่มีปัญหาเลยล่ะ) ถือว่าอ่อนแอ ก็ถูกผลักออกจากระบบการเรียนการสอนไปเลยอย่างนั้นหรือ…(เพื่อนบางคนบอกว่า…โลกนี้ไม่มีที่สำหรับคนอ่อนแอ)

1234

การศึกษา น่าจะเป็นกระบวนการที่ช่วยให้ผู้เรียนทุกคนได้พัฒนาศักยภาพสูงสุดของตน ส่งผลมีความเจริญงอกงามทางสติปัญญา และสามารถนำความรู้และสติปัญญานั้นไปสร้างสรรค์ ทำให้ตนเองและผู้ือื่นได้เข้าสู่การตระหนักในคุณค่าของตน และแผ่กว้างไปจนถึงการทำประโยชน์และสร้างสรรค์สังคมโดยไม่หวังผลตอบแทนส่วนตัวในที่สุด… มิใช่หรือ?

1234

ท่านอาจารย์หมอประเวศ วะสี ท่านกล่าวว่าการศึกษาปัจจุบันเป็นการศึกษาของพวก หมาหางด้วน เพราะระบบการศึกษาเน้นแต่ให้ ความรู้ (ทางโลกและโลกย์) แต่ขาดการให้ความรู้ในมิติของ คุณธรรมจริยธรรม(หมาที่หางด้วนนี่เสียความเป็น “หมา” ไม่ได้รับการยอมรับ เพราะไม่มีหาง ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญในการสื่อสารสำคัญไปแล้ว)

1234

ว่าที่ หมาหางด้วนเลยบ่น ๆ กันเองว่า ก็ในเมื่อระบบการศึกษาสร้างเรา (Treat) เช่นนี้ ก็จำเป็นอยู่เองที่เราจะกลายเป็นเช่นนั้น ไม่งั้นมันไม่จบนี่ มาเรียนแล้วขืนไม่จบก็อายเขาตาย แถมยังรู้สึกต้อยต่ำ ขาดความภาคภูมิใจในตัวเองไปตลอดชีวิต ดังนั้นในทุกวิถีทางไม่ว่าระบบและใครว่าอะไร ฉันก็ต้องทำ ต้องทน ต้องยอมรับให้ได้ … จบเมื่อไหร่ค่อยว่ากันอีกที…

ตกลงก็เลยกลายเป็น… หมาหางด้วน ไปเต็มตัว และมีหมาหางด้วน ซึ่งเป็นผลผลิตของระบบการศึกษาเดินเพ่นพ่านเต็มสังคมไปหมด

1234

ยิ่งคิดยิ่งหดหู่ใจ…บ่นและบันทึกไว้ ยังไม่รู้จะแก้อย่างไร แต่อย่างหนึ่งที่คิดขึ้นมาได้ในขณะนี้ก็คือ…

1234

เราไม่อยากเป็นหมาหางด้วน จะไม่เป็น ไม่ยอมเป็น…เด็ดขาด!!!

13424



Main: 0.13041806221008 sec
Sidebar: 0.037202835083008 sec