ฉันคือ…ความแตกต่าง

6 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 15 ธันวาคม 2010 เวลา 1:01 (เย็น) ในหมวดหมู่ สังคม ความคิด #
อ่าน: 3014

บันทึกนี้ เขียนไว้เมื่อวันที่่ 2 ธันวาคม 2553…

อ่านพบอีกครั้ง ก็ให้เกิดความรู้สึกเพิ่มขึ้นอีก…

นี่ละกระมังที่ “ครู” ในโลกของการเขียนหนังสือของฉันมักสอนว่า “ให้บันทึกความคิด ความรู้สึกไว้เสมอไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบมันก็ตามที”

…………………………

ฉันคือ ใบไม้เล็ก ๆ ในป่ากว้าง

ฉันเฝ้ามองความเบิกบานสดใสของป่าอันชอุ่มงาม

ฉันรื่นเริง ระบัดใบไปกับพร้อม ๆ ใบไม้หลากพันธุ์

ฉันเป็นส่วนเสี้ยวของป่าใหญ่อันชุ่มชื่น

………………..

แต่แล้ว…วันหนึ่งฉันกลับรู้สึก แตกต่าง

ฉันกลัวจับใจ ฉันแตกต่าง แปลกแยก…

ฉันเป็น ความแปลกแยกอย่างนั้นหรือ?

ฉันพรั่นพรึง ครั่นคร้าม กลัวที่ต่างจากคนอื่น ๆ

……………….

ฉันเป็นใบไม้เล็ก ๆ ในป่ากว้าง

ฉันคือ ความแตกต่าง…

ฉันออกจากป่าใหญ่นั้น

ด้วยความหวังจะเจอป่าที่แตกต่าง..สำหรับฉัน

แล้ว…ก็พบว่า ป่าทุกป่าแตกต่างไม่เหมือนกันเลย

………………

ฉันก็ยังเป็นใบไม้เล็ก ๆ ในป่ากว้าง

หากวันนี้…ฉันกระจ่างใจแล้ว

ไม่ว่าป่าไหน ๆ ก็คือ ความแตกต่าง

และ ฉันคือ “ใบไม้เล็ก ๆ” ที่แตกต่างอยู่เสมอ ไม่เคยเปลี่ยนเลย…

……………….

วันนี้กลับมาอ่านและเห็นความคิด/ความรู้สึกในวันที่บันทึก…ชัดขึ้นอีกนิดหนึ่งว่า

ความรู้สึก แตกต่าง/แปลกแยก ทำให้เราทุกข์ หวาดกลัว และปิดขังตัวเอง

ใบไม้/ต้นไม้ก็เปรียบได้กับปัจเจกบุคคล แต่ละคนที่ไม่มีใครเหมือนใครได้ทั้งหมด

ทุกคนล้วนแตกต่างกัน…

ป่าเปรียบได้กับ “สังคม” ซึ่งเป็นที่รวมกันของ พืชพรรณ สัตว์ป่า สายน้ำ ลำธาร…ที่หลากหลาย

ป่าที่อุดมสมบูรณ์ต้องประกอบด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ฉันใด…สังคมที่อุดมปัญญา/สงบสุข ต้องประกอบด้วย “บุคคล” ที่แตกต่าง หลากหลาย ทั้งความรู้/ความคิด…ฉันนั้น

การยอมรับเคารพกันและกันใน “ความแตกต่าง” ของสมาชิกในสังคมอย่างแท้จริง… จึงช่วยให้สังคมงดงามและไพบูลย์

;)

หมายเหตุ : บันทึกนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์ บุคคล ไม่ได้พาดพิงถึงผู้ใด…นอกจาก “ตัวเอง”


เธอไม่เหมือนเดิม

3 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 5 กันยายน 2010 เวลา 2:23 (เย็น) ในหมวดหมู่ สังคม ความคิด #
อ่าน: 2334

:cry:

เมื่อวานนี้ หลานสาวตัวน้อยซึ่งก็กำลังย่างเข้าสู่วัยรุ่น เกิดภาวะวิกฤตทางอารมณ์ มีปัญหากับเพื่อนสนิทที่เรียนห้องเดียวกันมาตั้งแต่เรียนอนุบาล…

๑๑๑ ฟังสาวน้อยเล่า ๆ ๆ ๆ อย่างอัดอั้นตันใจ สรุปความว่าขัดใจกับเพื่อนรักด้วยบางสาเหตุที่เธอยอมอดทนมานานไม่เคยปริปาก แต่นานเข้า เพื่อนที่ไม่เคยรู้ว่าเธอไม่ชอบและต้องอดทนมาตลอดก็ยังคงทำเช่นนั้น จนเธอทนไม่ไหวและปฏิเสธออกไป เพื่อนโกรธเธอมากต่อว่าและกล่าวคำที่เธอรู้สึกแย่มาก ๆ คือ

…เธอไม่เหมือนเดิม เธอเปลี่ยนไปแล้ว…

๑๑๑ สาวน้อยระบายต่อว่าเธอเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลย แต่เพื่อนแหละที่ไม่เข้าใจเธอ เพื่อนไม่เคยสนใจความรู้สึกไม่เคยถามเธอเลยว่าเธอคิดอย่างไรบ้าง ….ฯลฯ

๑๑๑ อูย… ศิราณีจำเป็น ก็งานเยอะแยะ หนังสือกองเท่าภูเขา (แต่เป็นหนังสือที่ไม่ชอบอ่าน) อ่านเท่าไหร่ไม่หมดเสียที แถมไม่สนุกไม่ค่อยรู้เรื่องด้วย โหย…คุณยายน้อยก็เครียดอยู่นะจ้ะ…

….เลยบอกสาวน้อยไปว่า ตอนเย็นเราไปกินไอศครีมกันแล้วค่อยคุยเรื่องนี้ ตอนนี้ขอปั่นงานก่อนละกัน และตอนนี้คุณยายน้อยก็กำลังวิกฤตเหมือนกัน ทำงานไม่ค่อยได้ตามเป้าหมาย อย่ามารบกวนจนกว่าจะถึง 5 โมงเย็นแล้วกัน…

….สาวน้อยทำหน้าเหรอ…คงงง เพราะคุณยายน้อยไม่เคยปฏิเสธหลานสักที วันนี้เกิดอะไรขึ้น แต่ก็ยอมถอยออกไปแต่โดยดี เลยตะโกนไล่หลังไปว่าขอบใจที่เข้าใจคุณยายน้อยจ้ะ…

๑๑๑๑ความจริงต้องขอบใจเจ้าตัวน้อย ที่ทำให้คุณยายน้อยกล้าที่จะปฏิเสธหลานเสียบ้าง ทั้งยังทำให้ได้เรียนรู้ว่าอะไรก็ตามที่เราต้องอดทน-ทนอดอยู่บ่อย ๆ นั้น ควรที่จะหาโอกาสบอกคนอื่นให้ได้รู้ด้วย จะได้ไม่อัดอั้นและระเบิดออกมาแบบไม่มีเหตุมีผล กลายเป็นคนไม่น่ารักไปอย่างที่ไม่ตั้งใจเลย

๑๑๑

เย็นนี้จะพาหลานไปกินไอศครีมแพง ๆ ที่ห้าง

ได้ยินมาว่า กินไอศครีมแล้วทำให้อารมณ์ดี…ฮา ๆ ๆ

;-)


อยากทำ…ก็ทำเลย

2 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 18 สิงหาคม 2010 เวลา 9:25 (เช้า) ในหมวดหมู่ สังคม ความคิด #
อ่าน: 2252

ขอบคุณภาพประกอบบันทึกจากวิกิพีเดีย

จงทำในสิ่งที่ถูกต้องด้วยหัวใจที่เปี่ยมเต็มด้วยรอยยิ้ม

เพราะถึงอย่างไรไม่ว่าคุณจะทำหรือไม่ทำอะไรก็ตาม

ก็จะมีคนวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของคุณอยู่ดี

++++

Eleanor Roosevelt (1884–1962)

ภริยา Franklin D. Roosevelt

ประธานาธิบดีคนที่ 32 ของสหรัฐอเมริกา


++++

++++อ่านข้อความนี้แล้วชอบเพราะใกล้เคียงกับประสบการณ์ตรงที่ประสบอยู่ การใช้ชีวิตอยู่ในสังคม โดยเฉพาะสังคมของคนทำงาน ซึ่งต้องพบปะกับแรงปะทะอยู่เป็นประจำนี้ ต้องอาศัย ความเชื่อมั่นในตัวเอง(ในทางที่ถูกที่ควรแก่เหตุ) เป็นตัวกำลังในการขับเคลื่อนนาวาชีวิต ชาวพุทธจะคิดถึงคำว่า สติ ซึ่งเป็นหางเสือนำพานาวาชีวิตไม่ให้หลงทิศหลงทางไปตามกระแสแห่งโลกธรรมอันเชี่ยวกรากนั้น

++++ดังนั้นเราควรหมั่นตรวจสอบ ความเชื่อมั่นในตัวเอง และ สติ รวมทั้งคอยพิจารณาให้รู้เท่าทัน กระแสแห่งโลกธรรม อยู่เสมอ ๆ

++++

อยากทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องรอ ไม่ต้องให้ใครมากำหนดให้เรา

ต้องทำนี่ทำนั่นหรอก…

มันเป็นเรื่องที่เราต้องรับผิดชอบเอง

++++

;)

ปล. พิมพ์แล้วก็ยังขำ ๆ ทำไมต้องบอกว่าเป็นคำพูดของ Eleanor Roosevelt ซึ่งเป็นภริยา Franklin D. Roosevelt ด้วยก็ไม่ทราบ หากเธอไม่ได้เป็นภริยาของคนดังระดับประธานาธิบดีคนที่ 32 ของสหรัฐอเมริกาแล้ว เราจะไม่สนใจข้อคิดของเธอหรืออย่างไรกัน (พอดีกว่า…หยุดนิสัยชอบทะเลาะกับตัวเองได้แล้ว…ไม่ดี ๆ)


คิดไปได้…

3 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 17 สิงหาคม 2010 เวลา 9:31 (เย็น) ในหมวดหมู่ สังคม ความคิด #
อ่าน: 1978

:oops:

@@@นั่งรอเพื่อนอยู่ที่โรงอาหารยามบ่าย ๆ กำลังเริ่มเบื่อที่ต้องรอนาน (อยากมาเร็วเองนี่นา) สักพักได้ยินเสียงคุยกระหนุงกระหนิงจากโต๊ะด้านหลัง จับความได้ว่าเป็นนิสิตหนุ่มนิเทศศาสตร์กับสาวครุศาสตร์คุยกัน

หนุ่ม : เราว่านะเลือกแฟนน่ะก็เหมือนเลือกมือถืออ่ะ

สาว : เหรอ เลือกไงเหรอ มีฟังก์ชั่นเยอะ ๆ เดิ้น ๆ เหรอ เสียงหวานเชียวแฮะ

หนุ่ม : ไม่หรอก ก็ทำนองเราต้องเลือกเองน่ะ พ่อแม่เลือกให้เราก็ไม่เอา ต้องดูเอง เลือกเอง คือมันต้องcustomizedเราด้วย จะมือถือจะแฟนก้อ … จริงไหมอ่ะ แอบฟังแล้วคิดตาม เออนะหนุ่มน้อยนี่ฉลาด เข้าใจคิดดี ใช้ได้ ๆ

สาว : เหรอ เออขำ ๆ ดี … เสียงหัวเราะ สงสัยสาวน้อยนี้จะพูด เหรอ เป็นอยู่คำเดียวนี่ล่ะ

หนุ่ม : พอได้มือถือมาใหม่นะ เราก็จะลองเล่นทีละฟังก์ชั่น ไม่เล่นวันเดียวทั้งหมดหรอก ค่อย ๆ ลองไปทีละฟังก์ชั่นทีละวัน เสียงบอกมั่นใจ

สาว : เหอะ ๆ เหมือนเรียนรู้คนเป็นแฟนเหรอ… เสียงหัวเราะต่อ คงไม่รู้จะถามอะไร

หนุ่ม : ใช่สิ เราต้องเลือก ต้องเรียนรู้ รีบไม่ได้หรอกไม่ว่ามือถือหรือว่าแฟน ซื้อแล้วได้มาเป็นแฟนแล้วต้องอยู่กันนาน…ช่างคิดรอบคอบจัง คิดได้ไงกัน พ่อแม่น่าจะภูมิใจไม่ต้องห่วงลูกชายนะนี่

สาว : เหรอ…ว่าแต่ซื้อมือถือใหม่ยัง แล้วแฟนล่ะมีหรือยัง… ฮั่นแน่ คำถามแบบนี้สาว ๆ เขาไม่ถามกันมั้ง ฟังไปอมยิ้มไป

หนุ่ม : ก็ดู ๆ อยู่…เสียงเบาลงไป สงสัยจะบอกรัก ขอเป็นแฟนกันเสียละมั้ง

สาว : เหรอ(อีกแล้ว) แหมใครได้เป็นแฟนเธอนี่โชคดีเนอะ คนแอบฟังอมยิ้มอีก ดี ๆ เปิดเผยดี

หนุ่ม : คนโชคดีน่ะ ไม่รู้จะรู้ตัวมั๊ย… เสียงตอบกลับเบาลงไปหน่อยหนึ่ง เริ่มเข้าสู่โหมดนิยายรักหวานแหววแล้ว

สาว : คงไม่รู้ตัวมั้ง… เสียงยังหัวเราะ ๆ ต่อ

หนุ่ม : โธ่เอ้ย…ก็บอกอยู่นี่ ยังไม่รู้ตัว…ก็เธอไง โอ๊ะโอ๋ บอกตรง ๆ เลย เป็นไงเป็นกัน

สาว : ฉันเหรอ… แหงะ ๆ ไม่เอาหรอก… (อ้าว…)

หนุ่ม : ทำไมอ่ะ ไหนว่าเป็นแฟนเราโชคดีไง

สาว : ฉันไม่อยากเป็นมือถืออ่ะ… คนแอบฟังยิ้มจนปวดแก้มแล้ว แอบชมในใจว่าสาว เหรอ นี่ ฉลาดไม่เบาไม่เสียชื่อสาวครุศาสตร์แฮะ

@@@

@@@ฟังแล้วขำ ๆ อารมณ์ดีไปด้วย เลยนำมาเล่าต่อให้ฟังเป็นข้อคิดเล็ก ๆ แล้วยังอาจได้ผ่อนคลายกับความคิดใส ๆ ของเด็ก ๆ โลกหมุนไปตลอดเวลา ความคิดมุมมองของเด็กรุ่นใหม่ก็เปลี่ยนไปตามบริบท หากผู้ใหญ่ตามไม่ทันความคิดของเขา ก็จะกลายเป็น ช่องว่าง สร้างปัญหาขึ้นมาได้เหมือนกัน…จริงไหมคะ?

;)


ขัดแย้ง

13 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 10 สิงหาคม 2010 เวลา 10:36 (เช้า) ในหมวดหมู่ สังคม ความคิด #
อ่าน: 2108

คำเตือนสำหรับบันทึกนี้ : บันทึกนี้ยาวและมีสาระน้อย หากมีเวลาไม่มากพอ สมาธิยังไม่ตั้งมั่น และเป็นคนที่มีมาตรฐานชีวิตสูง… ไม่ควรอ่าน

////

พระเจ้าไม่ได้สั่งว่าจงทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่

แต่…จงทำเพียงสิ่งเล็ก ๆ

ด้วยความรักในหัวใจที่ยิ่งใหญ่ก็พอ

แม่ชีเทเรซา

///

///เพื่อนเล่าว่าเบื่อเพื่อนร่วมงานที่ชอบเอาเปรียบ งานชิ้นใหญ่ ๆ สำคัญ ๆ ทำเอง งานกระจิ๊บกระจ้อย ไม่มีความสำคัญส่งมาให้เธอทำ…ฯลฯ นั่งฟังไปก็อินไปด้วย ช่วยกันคิดค้นวิธีแก้เผ็ดเพื่อนประเภทนี้ เป็นที่สนุกสนานเฮฮาแกมตลก(ร้าย)

คุยกันจนขนมหมด ได้เวลาต้องกลับบ้าน ก่อนจากกันเพื่อนบอกว่า เธอเปลี่ยนไปนะ ถามว่าเปลี่ยนยังไง เพื่อนบอกว่าถ้าเป็นแต่ก่อนเธอก็จะบอกว่าปล่อยไปเหอะ ใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้น อย่าไปสนใจ ทำเรื่องของเราให้ดีที่สุด… อะไรทำนองนี้ แล้วก็มักจะกลับไปคิดต่อด้วยความรู้สึกว่าตัวเองนี่แย่จัง ใจแคบ คิดลบ กลุ้มใจต่อไปอีก (อ้าว…เป็นงั้นไป)

///ไม่ได้บอกเพื่อนว่า เราไม่ได้เปลี่ยนไปหรอก แต่ตอนนี้เริ่มยอมรับความคิดจริง ๆ ของตัวเอง จะไปมัวหลอกตัวเองว่าเป็นนางเอกอยู่ได้ไงล่ะ คนทุกคนมีภาคทั้งดีและร้ายมากน้อยต่างกันไป แล้วแต่จะโผล่หน้ามาตอนไหน บริบทใด ดังนั้นหากอยากรู้จักภาคที่ไม่เคยเห็นในตัวใคร ต้องอยู่ใน ภาวะวิกฤต อันกระทบต่อหน้าตาชื่อเสียงเกียรติยศ พูดง่าย ๆ ก็กระทบกับ อัตตาในตัวเรานั่นแหละ

บางทีนะ จะเห็นหลายภาคเลย ทั้งแม่พระ นางมาร ผู้พิทักษ์ ซาตาน ตัวตลก คนโลภ ผู้มีเมตตา ฯลฯ จนเราอาจตกใจตัวเองก็ได้(โอ เราหรือนี่)

การเก็บกดภาคร้าย ๆ แย่ ๆ สร้างภาพลักษณ์ดี ๆ ก็เป็นกลไกหนึ่ง (ขี้เกียจอ้างชื่อนักวิชาการทั้งหลาย) เพราะแท้ที่จริงแล้ว เราทุกคนอยากเป็นคนดี อยากให้คนมองว่าเราเป็นคนดี คนเก่ง คนมีความสามารถ ใครลองมาทำให้เราตระหนักรู้ถึงความไม่ดี ความแย่ ความโหล่ยโท่ยของเราแม้เพียงเล็กน้อย เราจะรู้สึกไม่ดีทันที เพราะเกิด ความขัดแย้ง ขึ้นในใจระหว่างตัวตนที่แท้(Real self)กับตัวตนที่เราพยายามสร้างขึ้น(Image)

ความขัดแย้ง นี้ เป็นตัวสร้างปัญหาให้กับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ยิ่งปกปิดปกป้องไว้ กำแพงก็หนา ปัญหาก็จะเกิดได้บ่อยได้ง่ายขึ้น สร้างความปวดหัวปวดใจปวดอารมณ์ให้กันและกันจนวุ่นวายไปหมด

มีผู้รู้ (จำชื่อไม่ได้) กล่าวไว้ว่า วิธีง่าย ๆ พื้นฐานที่สุดในการปลดปล่อยความขัดแย้งในใจก็คือ การยอมรับ ยอมรับอย่างซื่อสัตย์กับความรู้สึก ความคิดของเรา

…หากชอบ…ก็รักษามันไว้

…หากไม่ชอบไม่อยากเป็นเช่นนั้น…ก็เปลี่ยนซะ (แค่นั้นเอง)

…ไม่ต้องไปพบจิตแพทย์ให้เหนื่อยใจทั้งหมอทั้งคนไข้ (จิตแพทย์และเจ้าหน้าที่ด้านจิตเวชก็ทนเจ็บป่วยด้วยอาการทางจิตเวชเยอะแยะเลย)

กล้า ๆ หน่อย ไม่ต้องอายที่จะบอกความรู้สึกจริง ๆ ชอบก็บอกว่าชอบ ไม่ชอบก็บอกว่าไม่ชอบ เกลียดก็บอกเลยว่าเกลียด ยอมรับไม่ได้ รู้สึกดีก็เบิกบานซะให้หนำใจ รู้สึกแย่ก็บ่น ๆ ร้องไห้ให้พอ… (อ้อ…เพียงอย่าให้เดือดร้อนเบียดเบียนคนอื่นมากไปก็แล้วกัน)

คิดไปยาว…ไม่เห็นจะเกี่ยวกับหัวข้อเลย (ฮา ๆ ก็บอกแล้ว ไม่มีเวลาอย่าอ่าน สมาธิไม่พออย่าเสี่ยงกับบันทึกนี้) ก็กำลังจะสรุปอยู่นี่ละว่า เมื่อยอมรับตัวเองได้แล้ว จะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน เราเลือกเอง ไม่มีใครบังคับเราได้ แต่บางทีเราก็ไม่มีทักษะ ไม่เข้มแข็งพอจะเปลี่ยนไปยังสิ่งที่เราต้องการนี่…

ส่วนตัวมีวิธีการง่าย ๆ ก็คือ อย่าหักด้ามพร้าด้วยเข่า ให้ค่อยเป็นค่อยไป เราไม่จำเป็นต้องเป็นนางฟ้า นางเอก พระเอกขี่ม้าขาว ผู้พิทักษ์ตลอดกาล เราค่อยทำสิ่งที่คิดว่าดี เป็นประโยชน์ต่อทั้งตัวเอง คนใกล้ตัว รอบบ้าน รอบชุมชน ทำหลาย ๆ คนเข้า มันจะขยายวงยิ่งใหญ่ไปเอง

ไม่ต้องทำสิ่งยิ่งใหญ่หรอก ทำสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่มุ่งมั่นตั้งใจ คาดหวังน้อย ๆ ทำด้วยใจร่ม ๆ เย็น ๆ…

แล้วมันจะดีเอง… (อย่าเชื่อนะ)

;-) อยู่ได้ไงล


ความหมาย

6 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 1 สิงหาคม 2010 เวลา 11:47 (เช้า) ในหมวดหมู่ สังคม ความคิด #
อ่าน: 2278

:-D

เราทุกคนคือคนพิเศษ

เราเกิดมาด้วยภารกิจหนึ่งที่ได้กำหนดไว้แล้ว

ไม่มีใครที่เกิดมาโดยไร้ความหมาย

เพียงเราค้นพบ ความหมาย นั้นก็พอ

คาริล ยิบราล

P20801788

////

คุยกับเจ้าหลานสาวตัวน้อย

เธอเป็นสาวน้อยวัย 9 ปีเศษ เป็นลูกคนกลางในบรรดาสามใบเถา ธรรมชาตินิสัยของเด็กแต่ละคนย่อมแตกต่างไม่ซ้ำกันเลย เธอเป็นสาวเดียวในสามคนที่ถูกผู้ใหญ่ให้สมญานามว่า เจ้าหนูจาไม เพราะตั้งคำถามกับทุกเรื่องราวที่ประสบ จนบางครั้งคนรอบตัวเธอเกิดปัญหากับการตั้งคำถามของเธอ

เมื่อวานนี้…

เธอวิวาทะกับพี่สาวซึ่งกำลังเข้าสู่วัยรุ่น มีโลกส่วนตัวสูง ไม่ต้องการให้น้องสาวมาวุ่นวายด้วย เธอพาลโกรธน้องสาวของเธอที่มาเซ้าซี้ให้เล่นด้วย ไม่พูดไม่จา ไม่ยอมทานข้าวกลางวัน คุณตาคุณยาย พ่อแม่ เดือดเนื้อร้อนใจ จึงส่งคุณยายน้อย(น้องสาวคุณยาย)ไปคุยกับเธอ เลยตกที่นั่งทูตสันถวไมตรี

เข้าไปหาที่ มุมส่วนตัว ซึ่งเธอประกาศเป็นอาณาจักรส่วนตัว ห้ามใครเข้าไปใกล้ นั่งหน้ามุ่ยอยู่คนเดียว เลยยกพิซซ่าชิ้นโต (ของโปรดของเธอแหละ) ใส่จานเข้าไปขอนั่งคุยด้วย

คุณยายน้อย: ขอนั่งด้วยได้ไหมจ้ะ

สาวน้อย: ไม่ได้…นี่ที่ของหนู ห้ามใครเข้า… เสียงเขียวเชียว

คุณยายน้อย: อ้าวเหรอ งั้นนั่งข้าง ๆ ก็ได้ ขอนั่งหน่อยนะ กำลังหิวเลย พิซซ่า นี่อร่อย ๆ กินไหมแบ่งให้

สาวน้อย: ไม่กิน…หนูไม่หิวสักหน่อย

คุณยายน้อย: ไม่หิวเหรอ ตามใจ หิวเมื่อไหร่บอกนะ มีอีกเยอะ

สาวน้อย: หน้าบึ้ง แอบกลืนน้ำลายด้วย…ฮา ๆ (จะบ่ายสองโมงแล้วนี่ ไม่หิวได้ไงกัน)

คุณยายน้อย: เออ…ไอ้นี่เขาเรียกอะไรน่ะ ชี้ให้ดูส่วนประกอบบางอย่างของพิซซ่าที่กินอยู่

สาวน้อย: พริกหยวกไง… ปลายเสียงยังสะบัด ๆ

คุณยายน้อย: อ้อ พริกหยวกเหรอ ไม่กินละ เดี๋ยวเผ็ด ๆ

สาวน้อย: เฮ้อ…พริกหยวกน่ะ ไม่เผ็ดสักหน่อย เสียงลอยมารำคาญ ๆ คุณยายน้อยนี่ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย

คุณยายน้อย: อ้าวไม่เผ็ดเหรอ แหมเพิ่งรู้นะนี่ … ทำทีเป็นกินต่อไป คอยชายตามองปฏิกิริยาของสาวน้อยไปด้วย บ่นลอย ๆ อีกว่า กินไม่ไหวแล้ว อิ่มจัง วันนี้พิซซ่าไม่อร่อยเลย แกล้งบ่น ๆ

สาวน้อย: อิ่มแล้วก็บอกว่าไม่อร่อยน่ะสิ เสียงค่อน

คุณยายน้อย: งั้นมั้ง… เหลือเยอะเลย กินไหม … ไม่บอกใครหรอก…ยื่นเข้าไปให้ทั้งจาน

หลังจากทำทีท่าลังเลสักครู่ แต่ทนการคะยั้นคะยอไม่ไหว สาวน้อยก็รับจานพิซซ่าไปอย่างเสียไม่ได้ คุณยายน้อยก็นั่งอยู่ข้าง ๆ ทำทีไม่สนใจกับการทานอย่างหิวโหยนั้น พอท้องอิ่มอารมณ์เริ่มดีขึ้น หันมายิ้มหวานให้…เลยคุยต่อ ถามว่าเพราะอะไรจึงไม่ยอมทานข้าวเที่ยงกับคนอื่น ๆ เธอพรั่งพรูความรู้สึก แม่สนใจแต่น้องเล็ก พ่อเอาใจใส่แต่พี่สาว คนอื่น ๆ ในครอบครัวก็ตื่นเต้นกับพี่สาวและน้องสาวเธอ ไม่ค่อยมีใครสนใจเธอ …..ฯลฯ

เข้าตำรา เด็กมีปัญหา ลูกคนกลาง เลยแฮะ…เสียงในหัวพิพากษาทันที แต่ช้าก่อน… รอสักหน่อย ฟังสาวน้อยไปเรื่อย ๆ ก่อน… เธอพูดยาวเกินกว่าที่คิดว่าเด็กขนาดนี้จะพูดได้ ท้าย ๆ เธอเริ่มมีน้ำตาด้วยความคับข้องใจ สังเกตดูก็ไม่มีใครในบ้านที่ยกพี่สาวและน้องสาวมาเปรียบเทียบกับเธอแต่เธอรู้สึกเอง ด้วยความเป็นเด็กที่มีความรู้สึกไวกว่าเด็กในวัยเดียวกัน พยักหน้าฟังไปเรื่อย ๆ ไม่พูดไม่ขัดใจ ยิ้มบ้าง จับหัวเธอบ้างเพื่อให้กำลังใจเธอ…

ท้ายที่สุด…ทั้งคนพูดและคนฟังก็หลับเค้เก้อยู่ในอาณาจักรส่วนตัวของสาวน้อยนั่นเอง

เรื่องมาจบลงที่ว่า… กินอิ่มมากตอนบ่าย ๆ ก็เริ่มง่วง คุยไปคุยมาเลยเคลิ้มหลับไป แต่ต้องตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจจากเสียงร้องว่า… ดูสิ หลับกันทั้งคู่เลย ทำอะไรกันน่ะ เออนะให้มาคุยกับหลาน แต่ดันมาชวนกันนอนหลับอุตุ…ยังไงนี่…

โธ่เอ้ย…เรื่องแค่นี้เอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตอะไรสักหน่อย ผู้ใหญ่มักโวยวายบ่นว่าตัดสินพฤติกรรมของเด็ก ๆ ว่ามีปัญหา ต้องแก้ไข  … บางเรื่องบางราวอาจเป็นแค่กระบวนการหนึ่งที่เด็ก ๆ กำลังปรับตัว กำลังค้นหาความหมายในชีวิตของเขาก็เป็นได้  เวลาผ่านไป…ก็แค่นั้น ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ไปได้นี่นา

////

หันไปพยักเพยิดแล้วชวนสาวน้อยว่า ไปเล่นโยคะกันดีกว่าเนอะ กินพิซซ่าเข้าไปซะพุงกางเลย เดี๋ยวอ้วนแย่…แล้วค่อยกลับมาช่วยกันวาดรูปประกอบข้อความที่ยื่นให้เธอช่วยอ่านให้ฟัง ของคาริล ยิบราลที่ว่า

เราทุกคนคือคนพิเศษ

เราเกิดมาด้วยภารกิจหนึ่งที่ได้กำหนดไว้แล้ว

ไม่มีใครที่เกิดมาโดยไร้ความหมาย

เพียงเราค้นพบ ความหมาย นั้นก็พอ

////

สาวน้อยยิ้มแป้นตอบรับอย่างกระตือรือร้น เพราะเป็นคนที่มีพรสวรรค์ในการวาดภาพและระบายสีอยู่แล้ว แต่ไม่วายหันมาถามว่า…

…แล้วเราจะค้นพบ ความหมาย ได้ไงคะ…

////

คุณยายน้อยยิ้มตอบ ชักเข้าเค้าแล้วแฮะ…

ตอบเธอไปว่าไม่รู้เหมือนกัน…แต่เรามาช่วยกันค้นหาก็แล้วกันนะจ้ะ

////

อย่างน้อยเธอก็คงอบอุ่นใจที่มีคนเคียงข้างเธอบ้างล่ะน่า

;)


มิตรคนที่ 7

6 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 25 กรกฏาคม 2010 เวลา 1:44 (เย็น) ในหมวดหมู่ สังคม ความคิด #
อ่าน: 2395

1234

จากบันทึก มิตร 6 คน

ทำให้ต้องมานั่งขมีขมันทำ Check list ก็พบว่าตัวเองมีมิตรทั้ง 6 ประเภท มากน้อยต่างกันไป ที่น่าแปลกใจก็คือ มีประเภทที่ 1 (คอยห่วงใยถามไถ่ตักเตือน) และประเภทที่ 6 (มีประสบการณ์และอายุมากกว่า) มากที่สุด …สงสัยเราจะเป็นพวกแก่แดดแก่ลมแน่เลย...ฮา ๆ ๆ ๆ

1234

นั่งคิดไปคิดมา ยังมีมิตรอีกประเภทหนึ่งที่จะหลงลืมไม่ได้ เพราะมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ามิตรทั้ง 6 ประเภทที่ว่า นั่นคือ มิตรที่คอยขัดคอขัดใจ

ไม่ทราบใครเคยพบบ้างหรือไม่ สำหรับคนบางคนนั้น เราตระหนักชัดอย่างไม่มีข้อสงสัยว่าเป็นคนดี คนเก่ง มีความรู้ และเปี่ยมประสบการณ์ แต่พอคุยด้วยทีไร เป็นอันต้องเกิดอาการ จิตตก (ยกไม่ทัน) เหมือนถูกตำหนิอยู่เรื่อย เราพูดเราคิดอะไรไม่เคยดี ไม่เคยถูก ไม่เห็นจะเข้าท่า คุยด้วยแล้วเสียอารมณ์(ดี ๆ)… (คิดปลงในใจว่า คนอะไรพูดจาไม่มีเสน่ห์เอาซะเลย)

จะว่าไปก็ไม่ใช่เป็นเฉพาะกับเราคนเดียว เธอก็เป็นอย่างนี้กับทุกคนรอบข้าง เป็น ปกติธรรมดา ของเธอ

หากพิจารณาจากรากศัพท์ คำว่า มิตร

มิตร, มิตร-

ความหมาย
[มิด, มิดตฺระ-] น. เพื่อนรักใคร่คุ้นเคย เช่น มิตรแท้ มิตรเทียม ฉันมิตร. (ส.; ป. มิตฺต).

สรุปรวมความว่า มิตร ก็คือเพื่อนที่รักใคร่ เพื่อนที่คุ้นเคยกัน

แล้วกรณีคนที่ชอบขัดคอขัดใจ ได้สังสรรค์เสวนาด้วยแล้ว จิตตก นี่ ทำไมจึงนับเป็นมิตร…

มีเหตุผลส่วนตัว 3 ประการ (คิดออกตอนนี้)ที่นับคนเช่นนี้เป็น มิตร

1. เพราะเธอเป็นคนคุ้นเคยกัน หากไม่คุ้นเคยหรือไม่ต้องมีกิจกรรมที่สัมพันธ์กัน ก็คงจะไม่ได้พูดคุย แลกเปลี่ยนกันเป็นแน่ ดังนั้นแม้ไม่อาจทำใจให้รักใคร่เธอได้ แต่ก็ต้องนับว่าเป็นมิตรเพราะมีความคุ้นเคย มีกรรมสัมพันธ์กันมา

2. เพราะเธอช่วยให้ได้ มองต่างมุม หลายครั้งที่แม้จะไม่ชอบคำพูดคำจา ภาษาที่เธอใช้ แต่ลึก ๆ ก็รับรู้ได้ว่ามีความจริงจัง จริงใจ และมุมที่เธอชี้ให้เห็นก็เป็นมุมที่เราไม่เคยมอง ไม่เคยตระหนักถึงมาก่อน

3. เธอได้ช่วยสะท้อนให้เห็นตัว กิเลส ด้วยการตีกระทบตัวตนของเรา ช่วยขัดเกลาอัตตา ทำให้เห็นว่า เรานี่ขี้หงุดหงิด ขี้โกรธ ติดคำหวานหู (แม้รู้ว่าไม่จริงใจก็ยังชอบ) และทำให้คอยระวังด้วยว่า เราเองก็เคยทำตัวเป็นมิตรประเภทขัดคอขัดใจ ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจกับคนอื่นมาแล้ว ถ้าให้ดีก็อย่าทำตัวเป็นมิตรประเภทที่ 7 ขัดคอขัดใจ ใครให้บ่อยนัก (เลือกเป็นมิตรประเภทอื่นจะดีกว่า)

นี่แค่ 3 ข้อที่คิดได้ ก็เห็นคุณูปการของมิตรคนที่ 7 ขนาดนี้แล้ว ดังที่ ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญกล่าวไว้ ในหนังสือ ฉลาดได้อีก ของท่านว่า ใครที่มาทำให้เราไม่สบายใจ เจ็บใจ หากเราข่มกลับ(ยูเทิร์น)ไปที่ฐานกายได้ คิดได้ รู้ทันว่าอ้อ…นี่ที่เราโกรธ เกลียด ก็เพราะมันมากระทบกิเลสของเรานั่นเอง นอกจากเราจะได้บุญแล้ว คนที่ทำให้เราไม่สบายใจก็จะได้บุญจากการระลึกรู้ของเราไปด้วย เพราะเป็นครูบาอาจารย์ที่เมตตามาสอนกรรมฐานให้แก่เรา

1234

เอ๊ะ…ได้สองต่อ ดีสองชั้นแบบนี้…ดีจริงดีจัง!!!

ขอบคุณเป็นพิเศษสำหรับมิตรคนที่ 7 ค่ะ


มนุษย์

6 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 20 กรกฏาคม 2010 เวลา 11:19 (เช้า) ในหมวดหมู่ สังคม ความคิด #
อ่าน: 2222

1234

มนุษย์ที่แท้สมัยโบราณ

ไม่ใยดีในชีวิต

ไม่กลัวความตาย

มาง่าย..ไปง่าย

ไม่ลืมว่ามาจากไหน

และไม่ถามว่าจะไปไหน

ไม่เดินไปเบื้องหน้า ด้วยความทุกข์โศก

ทั้งๆ ที่ต่อสู้อยู่ตลอดชีวิต…

จางจื๊อ

1234

…มนุษย์เรา หากสามารถ อยู่เหมือนไม่อยู่

…ดำรงตนเหมือนไม่ได้ดำรงตน

ทำงานเหมือนไม่ได้ทำงาน

รักพร้อมเกื้อกูลตนเองและผู้อื่น โดยไม่ได้ใช้ความพยายามในการที่จะรักและเกื้อกูล…

1234

เราจะมีความสุขสงบสักปานไหน…

นี่แค่คิดนะ ก็ยิ้มละมุนละไมอย่างมีความสุขแล้ว


Antidote-อาการสำลักข้อมูล

8 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 10 กรกฏาคม 2010 เวลา 12:07 (เย็น) ในหมวดหมู่ สังคม ความคิด #
อ่าน: 2681

1234

วันนี้เกิดอาการ เอียน จากการได้ฟังรายการบางรายการที่เคยชื่นชอบว่านำเสนอข่าวสารและเรื่องราวที่ไม่เป็นที่เปิดเผย นอกจากพวก วงใน

แน่ล่ะ…เราอยู่ในยุคข่าวสารข้อมูล ยุคที่ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่กับปลายนิ้ว ข้อมูลคืออำนาจ (Information is power) เราปฏิเสธไม่ได้ หนีไม่พ้น เราต้องตามให้ทัน (อย่างรู้เท่าทัน) เราวิ่งตาม รับและกลืนกินข้อมูลอย่างหิวกระหาย … ขาดไม่ได้เสียแล้ว

การเสพสื่อทุกทางทั้งวิทยุ ทีวี หนังสือ เว็บต่าง ๆ ด้วยความเคยชินนี้ มีผลข้างเคียงที่เราอาจคาดไม่ถึงคือ อาการเมาและสำลักข้อมูล หากไม่ใช้วิจารณญาณอย่างถี่ถ้วนแล้ว จิตวิญญาณคงบอบช้ำ เพราะมักจะเป็นเรื่องไม่ดี ๆ (เรื่องดี ๆ ก็มีบ้างแต่…น้อยมาก)

1234

เลยคิดว่าต้องมี Antidote อาการเมาและสำลักข้อมูล บ้าง…ด้วยการ

@ ละลดเลิก การตำหนิ กันเถอะ เราตำหนิคนอื่น สิ่งแวดล้อม สังคม ประเทศชาติ ระบบ … ทุกสิ่งทุกอย่าง (ยกเว้น ตัวเอง) กันมากเกินไปหรือเปล่า? การตำหนิกันไม่ช่วยอะไร ทำได้ง่าย และยังมีคนที่ใช้การตำหนิเป็นเครื่องมือหากินในทุกเวที พูดทุกที่ ด่าทุกที (ขออภัยสำหรับผู้ที่ไม่ไ้ด้เป็นเช่นที่ว่า)

@ เพิ่มเติมเสริมต่อ การร่วมด้วยช่วยกันให้เกิดสิ่งดี ๆ กันดีกว่า เริ่มที่ครอบครัวซึ่งเป็นหน่วยเล็ก ๆ ขยายไปที่ชุมชนของเรา สังคม ประเทศชาติ และ…โลกของเราทุกคน  ฟังแล้วอาจคุ้น ๆ แต่ขอให้ตั้งใจจริงที่จะทำ ทำแม้ไม่มีใครรู้ใครเห็น ไม่มีใครสรรเสริญเยินยอหรือให้รางวัล ทำเพราะสำนึกว่า…”ควรทำ”

@ เริ่มต้นที่ตัวเอง เดี๋ยวนี้ เวลานี้ ตอนนี้เลย แทนที่จะคิดว่า ทำไมคนนั้นทำอย่างนี้อย่างนั้น ทำไมแย่จัง ทำไม…? เปลี่ยนเป็นหันมาคิดและถามตัวเองว่า ในฐานะของสมาชิกคนหนึ่งในสังคมโลก… เราจะทำอะไรให้เกิดสิ่งดี ๆ ต่อคนอื่น สังคม สิ่งแวดล้อมได้บ้าง

1234

ด้คำตอบแล้ว…

- เลิกเสพสื่อต่าง ๆ สัก 2-3 วัน

- จัดการ reset ความคิด มุมมองใหม่ และการกระทำใหม่

- ไปเที่ยวในที่ ๆ ไม่เคยคิดอยากไป

และท้ายที่สุด…

- คุยกับคนที่เราไม่เคยคิดอยากคุยด้วยเลย

1234

เรื่องที่ตั้งใจทำนี้ก็ไม่ง่ายสำหรับต้ัวเองนัก แต่พอทำได้ (หรอกน่า)

ก็ยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่คิดเล่น ๆ (แต่จะทำจริง) นี้

จะช่วยอะไรโลกได้บ้าง…แต่…ทำเถอะ

หากทำแล้วรู้สึกดีขึ้น เพราะเมื่อเรารู้สึกดีขึ้น คนรอบ ๆ ข้างก็จะดีขึ้น

ครอบครัว ชุมชน สังคม ประเทศชาติ และโลกนี้

ต้องดีขึ้นด้วยแน่ ๆ เลย


คนมั่งคั่งสอนลูก

8 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 16 มิถุนายน 2010 เวลา 10:40 (เช้า) ในหมวดหมู่ สังคม ความคิด #
อ่าน: 2650

 

 

           ”…ความไม่ดีของคนอย่าไปพูด ความดีเหมือนผ้าขาวดูง่าย  แต่ความไม่ดีเหมือนสีดำ และถ้าเราไม่รู้จริงและไปว่าคน  เท่าเป็นการทำร้ายเขา คือความไม่ดี ไม่ต้องพูด ให้รู้เพื่อระวัง และสอนไม่ให้อคติ คือท่านบอกว่ามนุษย์ทุกคนมีความไม่ดี อย่าไปโกรธ อย่าไปอคติ แต่ให้เราทำดีเป็นหลัก…

                                                                คุณทิพาภรณ์ เจียรวนนท์  
                                                                ลูกสาวเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์

  

สนใจอ่านต่อได้จาก หนังสือพิมพ์คมชัดลึก (ออนไลน์) บล็อกของคุณMonchai  http://www.oknation.net/blog/monchai83/2010/06/16/entry-1

 

  อ่านความคิดของเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ ผ่านการสอนลูกสาวแล้ว  นึกนิยม “คนมั่งคั่ง

        “คนมั่งคั่ง” ต่างจาก “คนรวย”  เพราะ คนมั่งคั่ง ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่การมีเงินทองทรัพย์สินบริวารมากกว่าระดับปกติทั่วไป แต่หมายถึงเป็นคนที่มีความบริบูรณเปี่ยมเต็มทั้งด้านวัตถุเงินทองทรัพย์สิน ความคิด ความรู้สึก ความเป็นมนุษย์ การเข้าใจคน การให้โอกาส และการแบ่งปันเกื้อกูลสิ่งที่ตนมีแก่ผู้คนและสังคมรอบตัว

      ที่เรียกว่า “คนรวย” บางคน มีจิตใจและชีวิตที่อาจเข้าขั้นเรียกได้ว่า “ยากจน” เพราะมีความกริ่งเกรงและกลัวอยู่ตลอดเวลาว่าจะยากจน ขาดทุน หรือขัดสน จึงมีความตระหนี่ ไม่ยอมเสียเปรียบ เสียสละใด ๆ   คนมีเงินมากบางคนจึงกลายเป็น “คนยากจน” ไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว  ในทางกลับกัน “คนพออยู่พอกิน” หรือคนที่ไม่ได้มีทรัพย์สินมากมาย แต่มีพอใช้พออยู่พอกินตามอัตภาพและรู้จักพอ เขาย่อมมีความสุข และรู้สึกถึง “ความมั่งคั่ง” ในตัวเอง (ไม่รวมถึงคนที่มีหนี้สินล้นพ้น ซึ่งต้องเรียนรู้และอาจต้องมีระบบจัดการเรื่องการเงินในชีวิตที่ดีกว่านี้)

      แน่ล่ะว่า การเป็นผู้มีทรัพย์สินเงินทองมากนั้นดีแน่ ๆ ไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจ หากไม่หลงใช้ทรัพย์สินนั้นทำลายความมั่งคั่งของตน และยิ่งจะได้เปรียบในการต่อยอดให้เกิดความมั่งคั่งทั้งทางโลกทางธรรมยิ่ง ๆ ขึ้น ด้วยทรัพย์สินที่ตนมีมากกว่าอีกด้วย 

 

เรามาสร้าง “ความมั่งคั่ง” กันดีกว่านะคะ

 



Main: 1.7296299934387 sec
Sidebar: 0.034250020980835 sec