เจ้าเป็นไผ
จำความได้ว่า ผมเกิดในตระกูลค่อนข้างยากจน พ่อกับแม่เป็นคนเรณูนคร จ.นครพนม แต่อยู่คนละหมู่บ้าน คุณพ่อเป็นคน บ้านหนองลาดควาย คุณแม่อยู่บ้านโคกกลาง คุณพ่อชอบการค้าขาย พ่อมีลูกอยู่สามคน เป็นชายล้วน ผมเป็นคนที่สอง (ชายกลางนั่นเอง) อิอิ พี่ชายใหญ่ห่างกับผม 2 ปี และน้องชายน้อยก็ห่างจากผม 2 ปี
แม่เล่าให้ฟังว่า ตอนที่ผมเด็ก ๆ เป็นเด็กที่น่ารักมาก ๆ อ้วน ๆ ไปไหนมาไหนก็มีแต่คนเอาไปเลี้ยง เอาไปอุ้ม เป็นเด็กอารมณ์ดี แต่ซนไปหน่อย แม่บอกว่า ผมปีนป่าย หล่นลงแคร่ หลายครั้งแล้ว แผลบนหัวมีเยอะมาก ๆ
หน้าตาดีตั้งแต่เด็ก อิอิ
ตั้งแต่จำความได้ พ่อค้าขายมาโดยตลอด พ่อจะมีรถกระบะหนึ่งคัน ไปกับพรรคพวก การขายของพ่อจะเปลี่ยนไปตามฤดูกาล
ช่วงแรก พ่อจะไปรับเช่าพระ ตระเวนไปทั่วราชอาณาจักร พ่อถึงช่วงหน้าหนาวพ่อก็จะไปรับซื้อผ้านวม ไปตระเวนขาย หรือ ถ้าเป็นช่วงผลไม้ ก็จะไปรับซื้อเงาะ มาขาย และ ถ้าเป็น ช่วงฤดูที่ชุ่มชื้น พ่อก็จะไปซื้อต้นไม้ต่าง ๆ มาตะเวนขายตามหมู่บ้าน เป็นอย่างนี้มาหลายปี เพื่อนำเงินมาเลี้ยงดูคุณชายทั้งสามคน
ตัวผมเองเฝ้ารอพ่อที่ทำงานทุกวัน ประมาณว่า หายไป 10 20 วัน แล้วกลับมา นำเงินมาให้แม่ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เฝ้ารอวันที่พ่อกลับมา กลับมาทานข้าวกัน อยู่ด้วยกัน เล่นกัน ฉันพ่อ แม่ ลูก
ตัวผมเองก็เป็นเด็กธรรมดา ผมเรียนโรงเรียนบ้านโคกกลาง ตั้งแต่ ป. 1 จนถึง ป. 6 เกรดออกมาก็ธรรมดา ไม่ได้เรียนเก่งถึงขั้นที่ 1 หรือเรียนแย่ ถึงขั้นที่โหล่ ก็อยู่ในระดับกลาง ๆ แต่ในใจก็หวังลึก ๆ อยากเรียนเก่ง ๆ อย่างเพื่อน ๆ มั้ง แต่ก็ได้เท่านี้ แต่ก็ไม่เป็นไร
หลังจากจบ ป.6 แล้วผมมาสมัครเรียนต่อโรงเรียนมัธยม เป็นโรงเรียนประจำอำเภอ คือ โรงเรียนเรณูนครวิทยานุกูล อ.เรณูนคร
จ.นครพนม ก็สมัครเข้าเรียนก็ได้อยู่ห้องรองคิง ( รองเก่ง ) เป็นคนที่ชอบเล่นดนตรีมาตั้งแต่เด็ก พอได้เข้ามาเรียนที่โรงเรียนมัธยม ช่วง ม. 3 ก็หัดเล่นกีตาร์ จำได้ว่า ช่วงนั้น มีคนเล่นกีตาร์เป็นไม่กี่คนในรุ่น ก็เลยห้อมล้อมไปด้วยเพื่อน ๆ และ สาว ๆ อิอิ เป็นอะไรที่ภาคภูมิใจมาก ๆ
ช่วงนั้นเรามองเห็นพี่ ๆ ม. 6 ที่เล่นดนตรีสากล เป็นวงสตริงเกิดแรงบันดาลใจว่า ถ้าเราเลื่อนชั้นไปอยู่ ม. 6 เราต้องมีวงเป็นของเราเองและเล่นเพลงให้พี่ ๆ น้อง ๆ
สมัยมัธยมครับ ทายซิครับครูโย่งคนไหนครับ
ในช่วง ม. 4 - ม.5 ก็ได้มีชมศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านเกิดขึ้นซึ่งก็เป็นวงดนตรีโปงลาง และมีนางรำด้วย ซึ่งในช่วงนั้นผมก็ได้ฝึกซ้อมดนตรีพื้นบ้าน ไม่ว่าจะเป็นโหวด พิณ โปงลาง ตอนนั้นผมรับหน้าที่เล่นเบส ถ้าคนไหนติดงานหรือเล่นเครื่องไหนไม่ได้ ผมก็สามารถเล่นแทน เพื่อน ๆ ที่ไม่ว่าได้ จำได้ว่าอาจารย์ประจำชมรมจะรับงาน ช่วงหลังเลิกเรียนหรือไม่ก็ช่วงวันเสาร์ อาทิตย์ ไปหลายจังหวัดมาก ที่ประจำใจที่สุดก็คือ ได้มีโอกาสไปเล่นที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งพระเทพ ฯ พระองค์ท่านได้เสด็จมาเป็นประธานและได้เข้ามาชมการแสดงของพวกเรา เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้
ก็เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ทางดนตรีที่เรามีความสุขที่ได้เล่น ที่ได้เผยแพร่วัฒนธรรมของพวกเราชาวผู้ไทย เรณูนคร ผมยังวนเวียนอยู่กับดนตรี ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมรัก จริง ๆ สายที่ผมเรียน ม. 4 - ม. 6 คือ สายวิทย์ คณิต นั่นเอง และ เรียน รด.ปี 1- ปี 3
ช่วง ม.6 ก็เป็นโอกาสอันดีที่ผมและเพื่อน ๆ ได้มีโอกาสร่วมตัวกันและได้เล่นดนตรี เป็นวงสตริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ใฝ่ฝันมานานแล้ว ก็ได้เล่นสมดังความฝัน เป็นอะไรที่มีความสุขมาก การที่เราเล่นดนตรีแล้ว เห็นเพื่อน ๆ น้อง ๆ ร้องตามได้ เป็นสิ่งที่พวกเราชอบมาก ๆ
เราเล่นดนตรีแบบนี้ไม่ใช่ว่า เราเล่นแบบเอาเป็นเอาตาย การเรียนไม่เอา ไม่ใช่นะครับ เราแยกแยะออกว่า เวลาไหนควรซ้อม เวลาไหน ควรเรียน ผมเรียนจบ ป.6 ด้วยเกรดเฉลี่ย 2.90 ก็ถือว่าไม่มาก เป็นระดับแบบ กลาง ๆ ในช่วงนั้นผมยังไม่รู้ตัวเองว่า ตกลงไอ้ที่ว่าเราชอบดนตรี เราจะมุ่งไปทางด้านดนตรีไหม หรือว่า เราเอาแค่เป็นงานอดิเรก คิดไปคิดมา ผมไปเอนท์ เลือกคณะเกษตร ( ตามเพื่อน ) เพราะเพื่อนผมได้โคว้ต้าเกษตรศาสตร์ ม.ขอนแก่นไปแล้ว ก็เลยอยากเรียนคณะนี้ ปรากฏสอบไม่ติด คิดไปคิดมา เราอยากเป็นอะไร คิดในใจ ตกลงเราชอบอะไรกันแน่ ในสมองแว็บเข้ามา เราอยากเป็นนายธนาคาร ไปเรียนการเงินการธนาคารเถอะ ก็เลยปรึกษาเพื่อนอีกคนหนึ่ง ว่าเรียน การเงินการธนาคารเป็นไงว่ะ เพื่อนก็เลยบอกว่า ไปเรียนดนตรีดีกว่า ไปเรียนกับเรานี่แหละ เขามีโค้วต้า ความสามารุถพิเศษไม่ต้องสอบข้อเขียน เอากีตาร์ไปด้วยเดียว ตอนแรกผมบอกตรง ๆ ว่าไม่อยากไป แต่ก็จะลองดูก็เลยไปสมัครสอบกับเพื่อน ก็ได้โคว้ต้า เรียน คณะครุศาสตร์ วิชาเอกดนตรี สถาบันราชภัฏสกลนคร ก็ได้เลยได้เรียนโดยปริยาย
หน้าตาปีหนึ่งครับ
ผมเข้าเรียน เอกดนตรี วิชาเอกเครื่องมือ กีตาร์คลาสิก ตอนนั้นก็ตั้งใจฝึกซ้อมมาก ๆ ตื่นแต่ตีห้า มาซ้อม ๆๆๆ ซ้อมอ่านโน้ต ดูโน้ต ไล่สเกล จนทำให้เราเข้าใจ และคล่อง สามารถสอนเพื่อน ๆ ในห้องได้ ผมว่า ความมุ่งมั่นและความตั้งใจ ทำให้ประสบผลสำเร็จ อันนี้ผมลองมาแล้วจริง ด้วย ผลสุดท้าย ผมได้ A วิชานั้น อ่อ ลืมไป สมัยก่อน A เขาเรียกว่า ได้ ก
การสอบปฏิบัติกีตาร์
ช่วงปี 1 และ ปี 2 ผม เข้าเรียนต่อ รด. ปี 4 ปี 5 ไปพร้อม ๆ กันด้วย ยอมรับว่าช่วงนั้นต้องปรับตัวอย่างมาก และต้องอดทนมาก ๆ เพราะไหนจะต้องซ้อมดนตรี ไหนจะต้องเรียน รด. ไหนจะต้องเข้าค่าย บางวันการเรียนก็ตรงกัน แต่ก็ต้องเลือกอันไหนสำคัญกว่า และแล้วความพยายามที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ผมเรียนจบ รด.ปี 5 ได้เลื่อนยศ.เป็นว่าที่ร้อยตรี ยงยุทธ ยอดมงคล สมใจยาก อิอิ
ช่วงปีสาม ตอนนั้นได้รวมตัวกับเพื่อน ๆ จะไปเล่นดนตรีอาชีพ แถว ๆ อ.สว่างแดนดิน ซึ่งตอนนั้นยอมรับพ่อแม่หนักใจมาก เนื่องจากครูโย่งไปย้อมผมสีแดง และผมยาวด้วย เพราะเป็นนักดนตรีต้องผมยาว มีคาแรกเตอร์นิดหนึ่ง แต่ก็อธิบายให้แม่เข้าใจ ว่ามันเป็นงาน พ่อแม่ก็เลยเข้าใจ
ช่วงที่เล่นดนตรีอยู่ในผับเป็นเหมือนมุมมืดของชีวิตเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็น การดื่มเหล้า การมีผู้หญิงมาพัวพัน ซึ่งคงต้องยอมรับว่า ก็มีนอกลู่นอกทางกันบ้าง แต่ถ้าเราไม่หักห้ามใจ จิตใจและร่างกายคงกระเจิดกระเจิงไปมากกว่านี้ เราเล่นที่นั้นได้ ประมาณ 3 - 4 เดือน พวกเราก็เลิก เพราะมีปัญหาหลาย ๆ อย่างสุมเข้ามา
การทำงานกับคนกลุ่มมาก ย่อมมีปัญหา ถ้าต่างฝ่ายต่างคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกไม่ยอมลดราวาศอกกันละก็ คงต้องทาใครทางมัน แต่ถ้ามีการพูดคุยกัน ประณีประนอม ยอมรับความคิดเห็นซึ่งกันและกันก็คงจะไปด้วยกันได้
ผมผ่านด้านมืดของชีวิตมาแล้ว ช่วงนั้นก็พยายามตั้งใจ เรียนจบให้ได้ เพื่อที่จะทำให้พ่อกับแม่ภูมิใจ
ผมว่า การที่เราจะประสบผลสำเร็จในชีวิตได้ ต้องมีแรงบันดาลใจ มาก่อน สามเหตุที่ผมคิดว่าแรงบันดาลใจมาก่อนก็คือ ช่วงตอนที่ผมอยู่ ปี 4 ได้มีโอกาสไปแสดงความยินดีกับพี่ ๆ ที่จบไปแล้ว และเห็นพี่ ๆ แต่งชุดปกติขาว รับปริญญา เราเห็นว่า มันเท่ห์ มันสง่า มันภูมิฐาน มาก ๆ ผมก็เลยเกิดแรงบันดาลใจว่า เอาละ เมื่อเราจบแล้ว เราจะไปสมัครสอบครูและตั้งใจสอบให้ได้ เพื่อที่จะได้เป็นครูและใส่ชุดปกติขาวรับปริญญา ตอนนั้นมุ่งมั่นมาก พอเรียนจบปุ๊บ ก็ไปสมัครติวกับอาจารย์ที่สถาบัน ซึ่งตอนนั้นไม่มีเงิน คนใกล้ตัวผมก็เลยให้มาสมัคร ตั้งใจมาก ๆ อยากสอบได้ ตอนนั้นมีการสอบแข่งขันที่อุบลราชธานี ความรู้แน่นมาก ไปหาหมอดูก็บอกสอบได้แน่ ๆ ไปบ่นบานศาลกล่าวที่ไหนก็ไปมา พอไปสอบแล้วผลสอบออกมาว่า ไม่มีชื่อ ผิดหวังมาก ตอนนั้นวูบไปซักพักหนึ่ง
ก็ตัดสินใจเข้ามา กทม. เพื่อมาหางานทำ ตอนนั้นไปสมัครที่บริษัท เอ็ทน่า โอสถสภา ประกันชีวิต ตอนนั้นเรายังไม่รู้ว่าเราต้องไปขายประกัน เขาบอกว่าตำแหน่ง ผู้จัดการฝ่ายขาย เงินเดือนหมื่น ก็เลยดีใจ โทรไปบอกพ่อแม่ว่าได้งานแล้ว ที่ไหนได้ ต้องไปขายประกัน ขายอยู่พักหนึ่งก็ไม่ค่อยเวิร์ค เพราะเราอ่อนประสบการณ์ แล้วก็เปลี่ยนบริษัท ไปขายกับบริษัท อาคเนย์ประกันชีวิต ซึ่งก็ได้ทีมงานดี ก็มียอดขายอยู่บ้าง ไปสัมมนาบ้าง ไปดูแลลูกค้าบ้าง ตอนนั้นผมพักแถว ๆ บางโพ
พี่ชายโทรมาบอกว่า ตอนนี้ที่ กทม. เขามีสอบครู กทม. ลองมาสอบดูไหม ก็เลยลองสมัครสอบเข้ามา ทางกทม. เขารับ 10 ตำแหน่ง ตอนสอบเสร็จมั่นใจว่า ยังไงก็ได้ที่ 1 แน่ ๆ ชัวร์ ๆ มั่นใจขนาดนั้นเลย ปรากฎว่าผลสอบออกมาเราได้ที่ 17 ก็ดีใจครับ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย เพราะต้องรอ เขาเรียก
รอบแรก กทม.เรียก 10 คน เดือนสิงหาคม 2543
ช่วง พฤศจิกายน 2543 เรียกเพิ่มอีก 10 คน ก็เลยได้เป็นครูสมใจอยาก ตอนนั้นเขาให้เลือกลงโรงเรียนที่อยากลง พอเห็นโรงเรียนพรพระร่วงประสิทธิ์ ถ.สุขภิบาล 5 ในใจคิดว่า สุขาภิบาล 5 ก็คงอยู่ใกล้ ๆ กับ สุขาภิบาล 1 - 3 อะไรแบบนี้ ก็เลยเลือก ปรากฎว่า อยู่แถวรามอินทรา โอ้โหอยู่ลึกมาก
ผมต้องนั่งรถจากบางโพ ไปโรงเรียน 5 ต่อกว่าจะถึง ออกจากบ้านประมาณ ตีสี่ กว่า กลับถึงบ้านประมาณ 2 - 3 ทุ่ม เป็นเวลากว่าปี
เวลาผ่านไปหนึ่งปีความฝันก็เป็นจริง ผมเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรด้วยชุดปกติตาม ตามที่ผมได้แรงบันดาลใจจากรุ่นพี่ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่อะไรที่ยิ่งใหญ่แต่ผมก็ภูมิใจกับสิ่งที่ได้รับ เพราะสิ่งนี้คือสิ่งที่ผมได้มาด้วยตัวของผมเอง โปรดติดตามต่อต่อไปครับผม