เจ้าเป็นไผ
อ่าน: 1833เจ้าเป็นไผ
จำความได้ว่า ผมเกิดในตระกูลค่อนข้างยากจน พ่อกับแม่เป็นคนเรณูนคร จ.นครพนม แต่อยู่คนละหมู่บ้าน คุณพ่อเป็นคน บ้านหนองลาดควาย คุณแม่อยู่บ้านโคกกลาง คุณพ่อชอบการค้าขาย พ่อมีลูกอยู่สามคน เป็นชายล้วน ผมเป็นคนที่สอง (ชายกลางนั่นเอง) อิอิ พี่ชายใหญ่ห่างกับผม 2 ปี และน้องชายน้อยก็ห่างจากผม 2 ปี
แม่เล่าให้ฟังว่า ตอนที่ผมเด็ก ๆ เป็นเด็กที่น่ารักมาก ๆ อ้วน ๆ ไปไหนมาไหนก็มีแต่คนเอาไปเลี้ยง เอาไปอุ้ม เป็นเด็กอารมณ์ดี แต่ซนไปหน่อย แม่บอกว่า ผมปีนป่าย หล่นลงแคร่ หลายครั้งแล้ว แผลบนหัวมีเยอะมาก ๆ
หน้าตาดีตั้งแต่เด็ก อิอิ
ตั้งแต่จำความได้ พ่อค้าขายมาโดยตลอด พ่อจะมีรถกระบะหนึ่งคัน ไปกับพรรคพวก การขายของพ่อจะเปลี่ยนไปตามฤดูกาล
ช่วงแรก พ่อจะไปรับเช่าพระ ตระเวนไปทั่วราชอาณาจักร พ่อถึงช่วงหน้าหนาวพ่อก็จะไปรับซื้อผ้านวม ไปตระเวนขาย หรือ ถ้าเป็นช่วงผลไม้ ก็จะไปรับซื้อเงาะ มาขาย และ ถ้าเป็น ช่วงฤดูที่ชุ่มชื้น พ่อก็จะไปซื้อต้นไม้ต่าง ๆ มาตะเวนขายตามหมู่บ้าน เป็นอย่างนี้มาหลายปี เพื่อนำเงินมาเลี้ยงดูคุณชายทั้งสามคน
ตัวผมเองเฝ้ารอพ่อที่ทำงานทุกวัน ประมาณว่า หายไป 10 20 วัน แล้วกลับมา นำเงินมาให้แม่ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เฝ้ารอวันที่พ่อกลับมา กลับมาทานข้าวกัน อยู่ด้วยกัน เล่นกัน ฉันพ่อ แม่ ลูก
ตัวผมเองก็เป็นเด็กธรรมดา ผมเรียนโรงเรียนบ้านโคกกลาง ตั้งแต่ ป. 1 จนถึง ป. 6 เกรดออกมาก็ธรรมดา ไม่ได้เรียนเก่งถึงขั้นที่ 1 หรือเรียนแย่ ถึงขั้นที่โหล่ ก็อยู่ในระดับกลาง ๆ แต่ในใจก็หวังลึก ๆ อยากเรียนเก่ง ๆ อย่างเพื่อน ๆ มั้ง แต่ก็ได้เท่านี้ แต่ก็ไม่เป็นไร
หลังจากจบ ป.6 แล้วผมมาสมัครเรียนต่อโรงเรียนมัธยม เป็นโรงเรียนประจำอำเภอ คือ โรงเรียนเรณูนครวิทยานุกูล อ.เรณูนคร
จ.นครพนม ก็สมัครเข้าเรียนก็ได้อยู่ห้องรองคิง ( รองเก่ง ) เป็นคนที่ชอบเล่นดนตรีมาตั้งแต่เด็ก พอได้เข้ามาเรียนที่โรงเรียนมัธยม ช่วง ม. 3 ก็หัดเล่นกีตาร์ จำได้ว่า ช่วงนั้น มีคนเล่นกีตาร์เป็นไม่กี่คนในรุ่น ก็เลยห้อมล้อมไปด้วยเพื่อน ๆ และ สาว ๆ อิอิ เป็นอะไรที่ภาคภูมิใจมาก ๆ
ช่วงนั้นเรามองเห็นพี่ ๆ ม. 6 ที่เล่นดนตรีสากล เป็นวงสตริงเกิดแรงบันดาลใจว่า ถ้าเราเลื่อนชั้นไปอยู่ ม. 6 เราต้องมีวงเป็นของเราเองและเล่นเพลงให้พี่ ๆ น้อง ๆ
สมัยมัธยมครับ ทายซิครับครูโย่งคนไหนครับ
ในช่วง ม. 4 - ม.5 ก็ได้มีชมศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านเกิดขึ้นซึ่งก็เป็นวงดนตรีโปงลาง และมีนางรำด้วย ซึ่งในช่วงนั้นผมก็ได้ฝึกซ้อมดนตรีพื้นบ้าน ไม่ว่าจะเป็นโหวด พิณ โปงลาง ตอนนั้นผมรับหน้าที่เล่นเบส ถ้าคนไหนติดงานหรือเล่นเครื่องไหนไม่ได้ ผมก็สามารถเล่นแทน เพื่อน ๆ ที่ไม่ว่าได้ จำได้ว่าอาจารย์ประจำชมรมจะรับงาน ช่วงหลังเลิกเรียนหรือไม่ก็ช่วงวันเสาร์ อาทิตย์ ไปหลายจังหวัดมาก ที่ประจำใจที่สุดก็คือ ได้มีโอกาสไปเล่นที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งพระเทพ ฯ พระองค์ท่านได้เสด็จมาเป็นประธานและได้เข้ามาชมการแสดงของพวกเรา เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้
ก็เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ทางดนตรีที่เรามีความสุขที่ได้เล่น ที่ได้เผยแพร่วัฒนธรรมของพวกเราชาวผู้ไทย เรณูนคร ผมยังวนเวียนอยู่กับดนตรี ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมรัก จริง ๆ สายที่ผมเรียน ม. 4 - ม. 6 คือ สายวิทย์ คณิต นั่นเอง และ เรียน รด.ปี 1- ปี 3
ช่วง ม.6 ก็เป็นโอกาสอันดีที่ผมและเพื่อน ๆ ได้มีโอกาสร่วมตัวกันและได้เล่นดนตรี เป็นวงสตริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ใฝ่ฝันมานานแล้ว ก็ได้เล่นสมดังความฝัน เป็นอะไรที่มีความสุขมาก การที่เราเล่นดนตรีแล้ว เห็นเพื่อน ๆ น้อง ๆ ร้องตามได้ เป็นสิ่งที่พวกเราชอบมาก ๆ
เราเล่นดนตรีแบบนี้ไม่ใช่ว่า เราเล่นแบบเอาเป็นเอาตาย การเรียนไม่เอา ไม่ใช่นะครับ เราแยกแยะออกว่า เวลาไหนควรซ้อม เวลาไหน ควรเรียน ผมเรียนจบ ป.6 ด้วยเกรดเฉลี่ย 2.90 ก็ถือว่าไม่มาก เป็นระดับแบบ กลาง ๆ ในช่วงนั้นผมยังไม่รู้ตัวเองว่า ตกลงไอ้ที่ว่าเราชอบดนตรี เราจะมุ่งไปทางด้านดนตรีไหม หรือว่า เราเอาแค่เป็นงานอดิเรก คิดไปคิดมา ผมไปเอนท์ เลือกคณะเกษตร ( ตามเพื่อน ) เพราะเพื่อนผมได้โคว้ต้าเกษตรศาสตร์ ม.ขอนแก่นไปแล้ว ก็เลยอยากเรียนคณะนี้ ปรากฏสอบไม่ติด คิดไปคิดมา เราอยากเป็นอะไร คิดในใจ ตกลงเราชอบอะไรกันแน่ ในสมองแว็บเข้ามา เราอยากเป็นนายธนาคาร ไปเรียนการเงินการธนาคารเถอะ ก็เลยปรึกษาเพื่อนอีกคนหนึ่ง ว่าเรียน การเงินการธนาคารเป็นไงว่ะ เพื่อนก็เลยบอกว่า ไปเรียนดนตรีดีกว่า ไปเรียนกับเรานี่แหละ เขามีโค้วต้า ความสามารุถพิเศษไม่ต้องสอบข้อเขียน เอากีตาร์ไปด้วยเดียว ตอนแรกผมบอกตรง ๆ ว่าไม่อยากไป แต่ก็จะลองดูก็เลยไปสมัครสอบกับเพื่อน ก็ได้โคว้ต้า เรียน คณะครุศาสตร์ วิชาเอกดนตรี สถาบันราชภัฏสกลนคร ก็ได้เลยได้เรียนโดยปริยาย
หน้าตาปีหนึ่งครับ
ผมเข้าเรียน เอกดนตรี วิชาเอกเครื่องมือ กีตาร์คลาสิก ตอนนั้นก็ตั้งใจฝึกซ้อมมาก ๆ ตื่นแต่ตีห้า มาซ้อม ๆๆๆ ซ้อมอ่านโน้ต ดูโน้ต ไล่สเกล จนทำให้เราเข้าใจ และคล่อง สามารถสอนเพื่อน ๆ ในห้องได้ ผมว่า ความมุ่งมั่นและความตั้งใจ ทำให้ประสบผลสำเร็จ อันนี้ผมลองมาแล้วจริง ด้วย ผลสุดท้าย ผมได้ A วิชานั้น อ่อ ลืมไป สมัยก่อน A เขาเรียกว่า ได้ ก
การสอบปฏิบัติกีตาร์
ช่วงปี 1 และ ปี 2 ผม เข้าเรียนต่อ รด. ปี 4 ปี 5 ไปพร้อม ๆ กันด้วย ยอมรับว่าช่วงนั้นต้องปรับตัวอย่างมาก และต้องอดทนมาก ๆ เพราะไหนจะต้องซ้อมดนตรี ไหนจะต้องเรียน รด. ไหนจะต้องเข้าค่าย บางวันการเรียนก็ตรงกัน แต่ก็ต้องเลือกอันไหนสำคัญกว่า และแล้วความพยายามที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ผมเรียนจบ รด.ปี 5 ได้เลื่อนยศ.เป็นว่าที่ร้อยตรี ยงยุทธ ยอดมงคล สมใจยาก อิอิ
ช่วงปีสาม ตอนนั้นได้รวมตัวกับเพื่อน ๆ จะไปเล่นดนตรีอาชีพ แถว ๆ อ.สว่างแดนดิน ซึ่งตอนนั้นยอมรับพ่อแม่หนักใจมาก เนื่องจากครูโย่งไปย้อมผมสีแดง และผมยาวด้วย เพราะเป็นนักดนตรีต้องผมยาว มีคาแรกเตอร์นิดหนึ่ง แต่ก็อธิบายให้แม่เข้าใจ ว่ามันเป็นงาน พ่อแม่ก็เลยเข้าใจ
ช่วงที่เล่นดนตรีอยู่ในผับเป็นเหมือนมุมมืดของชีวิตเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็น การดื่มเหล้า การมีผู้หญิงมาพัวพัน ซึ่งคงต้องยอมรับว่า ก็มีนอกลู่นอกทางกันบ้าง แต่ถ้าเราไม่หักห้ามใจ จิตใจและร่างกายคงกระเจิดกระเจิงไปมากกว่านี้ เราเล่นที่นั้นได้ ประมาณ 3 - 4 เดือน พวกเราก็เลิก เพราะมีปัญหาหลาย ๆ อย่างสุมเข้ามา
การทำงานกับคนกลุ่มมาก ย่อมมีปัญหา ถ้าต่างฝ่ายต่างคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกไม่ยอมลดราวาศอกกันละก็ คงต้องทาใครทางมัน แต่ถ้ามีการพูดคุยกัน ประณีประนอม ยอมรับความคิดเห็นซึ่งกันและกันก็คงจะไปด้วยกันได้
ผมผ่านด้านมืดของชีวิตมาแล้ว ช่วงนั้นก็พยายามตั้งใจ เรียนจบให้ได้ เพื่อที่จะทำให้พ่อกับแม่ภูมิใจ
ผมว่า การที่เราจะประสบผลสำเร็จในชีวิตได้ ต้องมีแรงบันดาลใจ มาก่อน สามเหตุที่ผมคิดว่าแรงบันดาลใจมาก่อนก็คือ ช่วงตอนที่ผมอยู่ ปี 4 ได้มีโอกาสไปแสดงความยินดีกับพี่ ๆ ที่จบไปแล้ว และเห็นพี่ ๆ แต่งชุดปกติขาว รับปริญญา เราเห็นว่า มันเท่ห์ มันสง่า มันภูมิฐาน มาก ๆ ผมก็เลยเกิดแรงบันดาลใจว่า เอาละ เมื่อเราจบแล้ว เราจะไปสมัครสอบครูและตั้งใจสอบให้ได้ เพื่อที่จะได้เป็นครูและใส่ชุดปกติขาวรับปริญญา ตอนนั้นมุ่งมั่นมาก พอเรียนจบปุ๊บ ก็ไปสมัครติวกับอาจารย์ที่สถาบัน ซึ่งตอนนั้นไม่มีเงิน คนใกล้ตัวผมก็เลยให้มาสมัคร ตั้งใจมาก ๆ อยากสอบได้ ตอนนั้นมีการสอบแข่งขันที่อุบลราชธานี ความรู้แน่นมาก ไปหาหมอดูก็บอกสอบได้แน่ ๆ ไปบ่นบานศาลกล่าวที่ไหนก็ไปมา พอไปสอบแล้วผลสอบออกมาว่า ไม่มีชื่อ ผิดหวังมาก ตอนนั้นวูบไปซักพักหนึ่ง
ก็ตัดสินใจเข้ามา กทม. เพื่อมาหางานทำ ตอนนั้นไปสมัครที่บริษัท เอ็ทน่า โอสถสภา ประกันชีวิต ตอนนั้นเรายังไม่รู้ว่าเราต้องไปขายประกัน เขาบอกว่าตำแหน่ง ผู้จัดการฝ่ายขาย เงินเดือนหมื่น ก็เลยดีใจ โทรไปบอกพ่อแม่ว่าได้งานแล้ว ที่ไหนได้ ต้องไปขายประกัน ขายอยู่พักหนึ่งก็ไม่ค่อยเวิร์ค เพราะเราอ่อนประสบการณ์ แล้วก็เปลี่ยนบริษัท ไปขายกับบริษัท อาคเนย์ประกันชีวิต ซึ่งก็ได้ทีมงานดี ก็มียอดขายอยู่บ้าง ไปสัมมนาบ้าง ไปดูแลลูกค้าบ้าง ตอนนั้นผมพักแถว ๆ บางโพ
พี่ชายโทรมาบอกว่า ตอนนี้ที่ กทม. เขามีสอบครู กทม. ลองมาสอบดูไหม ก็เลยลองสมัครสอบเข้ามา ทางกทม. เขารับ 10 ตำแหน่ง ตอนสอบเสร็จมั่นใจว่า ยังไงก็ได้ที่ 1 แน่ ๆ ชัวร์ ๆ มั่นใจขนาดนั้นเลย ปรากฎว่าผลสอบออกมาเราได้ที่ 17 ก็ดีใจครับ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย เพราะต้องรอ เขาเรียก
รอบแรก กทม.เรียก 10 คน เดือนสิงหาคม 2543
ช่วง พฤศจิกายน 2543 เรียกเพิ่มอีก 10 คน ก็เลยได้เป็นครูสมใจอยาก ตอนนั้นเขาให้เลือกลงโรงเรียนที่อยากลง พอเห็นโรงเรียนพรพระร่วงประสิทธิ์ ถ.สุขภิบาล 5 ในใจคิดว่า สุขาภิบาล 5 ก็คงอยู่ใกล้ ๆ กับ สุขาภิบาล 1 - 3 อะไรแบบนี้ ก็เลยเลือก ปรากฎว่า อยู่แถวรามอินทรา โอ้โหอยู่ลึกมาก
ผมต้องนั่งรถจากบางโพ ไปโรงเรียน 5 ต่อกว่าจะถึง ออกจากบ้านประมาณ ตีสี่ กว่า กลับถึงบ้านประมาณ 2 - 3 ทุ่ม เป็นเวลากว่าปี
เวลาผ่านไปหนึ่งปีความฝันก็เป็นจริง ผมเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรด้วยชุดปกติตาม ตามที่ผมได้แรงบันดาลใจจากรุ่นพี่ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่อะไรที่ยิ่งใหญ่แต่ผมก็ภูมิใจกับสิ่งที่ได้รับ เพราะสิ่งนี้คือสิ่งที่ผมได้มาด้วยตัวของผมเอง โปรดติดตามต่อต่อไปครับผม
« « Prev : ไปงาน HA National Forum ( 3 )
21 ความคิดเห็น
โห ชุดว่าที่ร้อยตรีนี่ มันเท่ราเบิ๊ดเลยเด้อ
ทำให้คนหน้าตาดีอยู่แล้ว เลยหน้าตาดีเลยเถิดไปกันใหญ่เลย
รอ ๆๆ ตอนต่อไป อิอิ
(^_^)
ขอบคุณพี่ครูปู
อิอิ
เทห์ไม่เบา
ชุดนั้นไม่ได้ตัดเอง
ยืมมานะนั่น
อิอิ
ขอบคุณมากครับ
ที่แวะมาเยี่ยมคนหน้าตาดี
อิอิ
น่าสนใจ
เห็นแล้วเป็นห่วงถ้าไม่ก้มมีสิทธิชนกรอบบนแน่ อิอิ โย่งจริงๆ
ขอบคุณอาเหลียง
ฮ่าๆๆๆๆๆๆ
ซะงั้น
อุตส่าห์ก้มแล้วนะนั่น
อิอิ
เป็นครอบครัวน่ารักจังและชื่นชมการสู้ชีวิตมากๆ
พี่ชอบภาพตอนเด็ก และติดใจที่ปูนอนสีแดงสวยนั่นน่ะจ้ะ ลายสวยดี เป็นผ้าหรืออะไรจ๊ะ
ขอบคุณหมอเบิร์ดมากครับที่แวะมาเยี่ยมครับ
ที่นอนสีแดง สวยครับ
ผมก็ชอบนอน อิอิ
ผมว่า น่าจะเป็นผ้าฝ้ายนะครับ
ถ้าจำไม่ผิด
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ เข้ามาดูเส้นทางดำเนินชีวิตของน้องครูโย่ง
ยอดเยี่ยมไปเลยครับ พี่เรียน รักษาดินแดนเพราะว่าไม่อยากจะเกณฑ์ทหารตอนอายุ 21 ปีครับ เป็นการป้องกันไว้ก่อนว่าต่อไปจะต้องเรียนต่อและไม่อยากให้การฝึกทหารมาเป็นตัวแยกเส้นทางการศึกษา อิๆๆๆ แต่สนุกดีครับคิดอยากจะเรียนต่อปี 4-5 ตอนมหาลัยเหมือนกันครับ แต่ต้องไปฝึกไกลเลย เป็นว่าที่นายพลไปก่อนครับ (พลปิ้ง) ครับ
มีความสุขนะคร้าบ
ขอบคุณพี่เม้ง
ความจริง ก็คิดเหมือนพี่แหละครับ
เรียน รด.เพื่อไม่อยากเกณฑ์ทหารจะบอกว่า รด.ปี 1- 3 หนักมาก
แต่ ปี 4 - 5 ปี จะสบาย เพราะจะฝึกแบบผู้ใหญ่
ขอบคุณพี่เม้งมากครับ
ที่แวะมาเยี่ยมครับผม
อิอิ มาเยี่ยม
จ้า
เป็นห่วงพี่เสมอนะคะ จากใจจริงนะพี่ อย่าคิดมากนะ สู้ๆจ้า
จ้า
พูดเป็นคำเดียว รึไง อ่ะ
จ้า อิอิ
พอลล่ารู้แล้วว่า พี่ควรตัดไฝ ออก นะ อิอิ
เหอๆๆๆ
พี่โย่ง…งานไม่เข้าหรอ คะ
อิอิ
อิอิ
ปรากฎว่ายังเข้าอยู่
ฮ่าๆ
ผ่านมาทางกูเกิลครับ ลูกหลานหนองลาดควาย ก็มีดียังงี้แหละ อย่าลืมพี่น้องเฮาเด้อ…
ผ่านมาทางกูเกิล ลูกหลานบ้านหนองลาดความก็มีดียังงี้แหละ อย่าลืมพี่น้องเฮาเด้อได้อยู่กรุงเทพฯ
ผ่านทางกูเกิล ครับ ลูกหลานบ้านหนองลาดควาดควายหน้าตาดีอยู่แล้ว อย่างลืมพี่น้องเฮาเด้อ ได้มาอยู่กรุงเทพฯ