บทที่ 1 การจัดการความไม่รู้
ผมอ่านเจอในบล็อกพวกเรานี่แหละ ใครก็ไม่รู้ พูดว่าอวัยวะที่เปิดกว้างที่สุดของมนุษย์คือ “สมอง” น่าจะเป็นประเด็นเดี่ยวกันการคิดโน่นคิดนี่กระมัง บังเอิญมีโปรแกรมจะไปบรรยายที่ วปอ. ผู้จัดให้หัวข้อพูด เรื่องการจัดการความรู้สไตล์ครูบา ถ้าพูดตามที่เขาให้มา..ผมไม่มีความรู้อะไนพอที่จะไปจัดการ ผมโง่มาทั้งปีทั้งชาติจะไปพูดเรื่องแก่นความรู้ไม่ได้หรอก มองไปข้างหน้าดีกว่า..
จึงออกแบบ จะไปบอกเล่าเรื่องการจัดการความไม่รู้น่าจะดีกว่า วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือเล่าวิธีที่่ตัวเองกำลังเป็นอยู่ในปัจจุบัน เราอยู่ในสถานะอะไร ดำเนินชีวิตเข้ากับสังคมแบบไหน เจอเงื่อนไขอะไร เข้าใจและเห็นสภาพสังคมอย่างไร เมื่อเห็นแล้ว คิดและทำอะไรบ้าง นี่คือบริบทหยาบ ๆ คิดแล้วก็ลงมือสิครับ
อันดับแรก เรื่องเศรษฐกิจรายได้ พบว่าคนกรุงมีรายได้สูงเงินเดือนเยอะก็จริง แต่รายจ่ายก็สูงตามไปด้วย คนเดินดินธรรมดาวันหนึ่ง ๆต้องจ่ายเรื่องประจำวัน
(สตอเบอรี่พันธุ์มะนาวเรียกพี่ ครูมิมแนะให้ใส่ตำับักหุ่ง)
ค่ากิน ค่าเดินทาง ประมาณวันละ 150-200 บาท= เดือนละ ุ6,000 บาท
ค่าที่พัก ค่าเสื้อผ้า ค่าเกี่ยวการเรียน ภาษีส่วนตัว ประมาณเดือนละ 5,000+1,000+2,000+1,000=9,000 บาท
แถมให้มีค่าพิเศษอื่น ๆ ท่องเที่ยว ดูหนัง ชื้อของ= 2,000 บาท
รวมสุทธิเดือนหนึ่งจ่ายประมาณ 6,000+9,000+2,000 บาท=17,000 บาท
เบาะ ๆ ก็หมื่นกว่า ถ้าหนุ่มโสดอย่างผมก็พอไหว ถ้าหนุ่ม ๆ คิดจะมีแฟนอย่างอ.ขจิต จะจ่ายอีกเท่าไหร่
สรุปว่าหนุ่มยุคนี้จะต้องมีเงินเดือนขั้นต่ำ 25,000 บาท ถึงจะถ้าจีบสาว ๆ ได้
ภาวะรายได้ตึงตัว เช่นนี้ ทำให้เกิดสภาพจีบกันเจ๊าะแจ๊ะ..แต่ไม่มาขอหมั้นสักที..การยืดอายุความเป็นโสดยาวขึ้นทั้ง 2 ฝ่าย มีคำถามว่า ..ถ้าเป็นอย่างนี้จะทำอย่างไร? การจัดการความรู้เข้ามาแก้ไขปัญหาหัวใจได้ไหม? ได้สิครับ..ถ้าเราใช้วิธีของสตรีอินเดีย หรือใช้วิธีพบกันครึ่งทาง วัดครึ่งหนึ่ง กรรมการครึ่งหนึ่ง ทุกอย่างหาร 2 อิอิ
หัวใจของ KM อยู่ที่ ต้นทุนความรู้ วิธีเรียนรู้ วิธีสังคายนาความรู้ และวิธีสร้างสังคมของผู้รักการเรียนรู้
ทุกท่านที่เข้ามาเขียนบล็อกในKM. ล้วนเดินมาถูกทางแล้วละครับ
วิธีการอื่น ๆ ที่เคยทำมาก็สำคัญ แต่ถ้าใครเสริมเรื่องการแสวงหาความรู้จากบล็อก จะทำให้ท่านเข้าสู่โลกแห่งการเรียนรู้ได้อย่างบรรเจิด ไม่เซ่อบ๊องอยู่กับวิธีการเก่า ๆ เราจะพบโลกแห่งการเรียนรู้อย่างแท้จริง ท่านจะมีเพื่อนร่วมเรียนรู้ทุกสาขาอาชีพ ที่สำคัญ..ตอบตัวเองได้ว่า..วันนี้เราอยู่กับความรู้อะไร? เรามีวิธีไขว้คว้าความรู้อย่างไร?
เรื่องการเรียนเราสามารถออกแบบเองได้ ยกตัวอย่างมื้อเช้านี้ ผมมีความคิดว่าทำไมเราจะต้องกินข้าวทุกมื้อด้วย พลิกแพลงเป็นอย่างอื่นดีไหม ..เกิดการถามตัวเอง.. ใครจะตอบละครับ ในเมื่อในห้องนี้มีเราอยู่คนเดียว
การถามและตอบตัวเองจึงเกิดขึ้น..ด้วยกระบวนการเรียนเชิงปฏิบัติ
ผมเอาเนื้อหมูสไลด์แผ่นบางๆ วางลงไปในโถแก้ว แล้วนำไปเข้าเตาไมโครเว๊ป
3 นาทีเอาออกมาเติมน้ำร้อนลงไปในโถ หั่นผักกาด เติมก้อนซุป เติมกุ้งแก้ว เติมเนื้อหมูบด เต็มซ๊อสเล็กน้อย
เอาไปเข้าเตาไมโครเว๊ป 3 นาที ยกออกมาควันหอมฉุย หั่นต้นหอมลงไป ยกออกมาตั้งโต๊ะ
ชงกาแฟ 1 ถ้วย เอาขนมปัง 2 ก้อน มาจิ้มกับถั่วลิสงบด ซดซุปร้อนๆสลับกันไป
ตบท้ายด้วยกล้วยหอม 1 ผล อิ่มอร่อยเหมือนกันนะ
ถามว่ากินแบบนี้บ่อยๆไม่เบื่อรึ เบื่อสิครับ..ถ้าเราไม่เป็นผู้เรียน
ผู้เรียนก็จะเรียนไปเรื่อย ๆ พลิกแพลงเมนูไปเรื่อย ๆ
ค้นดูในตู้เย็น เจออะไรก็เอามาทำอาหารใหม่ ๆ
เราก้ได้ชิมความรู้ใหม่ ๆ สด ๆ ควันฉุย
ทำใหม่ ก็เกิดความรู้ใหม่
ความรู้ใหม่นำไปสู่ความคิดใหม่ๆ
หลายความคิดใหม่ที่กลั่นกรองแล้วก็จะเป็น นวัตกรรมใหม่ ๆ
เขียนถึงเรื่องนี้แล้วนึกถึงครูปู ทั้ง 2 ปู นั่นแหละ ชอบทำอาหารมาก
ถ้าสักวัน..ชวนมาทำอาหารร่วมกัน
ก็จะเกิดเครื่อข่ายสายKM อาหารบรรลือโลก
สรุปว่า..KM ต้องเกิดจากการปฎิบัติ เราถึงจะได้พบได้ชิมความรู้ใหม่
ถ้าเรียน KM จากหน้ากระดาษ จะเจอกับข้าวบูด ได้ชิมความรู้เก่า
อิ อิ..
« « Prev : บังเอิญ
Next : บทที่ 2 การจัดการความรู้รอบตัว » »
7 ความคิดเห็น
“การถามและตอบตัวเองจึงเกิดขึ้น..ด้วยกระบวนการเรียนเชิงปฏิบัติ”
เรียกว่าเป็นวิวิฒน์ไม่สิ้นสุด
เคยกินมื้อเช้าที่ห้อง 814 มาแล้วครับ สมัยที่ยังไม่มีตู้เย็น อิอิ
เฮ้อ..โชคดี ตู้เย็นไม่ต้องประกอบเอง..ไม่งั้นมีคนอาสามาประกอบตู้เย็นแน่ค่ะครูบา
ตู้เย็นใหม่..เมนูใหม่..ความรู้ใหม่..อิ อิ
หมอนะรอดตัวไปแบบเส้นยาแดงผ่าแปด อิอิ
“เรื่องการเรียนเราสามารถออกแบบเองได้”
…เห็นด้วยอย่างมากเลยค่ะ..
มีเรื่องให้เรียนรู้ทุกวันขอเพียงตั้งใจอยากเรียนนะคะ…การทำกับข้าวก็เป็นการเรียนรู้ที่ไม่สิ้นสุด เพราะความต้องการของคนก็ไม่สิ้นสุด เมนูอาหารถึงได้มีหลากหลายมากมายทั่วโลกนะคะ….
พ่อ ฯ ขา
หนูมีเมนูฉบับหน้ามืดมาเสนอ
(เก็บของเหลือ ๆ ในตู้เย็นมาทำทานเล่นวันหยุด)
นำเส้นมาม่ามาลวกพอสุด พักไว้สักครู่
นำไปพันไส้กรอกให้รอบ
พยายามเรียงเส้นให้เรียบร้อยจากหัวถึงท้าย
ยกลงไปแช่ในแป้งโกกิที่ผสมน้ำรอไว้แล้ว
ยกทั้งหมด (แตะตรงปลายของไส้กรอก)ลงทอด ไฟกลาง ๆ
สุกพอเหลือง ยกขึ้นมาหั่นแนวขวาง
จะเห็นไส้กรอกรูปเหรียญมีมาม่าทอดสีทอง ๆ พันอยู่
ทานกับน้ำจิ้มไก่ ก็อร่อยเด็ด
หนูเคยทำทานวันหยุด ทำไปทำมาหน้าตาดี
เลยยกไปแจกข้างบ้าน
พอข้างบ้านชม ก็เลยทำอีก ตกลงแจกไปทั้งซอยเลยค่ะ อิอิ
การจัดการความไม่รู้ ^ ^ พ่อเปิดประเด็นทีไร ได้อะไรดีดีเสมอเลยค่ะ