เรื่องมะรุมมะตุ้ม

โดย sutthinun เมื่อ 1 ธันวาคม 2008 เวลา 10:12 ในหมวดหมู่ มหาชีวาลัยอีสาน, สวนป่าฮาเฮ, สังคม ครอบครัว ชุมชน เศรษฐกิจ #
อ่าน: 3065

 

                           (มากินดอกมะรุม ดอกฟักทอง กันเถอะ)

คนเรานี่ก็แปลก ถ้าบังเอิญมาสนใจเรื่องเดียวกัน ก็จะได้เรื่อง หรือเกิดเรื่องเพิ่มขึ้น ผมมองว่าเป็นการผนึกพลังการเรียนรู้หรือแลกเปลี่ยนเรียนรู้ก็ย่อมได้ กระแสความอยากรู้ที่มาตรงกันโดยบังเอิญนี้เอง ที่ผลักดันให้มนุษย์มีกำลังใจให้มนุษย์พัฒนาความสนใจให้เป็นความสนใจยิ่งขึ้น บางท่านอาจจะคิดว่าจะต้องเป็นเรื่องใหญ่ๆสำคัญๆเท่านั้นถึงจะทำ ความจริงไม่เป็นเช่นนั้นหรอกนะ

ไม่มีเรื่องอะไรในโลกนี้ที่ไม่สำคัญ มันขึ้นอยู่กับความรู้สึกนึกคิดของเราที่เอาไปตัดสิน ภายใต้ความรู้ความสามารถของเราในขณะนั้นๆ ต่อเมื่อเราเอาความรู้ไปต่อยอด เราก็จะเห็นความรู้ทอดยอดออกไปไม่มีที่สิ้นสุด เกาะเกี่ยวกระหวัดไปสู่เรื่องราวต่างๆเป็นร่างแห

ถ้าเราเข้าใจวิธีการนี้ เราจะทำเรื่องที่เห็นว่าธรรมดาๆให้เป็นเรื่องพิเศษได้ ด้วยการเอาความคิดความรู้ใหม่ๆใส่เข้าไป ถ้าใส่ของใหม่ ผลลัพธ์ก็น่าจะออกมาใหม่ๆชาวตะวันตกสนุกกับการแสวงหาความรู้ด้วยวิธีนี้ เขาถึงมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆก้าวหน้าออกมาเสมอ ถ้าเราทำบ้าง..จะได้เลิกบ่นให้กับระบบการศึกษาและพัฒนาแบบอีแอบเสียที

ยกตัวอย่าง ผมสนใจเรื่องมะรุม พยายามส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูก ภายใต้ความรู้ความคิดแค่หางอึ่ง ด้วยเห็นว่ามันเป็นผักยืนต้นที่ปลูกง่าย มียอด-ดอก-ผลให้เก็บทั้งปี อีกทั้งชาวบ้านรู้จักและนำมาทำอาหารอยู่แล้ว เพียงแต่บ้านเมืองเรามีผักให้เลือกกินเยอะแยะ อีกทั้งไม่ได้เน้นศึกษาเจาะลึกเรื่องสารประโยชน์เท่าที่ควร ก็ปลูก-กิน-แบบทิ้งๆขว้างๆ เห็นคุณสมบัติที่ดี ปลูกง่าย-ไม่ต้องใส่ปุ๋ย-รดน้ำ-ฉีดยาไล่แมลง -ทำกับข้าวได้อร่อยและหลายประเภท เป็นคุณสมบัติธรรมดา

ตรงนี้ละครับที่นับว่าประหลาด แทนที่จะเห็นคุณความดีแล้วใส่ใจพัฒนาให้ก้าวกระโดด กลับคุมกำเนิดคุณสมบัติที่ดีของพืชผัก แปลกแท้ๆคนไทยนี่นะ..เมื่อหลายปีที่แล้ว ผมเห็นตลาดสดแบกะดินในประเทศฟิลิปปินส์ และอินเดีย ชาวบ้านเอาใบมะรุมแก่มาทำมัดวางขาย  ยังนึกแปลกใจว่าทำไมคนที่นี่ถึงนิยมกินใบมะรุมแก่ เขาซื้อไปประกอบอาหาร หรือเอาไปทำอย่างอื่น คุยกันไม่รู้เรื่องจึงได้แต่เก็บงำเรื่องนี้ไว้  เพิ่งจะมาได้คำตอบจากการอ่านในบล็อกของพวกเรานี่ละครับ

จนกระทั่งผมได้ไปเยี่ยมไร่ร่มธรรมของพระอาจารย์ไร้กรอบ (ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ) อาจารย์เล่าให้ฟังถึงคุณสมบัติของมะรุม เอาเมล็ดแก่มาแกะให้ชิมน้ำมันที่หวานๆขมๆกลมกล่อม ว่ามันมีคุณค่านานัปการ และพาไปดูต้นมะรุมที่ปลูกไว้ อายุยังไม่ถึงปีต้นสูงท่วมหัว ป้าจุ๋มไปด้วย..ควักมีดมาตัดยอดออก แล้วเก็บยอดอ่อนนั้นเข้ากรุงเทพ คงจะนำไปปรุงอาหารมื้ออร่อยอย่างไรก็ลืมถาม แต่ผลของการต่อยอดเรื่องมะรุม ประกอบกับมีทุนเดิมอยู่แล้ว จึงตั้งต้นที่จะหาเรื่องกับเจ้ามะรุมที่ว่านี้ยกใหญ่แต่นี้ไป ในเมื่อมันมีความพร้อมที่จะทำทุกอย่าง ถ้าไม่ทำ..มันก็สุดแสนจะทื่อมะลื่อที่สุดเลยละครับ

ลองค้นข้อมูลที่สมาชิกชาวG2K.ได้ค้นคว้าไว้บ้างแล้วในบล็อกต่างๆ  ผมไปเจอคุณสมบัติเด่นมากมาย หลายเรื่องตรงกับสังขารตรงกับใจตรงกับปากท้องอย่างมาก ขอยกตัวอย่างนิดๆหน่อยมาให้อ่านดังนี้

มะรุมมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Moringa oleifera Lam. วงศ์ Moringaceae เป็นพืชกำเนิดแถบใต้เชิงเขาหิมาลัย เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางที่ถูกปลูกไว้ในบริเวณบ้านไทยมาแต่โบราณ กินได้หลายส่วน ทั้งยอด ดอก และฝักเขียว แต่ใครๆก็นิยมกินฝักมากกว่าส่วนอื่นๆ ต้นมะรุมพบได้ทุกภาคในประเทศไทย ทางอีสานเรียกผักอีฮุม หรือผักอีฮึมภาคเหนือเรียกมะค้อมก้อนชาวกะเหรี่ยงแถบกาญจนบุรีเรียกกาแน้งเดิงส่วนชานฉานแถบแม่ฮ่องสอนเรียกผักเนื้อไก่

แพทย์ตามชนบท ใช้เปลือกมะรุมสดๆ ตำบุบพอแตกๆ อมไว้ข้างแก้ม แล้วรับประทานสุราจะไม่รู้สึกเมาเลย จากประสบการณ์ เนื้อในเมล็ดมะรุม ใช้แก้ไอได้ดี ใบสดมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ มีแคลเซียม วิตามินซี แร่ธาตุและสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก การรับประทานเนื้อในเมล็ด และใบสดเป็นประจำสามารถเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกายได้

ผู้เฒ่าผู้แก่นิยมกินมะรุมในช่วงต้นหนาว

เพราะเป็นฤดูกาลของฝักมะรุม หาได้ง่าย รสชาติอร่อยเพราะสดเต็มที่ มีขายตามตลาดในช่วงฤดูกาล คนที่ปลูกมะรุมไว้ในบ้านเท่านั้นจึงจะมีโอกาสลิ้มรสยอดมะรุม ใบอ่อน ช่อดอกและฝักอ่อน ช่อดอกนำไปดองเก็บไว้กินกับน้ำพริก ยอดมะรุม ใบอ่อน ช่อดอก และฝักอ่อนนำมาลวกหรือต้มให้สุก จิ้มกับน้ำพริกปลาร้า น้ำพริกแจ่วบอง กินแนมกับลาบ ก้อย แจ่วได้ทุกอย่าง หรือจะใช้ยอดอ่อน ช่อดอกทำแกงส้มหรือแกงอ่อมก็ได้ ส่วนอื่นๆ ของโลกจะใช้ใบมะรุมประกอบอาหารเช่นเดียวกับการใช้ผักขมฝรั่ง หรือปรุงเป็นซอสข้นราดข้าวหรืออาหารแป้งอื่นๆ นอกจากนี้ ใช้ใบตากแห้งป่นเก็บไว้ได้นานโรยอาหาร เช่นเดียวกับที่ภูมิปัญญาอีสานจังหวัดสกลนครใช้ใบมะรุมแห้งปรุงเข้าเครื่องผงนัวกับสมุนไพรอื่นไว้แต่งรสอาหารมาแต่โบราณ ส่วนฝักอ่อนปรุงอาหารเหมือนถั่วแขก

 

คุณค่าทางอาหารของมะรุม
มะรุมเป็นพืชมหัศจรรย์ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด กล่าวถึงในคัมภีร์ใบเบิ้ลว่าเป็นพืชที่รักษาทุกโรค ใบมะรุมมีโปรตีนสูงกว่านมสด 2เท่า การกินใบมะรุมตามชนบทของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศโลกที่3 เป็นการเพิ่มโปรตีนคุณภาพสูงราคาถูกให้กับอาหารพื้นบ้าน นอกจากนี้ มะรุมมีธาตุอาหารปริมาณสูงเป็นพิเศษที่ช่วยป้องกันโรค นั่นคือ
วิตามินเอ   บำรุงสายตามีมากกว่าแครอต 3 เท่า
วิตามินซี    ช่วยป้องกันหวัด 7 เท่าของส้ม
แคลเซียม   บำรุงกระดูกเกิน 3 เท่าของนมสด
โพแทสเซียม   บำรุงสมองและระบบประสาท 3 เท่าของกล้วย
ใยอาหารและพลังงาน ไม่สูงมากเหมาะกับผู้ที่ควบคุมน้ำหนักอีกด้วย
น้ำมันสกัดเมล็ดมะรุม มีองค์ประกอบคล้ายน้ำมันมะกอกดีต่อสุขภาพอย่างยิ่ง

จากอาหารมาเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ
ปัจจุบันชาวญี่ปุ่นผลิตชาใบมะรุมออกจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบุว่าใช้แก้ไขปัญหาโรคปากนกกระจอก หอบหืด อาการปวดหูและปวดศีรษะ ช่วยบำรุงสายตาระบบทางเดินอาหารและช่วยระบายกาก
ประเทศอินเดีย หญิงตั้งครรภ์จะกินใบมะรุมเพื่อเสริมธาตุเหล็ก แต่ที่ประเทศที่ฟิลิปปินส์และบอสวานาหญิงที่เลี้ยงลูกด้วยนมจะกินแกงจืดใบมะรุม (ภาษาฟิลิปปินส์ เรียกมาลังเก”) เพื่อประสะน้ำนมและเพิ่มแคลเซียมให้กับน้ำนมแม่เหมือนกับคนไทย

ประโยชน์ของมะรุม
1.ใช้รักษาโรคขาดอาหารในเด็กแรกเกิดถึง10ขวบและลดสถิติการเสียชีวิต พิการและตาบอดได้เป็นอย่างดี
2.ใช้รักษาผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานให้อยู่ในภาวะควบคุมได้
3.รักษาโรคความดันโลหิตสูง
4.ช่วยเพิ่มและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ทานผลิตผลจากมะรุมในระหว่างตั้งครรภ์ เด็กที่เกิดมาจะไม่ติดเชื้อHIV นอกจากนี้ถ้ารับประทานอย่างน้อยอาทิตย์ละ3ครั้ง ยังช่วยให้คนทั่วๆไปสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง
5.ช่วยรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ให้อยู่ในภาวะควบคุมได้ การรักษาโรคเอดส์ที่ประสพผลสำเร็จในกลุ่มประเทศแอฟริกา
6.ถ้ารับประทานสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคมะเร็ง แต่ถ้าหากเป็นก็จะช่วยให้การรักษาพยาบาลง่ายขึ้น ในบางกรณีสามารถหยุดการเจริญเติบโตของโรคร้ายได้ถ้าใช้ควบคู่ไปกับยาแพทย์แผนปัจจุบัน
หากผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งได้รับการรักษาด้วยรังสี การดื่มน้ำมะรุมจะช่วยให้การแพ้รังสีฟื้นตัวเร็วขึ้นและมีร่างกายที่แข็งแรง
7.ช่วยรักษาโรคไขข้ออักเสบ โรคเก๊าท์ โรคกระดูกอักเสบ โรคมะเร็งในกระดูก โรครูมาติซั่ม
8.รักษาโรคตาเกือบทุกชนิด เช่น โรคตามืดตามัวเพราะขาดสารอาหารที่จำเป็น โรคตาต้อ เป็นต้น หากรับประทานสม่ำเสมอ จะทำให้ตามีสุขภาพที่สมบูรณ์
9.รักษาโรคลำไส้อักเสบ โรคเกี่ยวกับท้อง ท้องเสีย ท้องผูก โรคพยาธิในลำไส้
10.รักษาปอดให้แข็งแรง รักษาโรคทางเดินของลมหายใจ และโรคปอดอักเสบ
11.เป็นยาปฏิชีวนะ

น้ำมันมะรุม
สรรพคุณ..ใช้หยอดจมูกรักษาโรคภูมิแพ้ ไซนัสโรคทางเดินหายใจ ใช้หยอดหูฆ่าและป้องกันพยาธิในหู รักษาอาการเยื่อบุหูอักเสบ รักษาโรคหูน้ำหนวก ใช้ทาผิวหนังรักษาโรคผิวหนังจากเชื้อราและเชื้อไวรัส รักษาโรคเริม งูสวัด รักษาและบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้น ใช้ทารักษาแผลสด หูด ตาปลา ใช้ถูนวดบรรเทาอาการบริเวณที่ปวดบวมตามข้อ รักษาโรคไขข้ออักเสบเก๊าท์รูมาติกเป็นต้น
ชะลอความแก่
กล่าวกันว่ามะรุมมีฤทธิ์ชะลอความแก่ เนื่องจากยังไม่พบรายงานการวิจัยเกี่ยวกับมะรุมในด้านนี้ คาดว่าเป็นการสรุปเนื่องจากมะรุมมีสารฟลาโวนอยด์สำคัญคือ รูทินและเควอเซทิน (rutin และ quercetin) สารลูทีนและกรดแคฟฟีโอลิลควินิก (lutein และ caffeoylquinic acids) ซึ่งต้านอนุมูลอิสระ ดูแลอวัยวะต่างๆ ได้แก่ จอประสาทตา ตับ และหลอดเลือดจากการเสื่อมสภาพตามอายุ การกินสารต้านอนุมูลอิสระชะลอการเสื่อมสภาพในเซลล์ร่างกาย
ฆ่าจุลินทรีย์

สารเบนซิลไทโอไซยาเนตโคไซด์และเบนซิลกลูโคซิโนเลตค้นพบในปี พ.ศ.2507 จากมะรุมมีฤทธิ์ต้านจุลชีพ สนับสนุนการใช้น้ำคั้นจากมะรุมหยอดหูแก้ปวดหู ปัจจุบันหลังจากค้นพบแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร Helicobactor pylori กำลังมีการศึกษาสารจากมะรุมในการต้านเชื้อดังกล่าว

การป้องกันมะเร็ง
สารเบนซิลไทโอไซยาเนตไกลโคไซด์ชนิดหนึ่งและสารไนอาซิไมซิน (niazimicin) จากมะรุมสามารถต้านการเกิดมะเร็งที่ถูกกระตุ้นโดยสารฟอบอลเอสเทอร์ในเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวได้
การทดลองในหนูพบว่าหนูที่ได้รับฝักมะรุมเป็นอาการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังจากการกระตุ้นน้อยกว่ากลุ่มทดลอง โดยกลุ่มที่กินมะรุมเนื้องอกบนผิวหนังน้อยกว่ากลุ่มควบคุม

พี่น้องครับ ที่ยกมาให้อ่านส่วนใหญ่เป็นข้อมูลที่เกิดจากการค้นคว้าของคนชาติอื่น

เราเองก็ควรจะมีชุดความรู้ที่เกิดจากการเรียนรู้ของเรา ถ้าใครสนใจเรื่องนี้ ก็จองบัตรคิดมามะรุมมะตุ้มเรื่องมะรุมได้นะครับ เราอาจจะมาเรียนเรื่องมะรุมให้อร่อยผ่านการเพาะ การปลูก การชิมผัดต้มแกงมะรุม จิบชามะรุม แกะกินเมล็ดแก่มะรุม แล้วช่วยกันมะรุมมะตุ้มปลูกให้ให้แพร่หลายไปทั่วประเทศ

ไม่แน่นะครับ

มะรุมนี่แหละอาจจะช่วยชาติได้

หลายเรื่อง หลายด้าน หลายกรณี

เจอหน้ากันก็ทักกินเสียหน่อย

วันนี้คุณชิมมะรุมแล้วหรือยัง!

« « Prev : เฮฮา6จะตกดอยก็คราวนี้

Next : เรื่องที่ควรห่มผ้าอ่าน » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

6 ความคิดเห็น

  • #1 น้ำฟ้าและปรายดาว ให้ความคิดเห็นเมื่อ 1 ธันวาคม 2008 เวลา 12:57

    ตอนไปประชุมวิชาการกับสมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทย ถ้าจำไม่ผิดน้ำมันมะรุมอินเดียส่งออกไปสวิสนะคะ เอาไปทำน้ำมันนาฬิกา

  • #2 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 1 ธันวาคม 2008 เวลา 17:18

    โห ความรู้ใหม่ เอาไปหล่อลื่นหรือเอาไปใช้ยังไงก็ไม่รู้

  • #3 aram ให้ความคิดเห็นเมื่อ 1 ธันวาคม 2008 เวลา 21:31

    ..ของดีๆเรามีอยู่หลังสวนนี่เองนะครับพ่อ..
    ..อากาศหนาวๆ ผมขอลองไปทำชาใบมะรุมชิมจิบด้วยคนนะครับ..

  • #4 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 2 ธันวาคม 2008 เวลา 7:36

    เคี้ยวเมล็ดแก่วันละ2เมล็ด 3 เวลาหลังอาหาร
    สุขภาพ โรคภัย แม้แต่คนอยากลดหุ่นยังฃ่วยได้
    แก้ไอ หายใจฝืด หลอดลม ได้ด้วย
    ตับไตสั่นคลอน นอนหนาว ก็บรรเทา
    ช่วยผิวพรรณดี อารมณ์ดี อาหารดี อนามัยดี ได้ด้วย
    วันที่15 จะมีมหากรรมชิมมะรุม ที่ศูนย์วัฒนธรรม
    เราจัดเอง ชิมเอง อร่อยเอง ขอบอก
    อ.Handy อ.ขจิต อ.ปู จะเป็นนายแบบ นางแบบ สาธิตชิม

  • #5 น้ำฟ้าและปรายดาว ให้ความคิดเห็นเมื่อ 2 ธันวาคม 2008 เวลา 8:10

    เอาไปทำน้ำมันหล่อลื่นในเครื่องนาฬิกาค่ะ เพราะนาฬิกาสวิสเค้าขึ้นชื่อเรื่องความทนทานและเที่ยงตรง (ตามที่อ.ผู้ที่มาบรรยายในวันนั้นบอกนะคะ อิอิอิ) 

  • #6 sita ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 ธันวาคม 2008 เวลา 20:18

    เรามีวิธีสังเกตุไหมคะว่าแคปซูลมะรุมที่เราซื้อมาเป็นใบมะรุมจริงๆ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 1.4551510810852 sec
Sidebar: 0.66591906547546 sec