นักพัฒนาหน้าโง่

โดย sutthinun เมื่อ 11 พฤศจิกายน 2010 เวลา 7:13 ในหมวดหมู่ สวนป่าฮาเฮ #
อ่าน: 1426

(ชาวบ้านเอาโล่ห์-ใบประกาศ มาอวดมากมาย)

ทุ่งกว้างใหญ่เนื้อที่หลายล้านไร่ที่เวิ้งว้าง มีประชากรอยู่อาศัยตามที่ดอนเป็นกลุ่มๆ ต่อมาบ้านเมืองเจริญขึ้น มีถนนหนทาง มีไฟฟ้า น้ำประปา สุขศาลาอนามัย มีวัด มีโรงเรียน ชุมชนขยายตัวขยับเข้าหากันทุกที ทุ่งกุลาวันนี้ไม่ธรรมดาเสียแล้ว เมื่อวานรับเทียบเชิญจากโรงเรียนบ้านเก่าน้อย ซึ่งเคยได้รับโครงการวิจัยชุมชนของกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) ทำให้ผู้นำชุมชนและคุณครูแห่งนี้ได้มาเชื่อมโยงกับมหาชีวาลัย เราเย้าเยือนกันหลายครั้ง ในครั้งแรกที่ชาวบ้านเก่าน้อยยกทีมมาสวนป่า มีแต่คนแก่มากันกระย่องกะแหยงผมจึงไล่กลับ บอกว่าถ้าไม่ตั้งใจมาที่นี่ก็ไม่มีใจให้เช่นกัน ผู้เฒ่าผู้แก่กับเด็กๆพากันขึ้นรถกลับอย่างหงอยเหงา ชาวบ้านกลับไปแล้วผมก็มานั่งเสียใจ ทำไมเราใจดำกับชาวบ้านได้ขนาดนี้ฟะ

หลังจากชาวบ้านกลับไป1เดือน นายทอม บุญรัตย์ ผู้อำนวยการโรงเรียนโทรศัพท์มาหา บอกว่ากลับไปแล้วชาวบ้านเสียใจมาก รำพึงรำพันรบเร้าขอแก้ตัวใหม่ คราวนี้จะพากันมาอย่างพร้อมเพรียง ขอโอกาสจากครูบาอีกครั้งหนึ่ง ผมสะท้อนใจคอยอยู่แล้วจึงรีบนัดหมาย ในครั้งนั้นครู/ผู้นำชุมชน/พ่อใหญ่แม่ใหญ่ได้มากินนอนที่สวนป่า3วัน2คืน ได้แลกเปลี่ยนสาระทุกข์สุขดิบ หารือกันว่าจะทำการพัฒนาให้บ้านเก่าน้อยมีอะไรๆใหญ่ๆ โดยเฉพาะ-หัวใจใหญ่-ตาใหญ่-หูใหญ่-เพื่อจะได้เปิดหูเปิดตารับความรู้ใหม่ๆ

บ้านเก่าน้อยอยู่ในเส้นทางอำเภอพยัคฆภูมิพิสัยไปทางจังหวัดยโสธร 16 .. เป็นหมู่บ้านขนาดย่อมที่ฝังตัวอยู่ในท้องทุ่ง คนหนุ่มสาววัยฉกรรจ์หนีเข้าบางกอกหมด ประเด็นนี้ผมรู้สึกผิดอย่างมาก ที่ไม่รู้ความเป็นไปในชนบท พอเห็นมีแต่คนแก่วัยชรามาเต็มรถ ไม่คิดหน้าคิดหลัง คิดโง่ๆว่าจะอบรมคนเหล่าเหลานี้ไปทำไม แสดงว่าคนหนุ่มไม่มาใช่ไหม ไม่สนใจจึงคัดแต่คนแก่มาใช่ไหม นี่คือความผิดพลาดของนักพัฒนาหน้าโง่ครับผม หารู้ไม่ว่าท้องทุ่งกุลาเป็นเสมือนอาณานิคมของคนชราไปแล้ว

หลังจากได้สัมพันธ์กันฉันญาติ ผมพบว่าท่านผู้อาวุโสเหล่านี้มีเรื่องน่าสนใจมากมาย มีความตั้งใจสูงมากที่จะช่วยกันฟื้นฟูหมู่บ้านของตนเองอยู่ดีมีสุข มีความขยันความสามัคคีดีเยี่ยม พร้อมที่จะทุ่มเททำงานเท่าที่จะช่วยได้ หลังจากนั้น 3 ปี มาวันนี้บ้านเก่าน้อยเป็นหมู่บ้านที่ได้รับการยอมรับจากจังหวัดมหาสารคาม ให้เป็นแหล่งผลิตพันธุ์ข้าวหอมมะลิ ผลิตข้าวหอมอินทรีย์ ชวนกันปลูกต้นไม้เลี้ยงโค ทำให้ได้รับการส่งเสริมจากทางราชการ ผู้ว่าราชการจังหวัดฯอนุมัติให้จัดสร้างโรงสีข้าวขนาดกลางงบประมาณ1ล้าน1แสนเศษ กรมปศุสัตว์มอบโคในโครงการไถ่บาปโคกระมือ 52 ตัว ยังมีโครงการสนับสนุนเป็ดไข่ไก่เนื้ออีกเร็วๆนี้

ผมไปถึงก่อนเที่ยงเล็กน้อย แม่ใหญ่พ่อใหญ่มารอกันอย่างอบอุ่น ทั้งๆที่เป็นช่วงลงไร่ลงนา ผู้นำชุมชนได้เล่าให้ฟังเรื่องการพัฒนาอาชีพ การจัดการกองทุน การจัดตั้งโรงสี การผลิตข้าวและพันธุ์ข้าว การเตรียมงานต้อนรับคณะจากจังหวัดที่จะมาเปิดโรงสีใหม่ในวันที่12เดือนนี้ ทราบว่าท่านผู้ว่าราชการจังหวัด-เกษตรจังหวัดฯ-หัวหน้าส่วนจังหวัดฯจะมาร่วมแสดงความยินดีเต็มทุ่ง ผมชวนคิดเป้าหมายหมู่บ้านในอนาคต ว่าน่าจะทำการบ้านเพื่อส่งหมู่บ้านเข้าประกวดระดับประเทศ ควรจะยกระดับการงานอาชีพด้วยการปรับปรุงแหล่งน้ำด้วยการสร้างคันนาขนาดใหญ่ นอกจากเป็นเส้นทางสัญจรแล้ว ริมคันนาใหญ่ยังปลูกต้นไม้ได้ ร่องน้ำยังเลี้ยงปลาปลูกพืชผักหน้าแล้งได้ ใช้เครื่องพ่นควันขนาดเล็กมาไล่แมลง ไล่ยุง ใช้เครื่องสับใบไม้มาช่วยผลิตอาหารสัตว์ ปลูกต้นไม้อาหารสัตว์ ปลูกไม้ผักยืนต้น

ก่อนกลับ ผอ.ทอมชวนไปเยี่ยมโรงเรียนบ้านหนองคูสองห้อง ที่อยู่ห่างออกไป10 กม. ได้พบกับคณะกรรมการการศึกษา3หมู่บ้านและคณะครู ผู้อำนวยการโรงเรียนเล่าว่า พยายามจะเอาเรื่องการงานอาชีพและแนวทางพระราชดำริเข้าไปสู่โรงเรียน ยกตัวอย่างเช่นปีนี้ชวนเด็กๆทำนาในโรงเรียน ผู้ปกครองบางส่วนไม่เข้าใจไม่เห็นด้วย อยากให้ครูหมกมุ่นสอนอยู่ในห้องแคบๆ สอนแบบปิดประตูตีแมว

ทำให้ผมนึกถึงเรื่องสทศ.พิมพ์สมุดปกขาว “วิกฤตการศึกษาไทย”

.ดร. อุทุมพร จามรมาน รักษาการผอ.สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ(สทศ.) เปิดเผยว่าในขณะนี้ สทศ.กำลังพิมพ์สมุดปกขาวดังกล่าวจำนวน 50,000เล่ม เพื่อแจกจ่ายให้แก่ประชาชนทั่วประเทศ โดยคาดหวังว่าจะกระตุ้นให้ประชาชนหันมาสนใจและร่วมแก้วิกฤติการศึกษาของชาติ สำหรับเนื้อหาของสมุดปกขาวจะประกอบด้วยข้อมูลผลการทดสอบต่างๆ ตลอดจนข้อมูลอ้างอิงเรื่องคุณภาพการศึกษาของนักเรียนไทยจากหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศ อาทิ สถาบันนานาชาติเพื่อพัฒนาด้านการจัดการ (IMD) ที่จัดอันดับความสามารถในการแข่งขันภาพรวมของ 58 ประเทศ พบว่าปี2551ไทยอยู่ในอันดับที่27 ปี2552 ไทยอยู่อันดับที่ 26 และปี 2553 ไทยอยู่อันดับเดิมที่ 26 ซึ่งตามหลังสิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลเซีย และไต้หวัน ถ้าดูผลการประเมินทุกสาขาวิชาและการตรวจสอบความถนัดทางวิชาชีพ/วิชาการ(PAT) จากการสอบ5ครั้ง แต่ละครั้งทุกวิชามีคะแนนไม่ถึง50% ของคะแนนเต็ม เป็นต้น

สทศ.ได้เสนอแนวทางอื่นๆในการแก้ปัญหาการศึกษาของชาติด้วย อาทิ ยกเลิกให้ทุกโรงเรียนสอนเหมือนกัน แล้วหาผู้รู้จริงมาทำหลักสูตร แก้ปัญหาโรงเรียนเล็กด้วยการใช้รถเคลื่อนที่วิ่งไปตามหมู่บ้าน หาครูเก่งๆไปสอน ส่วนเรื่องงบประมาณขอให้สำนักงบฯโอนเงินให้โรงเรียนโดยตรง เพื่อโรงเรียนจะได้มีงบฯบริหารทันเวลาไม่ต้องผ่านเขตพื้นที่การศึกษา เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ได้มีข้อเสนอด้วยว่า ให้มีการประเมิน สทศ.ด้วย ถ้าไม่สามารถที่จะทำให้หน่วยงานต่างๆนำผลการสอบ ไปใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอนได้ก็ควรยุบสมศ.ทิ้งไป ศ.ดร.อุทุมพร กล่าว.

เราออกจากหมู่บ้านตอนบ่ายแก่ๆ

แวะร้านไก่ย่าง/ต้มยำปลากลางทุ่ง

เสน่ห์ปลายจวักรสชาติเข้มข้นถึงใจ

มีภาพดาราหลายคนเคยมาแวะชิมการันตี

เอาไว้พี่ป้าน้าอาชาวฮามาจะชวนไปกินข้าว

ข้าวใหม่ปลามันดวลกันกลางทุ่งนั้น

จำเป็นต้องมาให้ถูกจังหวะ

ถ้าช้าไปก็จะเป็น>>ข้าวเก่าปลาแห้ง อิ.อิ

« « Prev : เดี้ยง

Next : วิธีรักษาโรคเดี้ยง » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

4 ความคิดเห็น

  • #1 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 12 พฤศจิกายน 2010 เวลา 8:57

    ไม่มีสูตรสำเร็จในงานพัฒนา
    ทุกคนย่อมมีค่าและพัฒนาได้
    เพียงเกิดสำนึกขึ้นภายใน
    พลังอันยิ่งใหญ่คือศรัทธา

    ผมล้มเหลวมาก็มาก บ้าใบ้มาก็เยอะ
    ไปไม่เป็นก็บ่อยๆ ทำเรื่องเสียใจก็เคยมี
    เพียงแต่เรียนรู้มัน
    และทำใหม่

    บทเรยนที่สำคัญคือ เราไปพัฒนาครอบครัวหนึ่งขึ้นมาเป็นผู้นำทั้งผัวทั้งเมีย และเขาก็เอาด้วยซี สนุกและเพลอดเพลินกับการเสียสละให้แก่กลุ่ม ชุมชน 5 ปีผ่านไปปรากฏว่าฐานเศรษกิจครอบครัวของเขาพังครับพ่อครู…
    ก็เราบอกว่าให้เขาเสียสละ
    ก็เรากระตุกให้เขาเห็นแก่กลุ่ม ชุมชน เพื่อนบ้าน
    เราสร้างให้เขาอาสา มีส่วนร่วม
    โดยไม่มีค่าตอบแทนหรือมีน้อยนิด

    แต่ลูกต้องไปโรงเรียน
    นาท้องทำ วัวควายต้องเลี้ยง งานสังคมต่างๆต้องเดินไปร่วม
    รายได้ที่เคยมีก็หดหายเพราะเอาเวลามาให้กับงานพัฒนา
    ….ไอ้นักพัฒนาบ้าบออย่างผมนั้นมีเงินเดือนกิน แม้จะไม่มากก็เอาตัวรอดได้
    แต่ผู้นำท่านนั้นพังเรียบร้อยกว่าจะรู้ตัวได้ก็ ไปไม่รอดเสียแล้ว
    ต้องออกจากหมู่บ้านกัดฟันมาเปิดร้านขายอาหารหน้าแม่โจ้
    สามีวิ่งส่งน้ำแข็ง ภรรยาทำจิ้มจุ่มขายกับอื่นๆ
    ….มันเป็นบทเรียนที่เจ็บปวกสำหรับผมและเพื่อนๆ
    นี่คือผลงานพัฒนาหรือ….

    ทุกวันนี้ฟื้นตัวได้แล้ว ผมไปเชียงใหม่เกือบทุกครั้งต้องแวะไปหาเขาท่านนี้
    ้ที่สอนๆกันในห้องน่ะ ไม่รู้จักรสชาด ของความจริงหรอก
    คนทำเท่านั้นที่เห็นน้ำหนักของความจริงครับพ่อครู..

  • #2 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 12 พฤศจิกายน 2010 เวลา 18:55

    เรื่องนี้ถ้าอวดเก่งตกม้าตายทุกที
    โดยเฉพาะจากฐานของมนุษย์เงินเดือน กับ มนุษย์เงินดิน
    การทำงานบนฐานที่พร้อมมีงบประมาณอุดหนุน กับ การทำบนฐานความไม่พร้อม แต่มีใจ มีน้ำลาย กับกำปั้น
    ตรงนี้ถ้าไม่ทำสอบบนฐานความจริง ยากนักที่จะตระหนักรู้
    พวกเราผ่านความล้มเหลวมากันทั้งนั้น จึงรู้ว่าทำไมมันพัฒนายากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นเขา เพราะเราไม่ขี้โม้
    ยอมรับความไม่รู้ของตนเอง จึงต้องเรียนทั้งถูกทั้งผิดไปพร้อมๆกัน
    ไปหมู้่บ้านไหนๆก็เห็นว่าเขาน่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้
    แต่ก็ฟังเบื้องหลังแล้วเราจะรู้ว่า ที่ทำได้แค่นี้ก็เลือดตาแทบกระเด็นแล้ว
    จึง อิ อิ ไม่ค่อยออก ต้องยอมรับสภาพจริง

  • #3 อุ๊ยสร้อย ให้ความคิดเห็นเมื่อ 13 พฤศจิกายน 2010 เวลา 6:46

    ในด้านการศึกษานั้น ถ้ายอมรัยความจริงข้อมูลจริง ไม่ปัดความผิดให้ไปพ้นตัว ก็น่าจะพัฒนาได้ค่ะ

    ปัญหาคือไม่ใช่ว่าไม่รู้ปัญหา
    แต่ไม่ทำซะอย่าง พอถึงเวลาครบประเมิน ก็มาดูตัวเลขตัวหนังสือ และประชุม”ขอปรับตัวเลข” ถ้าคนหน้างานไม่ทำตามจะกลายเป็นคนทำให้คณะวิชาไม่ผ่านการรับรอง จะเสียหาย(จริงคือเสียหน้าผู้บริหาร)

    คนไทยเรายอมไม่ได้กับการเสียหน้าแบบนี้ แต่กลับยอมได้กับการเสียหายของประเทศ

  • #4 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 13 พฤศจิกายน 2010 เวลา 7:24

    ไม่เลือกเสียหน้า ก็ไม่ว่าหรอก
    แต่ควรจะรับผิดชอบ ความเสียหายต้นทุนสติปัญญาของชาติ
    ถ้าไม่มีคำตอบในเรื่องนี้
    ก็นับถอยหลัง ลงหลุม ได้เลย


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.1385190486908 sec
Sidebar: 0.25468993186951 sec