ปากพูดก็ได้ยิ้มก็ดี
อ่าน: 1361
วันนี้เราเรียนเรื่องการสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในช่วงที่ประเทศไทยประสบปัญหาเรื่องการสื่อสาร โดยเฉพาะการพูดจากัน เช่น ข่าวว่าจะมีการส่งเสียงทางไกลถ่ายทอดมายังเวทีชุมนุนคนเสื้อแดง พวกเรายิ่งตื่นเต้นกันใหญ่ จะว่ากระต่ายตื่นตูมก็ไม่ใช่ เพราะมันมีเหตุอันควรให้เชื่อได้ คืนนี้ทหารร่วมกับตำรวจออกมารักษาความสงบร่วมกันหลายกองร้อย สาเหตุอาจจะมาจากคนไทยปากเปียกปากแฉะกันนั่นแหละ
รศ.ดร.ฉันทนา บรรพศิริโชติ หวันแก้ว คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ เป็นผู้บรรยาย อาจารย์ให้ความรู้ที่เป็นประเด็นสำคัญสอดคล้องกับสถานการของบ้านเมือง
(พี่สีน้อย เกษมสันต์ ณ อยุธยา)
บางคนพูดจามะนาวไม่มีน้ำ
บางคนปากหวานก้นเปรี้ยว
บางคนพูดเอาแต่ได้
บางคนพูดแล้วถึงได้คิด
บ้างคนพูดกระแหนะกระแหน
บางคนปากปราศัยน้ำใจเชือดคอ
อานุภาพของลมปากนั้นร้ายนัก
ขงเบ้งพูดให้จิวยี่กระอักเลือดตายมาแล้ว
โบราณมีคำสุภาษิตไว้ว่า
ปากเป็นเอกเลขเป็นโท หนังสือเป็นตรี
สุนทรภู่ให้ข้อฉุกคิดเกี่ยวกับการพูดไว้..
ลมปากหวานหูไม่รู้หาย
(ช่วงที่1นั่งแบบไม่รู้ไม่ชี้)
ถ้าแต่ละเวทีการเมืองพูดจาตามตัวอย่างนี้เรื่องจบไปแล้ว
ทุกเวทีพูดเอามันส์เข้าว่า
ทั้งๆที่พูดใส่ไมค์โคโฟนก็ลืมตัวตะโกนจนเสียงแหบเสียงแห้ง
การพูดแบบขั้วบวกขั้วลบเช่นนี้ อยากนักที่จะอี๋อ๋อกันได้
(ช่วงที่2 ขยับมาคุยกัน)
อาจารย์ฉันทนาพูดเรื่องความไว้วางใจ วิเคราะห์ปัญหาความไม่ไว้วางใจ ระดมความเห็นเพื่อฟื้นฟู และสร้างความไว้วางใจ แล้วโยนคำถามใส่พวกเรา..
ทำไม คนในพื้นที่มาให้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ก่อการทั้งๆที่อาจรู้เบาะแส
ทำไม การชุมนุมซึ่งน่าจะเป็นวิถีประชาธิปไตย จึงถูกมองว่าเป็นปัญหา
ทำไม จึงไม่เห็นผู้นำศาสนาแสดงบทกำกับ ควบคุมความรุนรง
ทำไม คนที่ทำหน้าที่เยี่ยวยาจึงมีชื่ออยู่ในบัญชีดำ
ทำไม ทำไม ..(อีกหลายทำไม)
(ช่วงที่3 ยิ้มแย้มแจ่มใส)
ฐานะของความไว้วางใจ
· การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร
· การเสริมสร้างความร่วมมือ
· การร่วมแก้ไขปัญหา
ความไว้วางใจ เป็นทุนทางสังคมประเภทหนึ่ง
(ช่วงที่4กินข้าวร่วมโต๊ะ)
ทำความเข้าใจ กับ ความไว้วางใจ
· ความไว้วางใจมาจากไหน
· ขึ้นอยู่กับอะไร
· การสูญเสียความไว้วางใจ
ประเด็นความสูญเสียความไว้วางใจนี่แหละที่ก่อปัญหาทางสังคมอยู่ในขณะนี้ อาจจะเรียกว่าวิกฤติศรัทธาได้หรือเปล่าไม่รู้นะครับ มองหาใครจะมาประสานใจ หรือเป็นคนกลางในการเจรจายากมาก ถ้าเริ่มต้นไม่ไว้วางใจ-ไม่สนิทใจที่จะพูดกันแล้ว มันก็เหมือนใส่หน้ากากเข้าหากัน แต่อาจารย์ยังให้ความหวังว่า..ความไว้วางใจนั้นไม่ได้มีที่มาจากสิ่งเดียว และการสูญเสียความไว้วางใจบางสิ่งไม่ได้หมายความว่าสูญเสียความไว้วางใจไปทั้งหมด การไว้วางใจไม่ได้เต็มร้อยเสมอไปก็ได้..
ระหว่างที่ผมนั่งฟังอาจารย์บรรยายเพลินอยู่นั้น
พี่สีน้อย เกษมสันต์ ณ อยุธยา
เดินมากระซิบว่า..ครูบาเอากล้องมาไหม
พร้อมกับโบ้ยให้ผมมอง2หนุ่มใหญ่ที่นั่งคู่กัน
นายโกวิทย์ ธารณา ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์
นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.พรรคพลังประชาชน
ทั้ง2ท่านเป็นนักศึกษาที่เอาการเอางานมาก
ไม่เคยขาดเรียน..แต่ไม่เคยนั่งประกบกันเช่นนี้มาก่อน
ผมคว้ากล้องเดินไปด้านข้าง
แอบกดชัตเตอร์ตามอริยาบท
..ตอนแรกๆทั่งคู่นั่งไม่รู้ไม่ชี้
ต่อๆมาก็ค่อยๆหันหน้าเข้าหากัน
มีท่วงทำนองปรึกษาหารือกันด้วยนะ
ช่วงท้ายๆเห็นยิ้มแย้มให้กัน
แล้วยังชวนกันไปนั่งรับประทานอาหารโต๊ะเดียวกัน
ผมอยากรู้จังเลยว่าทั้ง2คุยอะไรกัน
จะถามเพื่อนร่วมโต๊ะก็เกรงว่าจะเสียการ
สิ่งที่เล่ามานี้ ตีความเชิงประจักษ์ได้พอสมควร
ปัญหาการเมืองขณะนี้
น่าจะตรงกับที่อาจารย์บรรยายไว้ว่า..
ความไว้วางใจนั้นเป็นความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่ายเสมอ จะมีมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับระดับความคาดหวังต่อกัน การไม่สนใจแจกแจงให้ได้ว่าสังคมไว้วางใจกันด้วยเงื่อนไขอะไร หรือการใช้เพียงสามัญสำนึกแต่เพียงอย่างเดียว อาจส่งผลให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่ามีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเท่านั้นที่เป็นผู้กำหนดความสัมพันธ์หรือความเป็นไปในสังคม
ปากจึงเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังถ้ารู้จักวิธีใช้
ถ้าใช้ไม่เป็น แกว่งปากหาเสี้ยน
ปากไม่มีหูรูด ปากอาจจะมีสีก็ได้
การทำให้คนอื่นไว้ใจ ต้องควบคู่ไปกับการเรียนรู้ที่จะไว้ใจคนอื่น สังคมที่มีความไว้วางใจ คือสังคมที่ไปมาหาสู่กัน หรือสังคมที่มีวัฒนธรรมแบบสมาคม
หรือจะเอาอย่างที่เสนอตอนที่แล้ว
อย่าลืมนะจ๊ะ อย่าหวงยิ้ม
ไปไหนพกยิ้มไปด้วย
เอายิ้มเป็นใบเบิกทาง
อ่านถึงตรงนี้ก็ทดลองยิ้มดูสิ อิ อิ
5 ความคิดเห็น
ผมไม่รู้จัก สส. ทั้งสองท่านหรอกครับ แต่จากรูปที่เห็นนั้น เป็นความจริงที่ว่า ไม่ว่าเรื่องอะไรก็เริ่มพูดจากันได้ ถ้าเพียงแต่กะเทาะเปลือกที่ปกป้องออกไป
ท้ายเอกสารนี้ ขั้นที่ 3b แนะนำเกมชื่อว่า trust walk น่าสนุกดีครับ
ผมก็มีคำถามในใจมาตลอดนะครับว่า
ประเทศไทยเราก็มีทั้งสถาบันสารพัดสถาบัน มีผู้เชี่ยวชาญสารพัดเชี่ยวชาญ มีอาจารย์สารพัดอาจารย์ มีนักเรียนโข่งสารพัดนักเรียนที่จบออกมาไม่รู้กี่รุ่นแล้ว
แต่ทำไมเรื่องความไม่สงบทางใต้ เรื่องเสื้อเหลืองเสื้อแดงในปัจจุบัน ถึงแก้ไม่ได้สักที ?????????
ไอ้ที่ว่าเชี่ยวชาญ เชี่ยวชาญจริงไหม ?
ไอ้ที่สอนๆ เรียนๆกันอยู่น่ะ เรียนๆสอนๆกันไปทำไม ?
ในเมื่อเห็นๆอยู่ว่ามันแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ ?
ไม่ได้แกล้งป่วน แต่อยากถามนักเรียนโข่งที่รู้จักทั้งสองคนจริงๆ ลืมไป ถามลุงเอกด้วย อิอิ
ความสัมพันธ์ การเชื่อมโยง การสื่อสาร ก็เป็นวิธีหนึ่งในการสมาน แต่เบื้องลึกสาเหตุเป็นปัจจัย เราจะสามารถแปรสภาพเบื้องหลังมาเป็นเบื้องหน้าได้ไหม
ความเห็นหมอวันนี้ถูกใจจริงๆครับ
เรียนทำไม
ก็เรียนรอให้หมอถามยังไงละครับ
เรียนทำไม
ทั้งๆที่รู้ว่ามันแก้ไขอะไรไม่ได้ เรื่องแก้ปัญหากับเรื่องเรียน ถึงมันจะเกี่ยวข้องกัน แต่
น้ำหนักอยู่ที่เราไม่มากนัก เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของคนไทยทุกคน นักเรียนโข่งก็มีสิทธิ์
ลงคะแนนเสียงได้1คะแนนเท่ากันกับคนอื่น
เรียนทำไม
เรียนรอให้หมอสงสัยยังไงละครับ อิ อิ ..
เรียนทำไม
เรียนเพื่อที่จะได้บอกผู้เชี่ยวชาญ ผู้รู้ ผู้รับผิดชอบว่า..ที่ผ่านมายังแก้ปัญหาไม่ถูกที่คัน
บ้านเมืองเกิดวิกฤติจนกู่ไม่กลับ สถานการณ์ผิดปรกติ อย่าแก้แบบปกติ
เรียนทำไม
เรียนรอทุกอย่างเจ๊ง
เรียนทำไม
เรียนเพื่อ อิ อิ..
เรียนทำไม
เรียนทำไอ้นั่นแหละ
เรียนทำไม
เรียนรอคอยหมอมาวันที่8
เรียนทำไม
เรียนรอหิมะตก น้ำท่วมโลก เศรษฐกิจประเทศพังพินาศ
เรียนทำไม
เรียนรอม๊อบเกษตรกรที่จะเดินขบวนมาอีก ม๊อบปาล์ม ม๊อบมันสำปะหลัง ม๊อบข้าวโพด ม๊อบลำใย ม๊อบข้าว ม๊อบเป็ดไก่วัวควายฯลฯ
เรียนทำไม
ไม่แน่น๊าครับ เราอาจจะเป็นสัปเหร่อ รอเก็บเศษซากต่างๆหลังสงครามม๊อบมือตบปะทะ
ม๊อบตีนตบ
เรียนทำไม
อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่เรียนละครับ การได้เจอครูอาจารย์-เพื่อนนักศึกษา ทำให้มีโอกาส
ได้ปรึกษา หาทางออกร่วมกัน