แผน ก่อกวนการศึกษา
อ่าน: 1407เมื่อวาน บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขอความอนุเคราะห์ส่งลูกศิษย์มาสัมภาษณ์เพื่อเก็บข้อมูลงานวิจัย เพื่อทำดุษฎีนิพนธ์เรื่อง “การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพประเภทวิชาเกษตรกรรมตามแนวหลักสูตรสมรรถะบนพื้นฐานหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” นักศึกษาได้โทรศัพท์นัดล่วงหน้าไว้แล้ว ที่ชอบใจก็คือสามารถหาทางเข้าสวนป่าได้โดยไม่ต้องมีการสอบถาม หลังจากนั่งคุยกัน ก็ทราบว่าเป็นนายกอบจ.เป็นเจ้าของโรงเรียนเอกชน เป็นประธานเขตพื้นที่การศึกษา และคงเป็นอะไรๆอีกมากในจังหวัดชัยภูมิ
ถามว่าทำไม่ถึงทำหัวข้อนี้ ก็ให้เหตุผลว่า อยากจะสร้างหลักสูตรที่เหมาะกับยุคสมัย เห็นว่าเด็กไทยยุคนี้ไม่สนใจอาชีพการเกษตร แม้แต่วิทยาลัยเกษตรกรรมก็แทบร้าง เด็กๆที่เรียนล้วนแต่เป็นพวกที่จำใจ-จำเป็น-จำกัดจำเขี่ย ไปเรียนแบบงั้นๆ การสอนก็งั้นๆ ในฐานะคนทำการเกษตร ก็รู้สึกเจ็บปวดนะ ..คนมันกินข้าวทุกวัน แต่ก็พากันละเลยไม่ใส่ใจ-ไม่ตั้งใจสร้างมาตรฐานวิชาความรู้ที่หล่อเลี้ยงชีวิต แปลกไหมละ นี่ถ้าโลกร้อนมาก น้ำแห้งแล้งยาว ปลูกพืชอาหารไม่เพียงพอบริโภค คนมันจะกินอะไรแทน สวาปามเทคโนโลยีรึ
ดังนั้น เมื่อมีคนต้นคิดที่จะก่อหวอดสร้างหลักสูตรการฝึกฝนด้านการทำการเกษตร โดยการยกเครื่องเรื่องหลักสูตรจึงน่าสนใจใช่ไหมละครับ เราได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกันอย่างสนุก เนื่องจากนักศึกษาเป็นผู้อยู่ในวงการศึกษาและมากประสบการณ์ จึงมีเรื่องเล่าภาคพิศดาร..เด็กหนีเรียน-เด็กทำร้ายกัน-ตำรวจเล่นป่าหี่-ผู้ปกครองมุ่งหาเงิน-หลักสูตร-ระเบียบต่างๆเฮงซวย-คำสั่งจากหอคอยงาช้างที่ไม่ดูตาม้าตาเรือ-ซ้ำเติมสถานการณ์ย่ำแย่-ทำแต่เรื่องให้ครูทิ้งเด็ก-ผู้อำนวยการฯบริหารโรงเรียนทางโทรศัทพ์ ยุ่งคุยก็ยิ่งเข้าทางผม ที่กำลังจะเสนอเรื่องอาชีวะศึกษาให้กับคณะทำงานนโยบายการศึกษา เอาแค่หัวข้อ..ทำอย่างไรเด็กอาชีวะต่างสถาบันจะไม่ทำร้ายกัน ก็มันส์พะยะคะแล้วละขอรับ
อีกเรื่องหนึ่ง การทำอาจารย์3ตะกร้าปาไม่ถูก มีกรณีเล่นปาหี่จนยากจะเล่าได้ ยิ่งกว่าเรื่องโหดมันส์ฮาใดๆที่มีอยู่บนผืนพิภพนี้ ทำให้ครูทิ้งเด็ก ทิ้งห้องเรียน ทิ้งการสอน กันทั้งประเทศ เมื่อครูทิ้งเด็ก เด็กก็ทิ้งครู ครูทำผลงานเป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่เด็กๆของครูอ่านไม่ได้เขียนไม่ออก การประเมินตัวเลขประเมินกระดาษ เป็นเรื่องตลกที่ส่งผลถึงการล้างผลาญการศึกษาไทย สรุปแล้วนโยบายเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้ครู-เด็ก-อนาคนของชาติดีขึ้น
..อยากจะเสนอใหม่ เอาครูไทยที่สอบไม่ผ่านวิชาที่ตนเองสอน (ตามที่เคยเล่าไปแล้ว) เชิญเข้ามาอบรม แล้วให้สอบใหม่ คุณครูท่านใดสอบผ่านวิชาที่ท่านสอน ก็เพิ่มเงินให้เป็นรายๆไป อย่างนี้งบประมาณแผ่นดินน่าจะได้ประโยชน์มากกว่าให้ครูลงทุนซื้ออาจารย์3คนละ50,000-100,000บาท ทั้งจะช่วยให้ความภาคภูมิใจของครูกลับมาได้ด้วย ส่งผลถึงเด็ก ถึงการศึกษาโดยรวม
มาดูข้อมูลเรื่องเด็กอ่านไม่ได้เขียนไม่ดี ผลการทดสอบการศึกษาเด็กไทย ป.-3รายงานผลการประเมินของสำนักทดสอบทางการศึกษา สพฐ.ทั่วประเทศ ประจำปี2552 จำนวน 502,469 คน เรื่องอ่านออกเขียนได้ คิดคำนวณได้ พบว่า
1ความสามารถอ่านไม่ผ่านเกณฑ์ 7.22% หรือ 37,813 คน
2ความสามารถในการเขียน ไม่ผ่านเกณฑ์ 17.74% หรือ 99,558 คน
3ความสามารถในการคิดคำนวณไม่ผ่านเกณฑ์22.29%หรือ119,374 คน
เลขาธิการคณะกรรมการขั้นพิ้นฐาน(กพฐ.) มีนโยบายกระตุ้นสพท.ให้จำแนกข้อมูลเป็นรายเขตพื้นที่การศึกษา ให้แต่ละเขตฯไปจัดทำแผนรณรงค์และส่งเสริมทักษะพื้นฐานนักเรียนชั้นประถมปีที่3 ให้อ่านออกเขียนได้คำนวณได้ ให้มากที่สุด ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เวลา
: แบบนี้ก็เข้าอีรอบเดิม
ให้เร่งรัด ให้แก้ไข ให้ทำแผน
อาจารย์3ตะกร้าก็ทำแบบทำอาจารย์3นั่นแหละ
การที่รัฐฯไม่ยอมรับความจริง..จะให้ลากเด็กขึ้นชั้นไปเรื่อยๆ เข็ญขืนให้เรียนในสภาพที่เด็กไม่พร้อมไม่รับ การศึกษาเช่นนี้แหละที่น่าเบื่อและสร้างความทุกข์ให้แก่ครูและเด็ก เด็กๆที่น่าสงสารถูกถีบส่งมาทรมานทรกรรมหนักขึ้นมากขึ้นในชั้นที่สูงขึ้น ก็ลองนึกดูเถิด ..เรียนชั้นปกติกยังอ่านเขียนยังไม่ดี จะให้ไปปีนบันไดวิชาที่หนักหนากว่าเก่าได้อย่างไร คุณครูจะเอาเทคนิคอะไรไปสอน เอาแค่พะวงการเรียนเด็กปกติก็หมดแรงแล้ว จะเอากำลังที่ไหนมาลากเด็กอ่อนเข้าไปอีก
ทุกโรงเรียนแก้ไขด้วยการแบ่งเกรด เด็กเรียนดีอยู่ในหมู่เรียนดี เด็กเรียนด้อยก็กองกันอยู่ในหมู่กันเอง ปล่อยให้ละเลงปัญหา คุณครูประจำชั้นรับมือไม่ไหวหรอก สุดท้ายก็ปล่อยเลยตามเลย เด็กจำนวนหนึ่งของโรงเรียนจึงเละตุ้มเป๊ะ และยังไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ นโยบายที่เอาแต่สั่งๆๆแบบปัดก้นจึงเป็นเพียงแนวทางแก้ขัดไม่ใช่แก้ไข
เอาอย่างนี้ดีไหมครับ เด็กที่มีปัญหาจุกจิก เรียนอ่อน สมองช้า ชอบการเรียนปฎิบัติ หรือพิการในด้านอื่นๆ น่าจะพิจารณาให้ซ้ำชั้นได้ หรือแยกไปเรียนในหลักสูตรพิเศษ ถ้าแยกชัดๆอย่างนี้ รายการโมเมชั่นตัวเลขทางการศึกษาจะค่อยๆหมดไป ไม่ใช่มีครูวิทยฐานะสูงเต็มประเทศ แต่เด็กน้ำตาท่วมใจไร้อนาคต นโยบายห้ามตกซ้ำชั้นไม่ทราบว่าใครคิดและหลุดออกมาได้อย่างไร อาจจะมีเหตุผลในด้านดีอยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกับความเป็นจริงแล้ว เป็นการสร้างฉากให้ดูดีมากกว่าที่จะเป็นแบบแผนศึกษาชาติที่ดีมีผลสัมฤทธิ์ที่แท้จริง
ถ้าการศึกษาอ่อนระโหยโรยรา อนาคตไทยก็อ่อนล้าโรยแรง
แนะให้สอนให้เรียนทั้งในห้องและนอกห้องคุณครูก็ไม่สนใจ
ตะบี้ตะบันสอนๆๆจากความรู้ความจำ แทนที่จะสอนเด็กให้รู้วิธีค้นความรู้
น่าจะสอนวิธีไปสู่โลกกว้าง เหมือนหนูเสื้อสีส้ม ที่ทดลองเขียนบล็อก
ครูที่ไม่ยิ้มแย้มแจ่มใสใจดี จะไปสอนให้เด็กจิตใจดีได้อย่างไร?
ครูที่ไม่ชอบเขียน จะไปสอนให้เด็กอยากเขียนได้อย่างไร?
ครูที่ไม่ชอบอ่าน จะไปสอนให้เด็กอยากอ่านได้อย่างไร?
ครูที่ไม่ชอบออกความเห็น จะไปสอนให้เด็กมีความคิดเห็นได้อย่างไร?
มีไหม? คุณครูที่ชอบออกความเห็น ขอเชิญ..> > >
ผมจะเอาประเด็นที่คุณครูเพิ่มเติมเข้าประชุมในบ่ายนี้
แคว๊กๆ
หมายเหตุ
ข้อมูลบางส่วนจาก แผนการศึกษาแห่งชาติ ฉบับปรับปรุง (พ.ศ.2552-2559)
- พัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาในทุกระดับและทุกรูปแบบให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม ฯ
-ส่งเสริมและสนับสนุนการกระจายอำนาจเพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชุมชนองค์กรทางศาสนา และเอกชน จัดและมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาฯ
-ส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาวิจัยในศิลปวิทนาการแขนงต่างๆ และเผยแพร่ข้อมูลผลการศึกษาวิจัยที่ได้รับทุนสนับสนุนการศึกาวิจัยจากรัฐฯ
-ส่งเสริมและสนับสนุนความรู้รักสามัคคีและการเรียนรู้ ปลูกจิตสำนึกและเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีของชาติ ตลอดจนค่านิยมอันดีงามและภูมิปัญญาท้องถิ่น
>> “การจัดการศึกษาอบรมองค์กรวิชาชีพหรือเอกชน การศึกษาทางเลือกของประชาชน การเรียนรู้ด้วยตนเอง และการเรียนรู้ตลอดชีวิต ย่อมได้รับความคุ้มครองและส่งเสริมที่หมาะสมจากรัฐ”
>> ในอนาคต 5-10 ปี จะมีครูประจำการเกษียณจำนวนมาก ร้อยละ50 ประมาณ200,000 คนเศษ ต้องมีการเตรียมครูดี แต่พบว่า ผู้เลือกเข้าคณะครุศาสตร์/ศึกษษสาสตร์ เป็นอันดับท้ายๆ เข้าสาขาอื่นไม่ได้ มาเรียนจำนวนมาก จึงไม่ได้คนเก่ง มีใจรัก มาเป็นครู ในด้านการพัฒนาครู พบว่า ขาดระบบการพัฒนาที่มีประสิทธิภาพต่อเนื่อง และขาดการดูแลเอาใจใส่อย่างจริงจัง ทำให้ครูไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเป็นระบบเพียงพอ
>> ในด้านการผลิตและพัฒนากำลังคน มีปัญหาการดำเนินการต่อเนื่องมาจากผู้สำเร็จอาชีวศึกษาร้อยละ 60 ศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี ทำให้ขาดแคลนคนระดับกลางอย่างต่อเนื่อง ผู้สำเร็จการศึกษาขาดคุณลักษณะด้านความรู้และทักษะที่จำเป็น และมีการผลิตกำลังคนระดับปริญญาตรีด้านสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์เกินความต้องการ ทำให้บัณฑิตจบใหม่ไม่มีงานทำจำนวนมาก
>> ด้านเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา พบว่า มีปัญหาการดำเนินการเนื่องมาจากขาดการพัฒนาเนื้อหาผ่านสื่อที่มีคุณภาพ รวมทั้งการเรียนการสอนและการพัฒนาผู้สอน ครูและนักเรียนนำความรู้ด้านเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาไปใช้ในกระบวนการเรียนการสอนและการเรียนรู้ด้วยตนเองน้อย สถานศึกษามีจำนวนคอมพิงเตอร์น้อยและล้าสมัย
>> แนวโน้มบริบทการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกและสังคมไทยภายใต้กระแสโลกาภิวัฒน์ ใน 6 ด้าน ได้แก่
1 ด้านสังคม 2 ด้านเศรษฐกิจและลักษณะการผลิตการบริการ 3 ด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงาน 4 ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม 5ด้านการเมืองการปกครอง 6 ด้านประชากร
>> สังคมโลกในอนาคตที่ส่งผลต่อสังคมไทย จะมีสังคม 3 ลักษณะ คือ
1 สังคมแข่งขัน ที่ใช้ความรู้เป็นฐานของการพัฒนาและการแข่งขันเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ ในยุคเศรษฐกิจ-สังคมฐานความรู้
2 สังคมสิทธิมนุษยชน สิทธิมนุษยชนจะได้รับความสำคัญมากขึ้นในสังคมไทย จากการบังคับใช้กฎหมายที่มีความชัดเจนเพิ่มขึ้น
3 สังคมพอเพียง จากสภาวะแข่งขันและวิกฤติทางเศรษฐกิจที่จะต่อเนื่องในอนาคต ทำให้สังคมไทยต้องหันมาให้ความสำคัญในเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอย่างจริงจังเพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันทางชีวิตและสังคม
« « Prev : จะไปไหนดี
Next : อย่าปล่อยให้ความ เขลาไม่มีที่อยู่ » »
4 ความคิดเห็น
ข้อหนึ่งที่เห็นได้ชัดว่าทำไมคนเก่งไม่เรียนครู มาเเป็นครู เพราะค่าตอบแทนการเป็นครูไม่สูงพอ ทำไมคนแย่งกันเรียนกฎหมายในปัจจุบัน ก็เพราะค่าตอบแทนวิชาชีพสูงมาก แค่ปรับค่าวิชาชีพครูให้สูงดูสิว่าคนเก่งจะไม่เป็นครู
สมัยก่อนคนเรามุ่งที่เกียรติยศชื่อเสียงการสร้างประโยชน์ให้แก่สังคม คนเก่งจึงเลือกเป็นครู
สมัยนี้เราดูรายได้เป็นหลัก วิชาชีพไหนสร้างรายได้ดีก็เลือกเรียนสายนั้น
และเป็นอย่างที่พ่อครูว่า แม่พิมพ์เป็นแบบไหน ผลผลิตจะให้ดีกว่าแม่พิมพ์ได้อย่างไร
;วันนี้มีการประชุมผู้บริหารโรงเรียนอาชีวต้นแบบใน กทม.
บังเอิญมาประชุมโรงแรมที่ผมพัก เลยได้คุยกัน
ได้รับเลี้ยงข้าวหมูแดง-เกาเหลาเลือดหมู สบายไป
แต่ผมต้องไปประชุมอีกโรงแรมหนึ่งแถวๆสีลม
โลกมันผลิกผันอย่างนี้เอง
: เรื่องค่าตอบแทนครู แรกเข้าให้เงินเดือนน้อยมาก
รัฐฯไปให้ค่าตอบแทนแก่ครูประจำการที่มีอายุงาน เงินเดือน/ค่าตอบแทน/ขั้นต่างๆ
กระโดดไปจนกรมกองอื่นอิจฉาเลยละครับ
เห็นว่าจะต้องปรับเสริมสภาพคล่องอีกทุกด้าน
ในโลกนี้ถ้าใครอยากบ้า..ก็หาเรื่องมายุ่งกับการศึกษา/เรื่องของคุณครูทั้งหลายนี่แหละ
มีปัญหาโลกแตก อกอีแป้นทั้งน๊านนนนนนนนน
อ่ะ แล้วคนที่ได้เป็นครู แต่อยู่กระทรวงครู แบบหนูหละพ่อ
มีโอกาสได้ เงินเดือนกระโดดดึ๋งๆ บ้างไหมคะ
ต้องติตตามตอนต่อๆไปนะหนิง