พวกชูชกเรียกพี่

โดย sutthinun เมื่อ 12 ธันวาคม 2009 เวลา 2:40 ในหมวดหมู่ สวนป่าฮาเฮ #
อ่าน: 1575

(พริกแดงกับภาพขวามือบนเกิดเองในป่า ภาพขวาล่างปลูกในกระถาง)

นิสัยการกินเราเริ่มสะสมมาตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งตอนนั้นยังไม่รู้ผิดรู้ถูก ต่อเมื่อมีการศึกษาก็ทำให้คิดได้ ค่อยๆปรับปรุงแก้ไขเรื่อยมา ผมก็อยู่ในอาการที่ว่านี้ แต่ก็ยังลองผิดลองถูกอยู่ดี เรื่องการดื่มน้ำทำได้แล้วตามที่หมอเจ๊กับป้าหวานแนะนำ แต่ก็แปลก,..ฉี่บ่อยเหลือเกิน บางคืนต้องลุกถึง3ครั้ง ฉี่สีไม่ข้นเข้มเหมือนเมื่อก่อน ท้องใส้ก็ระบายดีแต่ยังไม่ปกตินัก ต้องถามหาสุขาอยู่หนไหนวันละ3-4ครั้ง คงจะเป็นเพราะเบ่งไม่สุดไม่มากเหมือนคนปกติ หลังจากกินผักผลไม้มากก็ไม่ต้องพึ่งยาถ่ายยาระบายแล้ว นานๆจะดีท๊อกทีก็โล่งโจ้งสบาย

อยู่ในระหว่างลดละลงได้เรื่อยๆคือการกินอาหารรสจัด หลังจากตั้งเป้าไว้ก็ระวังเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนทุรนอยากอะไรมาก มีความสุขที่จะลดอยู่แล้วจึงพบความสบาย และเห็นประโยชน์โดยตรง เมื่อก่อนจะกินเพราะความอยากความไม่รู้ ก็ปล่อยเลยตามเลยจนติดความคุ้นชินบ่มเพาะเป็นความชอบ ยกตัวอย่างเรื่องการกินเผ็ด  ผมอยู่ในจำพวกเผ็ดได้พอประมาณ ไม่ถึงกับซู๊ดซ๊าดอย่างคนสงขลาปัตตานีหาดใหญ่ ที่มีเมนูเผ็ดนำแทบทุกมื้อ ภูมิปัญญาไทยบางแขนงบอกว่า กินเผ็ดทำให้ร่างกายอบอุ่น และในพริกก็มีสารที่เป็นประโยชน์อยู่หลายตัว แต่ถ้าสังเกตชาวตะวันตกเขาก็อยู่เมืองหนาว แต่ทำไมเขาไม่รับประทานเผ็ดอย่างคนเอเซีย ข้อนี้ก็น่าพิจารณารสเผ็ดทำให้มีคุณมีโทษอย่างไหนมากกว่ากัน

พอผมลดการกินเผ็ดลง ร่างกายเริ่มปรับตัวให้รับความเผ็ดได้น้อยลงเช่นกัน เมื่อก่อนกินส้มตำได้ตามที่ชาวบ้านกินกัน แต่เดี๋ยวนี้จะขอลดจำนวนพริกลง สมัยยังหนุ่มๆยังเคี้ยวพริกขี้หนูสดกินกับลาบได้ ตอนนี้เจอเข้าครึ่งเม็ดก็สะดุ้งแล้ว ผมชอบเอาพริกหยวกหรือพริกหนุ่มของชาวเชียงใหม่มายำ ซอยหอมบีบมะนาวใส่น้ำตาลเล็กน้อย แต่ก็ยังรู้สึกว่าเผ็ดเกิน ถ้าเราปลูกพริกเอง ..พริกที่ยังอ่อนจะมีความเผ็ดน้อยกว่าพริกแก่ ช่วงที่อีตาเม้งเยอรมันชวนเอาพริกสดหั่นใส่ไข่เจียว ก็หอมอร่อยดีและชอบทำรับประทานอยู่พักหนึ่ง ต่อเมื่อป้าหวานแนะนำไม่ควรกินผัดๆทอดๆมากนัก ของทอดผมเลิกได้เกือบ80%  หมู่นี้จะเจียวไข่สูตรเยอรมันจะซอยพริกอ่อนใส่น้อยลง ถึงลดเผ็ดลงก็ยังอร่อยเหมือนเดิม ไม่เพียงแต่ลดจำนวนพริกลง ยังลดจำนวนการกินของผัดๆทอดๆลงด้วย คุณแห้วชอบรับประทานผักบุ้ง ผักกาด ผักกุยฉ่ายไฟแดง ซดกับข้าวต้มร้อนๆ ผมก็ชอบและเจี๊ยะเป็นเพื่อน ตรงนี่แหละครับที่ยังจูงใจจูงปากให้ติดรายการผัดร้อนๆอยู่บ้าง

ตามตำราบอกว่า กินอาหารรสจืดแล้วสบายตัว ความจริงแล้วอาหารรสจืด รสไม่จัดหรือรสธรรมชาติพอกินนานเข้าก็จะชินและมีรสดีเอง จะรู้สึกอร่อยเกินไปจนถึงขนาดที่เราต้องคอยควบคุมปริมาณไม่ให้มากเกินไปด้วยซ้ำ เพราะมันจะรู้สึกอร่อยมากจนหยุดกินไม่ค่อยได้ และเมื่อถึงจุดนั้นเราค่อยมาฝึกควบคุมปริมาณการกินให้พอเหมาะอีกทีหนึ่ง เมื่อเห็นประโยชน์เช่นนี้เราควรชวนกันมาละล้าง สลายพลังงานหลงติดในความชื่นชอบใจของอาหารรสจัด หรืออาหารที่ไม่สมดุลกับร่างกายของเรา เราควรอาศัยรสอร่อยในอาหารสุขภาพก่อน จุดคลิ๊ก ควรกินอาหารสุขภาพให้อร่อยให้ได้ก่อน ไม่เช่นนั้นเราจะออกจากอาหารที่เป็นพิษนั้นไม่ได้ แล้วเราค่อยมาฝึกละล้างความอร่อยในอาหารสุขภาพรสไม่จัด ด้วยการควบคุมปริมาณอาหารให้พอเหมาะ จุดนี้ผมเผลอเรอทุกที มื้อเย็นวันนี้แม่หวีเอามะละกอสุกมาให้หลังอาหาร มะละกอจานนี้หวานอร่อยมาก รสชาติเหมือนเป็นผลไม้แปลกๆที่ไม่ใช่มะละกอที่คุ้นเคย จึงเกินเลยบริหารจัดการซะเกลี้ยง ทำเอาท้องโย้ไปเหมือนกัน พวกชูชกเรียกพี่ก็ยังงี้แหละขอรับ เขียนมาถึงตรงนี้นึกถึงคุณตฤณที่ไม่ชอบกินเผ็ด จึงสบายไม่ต้องปรับเรื่องรสเผ็ดรสจัดเหมือนคนอื่น ต่อไปแทนที่จะทำอาหารแบ่งรสจัดกับรสจืด ก็ปรับมาทำอาหารค่อนข้างจืด ไม่เผ็ดไม่รสจัดก็อร่อยได้

  • ผักสวนครัวรอบบ้า่นผมยังปลูกพริกอยู่นะครับ

พริกขี้หนู พริกเขมรลูกขาวๆกำลังงาม พริกแฟนซีก็ปลูกบ้าง

ผมสังเกตว่าพริกขี้หนูจะทนแล้งเป็นพิเศษ

พวกนกมาคาบไปกินเมล็ดหล่นในสวนป่า

เคยเดินไปเจอต้นพริกลูกแดงๆเต็มต้นก็มี

แสดงว่านกก็ปลูกผักสวนครัวเหมือนกัน

สวนครัวของนกไม่ได้มีเฉพาะพริกนะครับ

ยังมีเมล็ดผักผลไม้เกิดขึ้นในป่าอีกหลายร้อยชนิด

บางทีคนเรานั่นแหละไปอาศัยเก็บเมล็ดพันธุ์พืชของนก

ถ้าสิ่งมีชีวิตทั้งมวลพึ่งพากันได้โลกใบนี้จะน่าอยู่ขึ้นอย่างมากเลยละครับ

  • เรื่องสวนครัวนกนี่ผมสังเกตมานานแล้ว

พริกที่เกิดเองในธรรมชาติจะค่อยๆปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมตั้งแต่เป็นต้นอ่อนจนเติบโต

แสดงว่าพริกก็มีการเรียนรู้ที่จะอยู่รอดเช่นกัน

พริกขี้หนูที่เกิดขึ้นในป่าถ้าอยู่ในทำเลที่เหมาะสม

อาจจะรอดข้ามแล้งมีอายุยืนอยู่ได้2-3ปี

สภาพแวดล้อมที่สมดุลจึงมีความหมายมากกว่าที่มนุษย์จะมองเห็นและเข้าใจทะลุ

ไม่อย่างนั้นมนุษยชาติจะมาอิดออดเรื่องช่วยเหลือกันลดภาวะโลกร้อนหรือครับ

ต่อไปเสื้อกันหนาวหมวกไหมพรมไม่ต้องถักกันแล้วนะอุ้ยสร้อย

เพราะโลกจะร้อนและร้อนจนต้องนอนแช่ในโอ่ง แคว๊กๆ..

« « Prev : สะเดากลางป่า กำลังแตกช่อมาเป็นพุ่มเป็นพวง

Next : ด้วยความยินดีกับอาม่า » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

8 ความคิดเห็น

  • #1 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 12 ธันวาคม 2009 เวลา 9:02

    การฉี่บ่อยๆหลังเพิ่มการดื่มน้ำ แล้วฉี่ที่ปล่อยออกมาสีไม่เข้มข้นเหมือนแต่ก่อน บอกว่าร่างกายเริ่มมีการปรับตัวคืนมาสู่ระดับดีขึ้นระดับหนึ่งแล้ว การฉี่บ่อยเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านแล้ว อีกไม่นานเกินรอมันก็จะผ่านเข้าช่วงที่ปรับตัวได้แล้ว การฉี่บ่อยๆจะปรับลดไปเอง

    นอกจากจะเป็นสัญญาณว่าอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน มันยังบอกด้วยว่าพ่อครูยังกินอาหารรสหวาน เค็มเกินจำเป็นอยู่นะคะ ดูแลเรื่องการใช้ผงชูรส ผงปรุงรส น้ำตาล น้ำปลา เกลือที่ใส่เวลาปรุงรสอาหารทั้งหลายด้วยนะคะ  โดยเฉพาะเมนูยำทั้งหลาย

    มาปรบมือให้กับความตั้งใจปรับตัวเพื่อสุขภาพที่กำลังมีสัญญาณที่ดีขึ้นค่ะ

    อ้อ ลืมบอกไปว่ารสเผ็ด ยังไม่สำคัญต่อสุขภาพเท่า รสหวาน เค็มค่ะ

  • #2 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 12 ธันวาคม 2009 เวลา 10:25

    ขอบคุณมากหมอตา  รับปฏิบัติครับผ๊ม แคว๊กๆๆ

  • #3 อุ๊ยสร้อย ให้ความคิดเห็นเมื่อ 12 ธันวาคม 2009 เวลา 14:31

    อ้าว อ่านเพลิน เจอวกมาที่อุ๊ยตอนท้าย…
    เมื่อวานมีคนส่งเมลมาให้ดู เขาแต่งชุดรับโลกร้อน คือใช้สีพ่นตัวแทนเสื้อ อยากได้เสื้อแบบไหนก็พ่นสีเอาแบบนั้น…ไหมพรมถ้าจะได้งดซะจริงๆนะคะ …ไปหัดทอผ้าใช้เองน่าจะดีนะคะ ….ปลูกฝ้ายและทอผ้าใช้เอง..อืม..สวนป่ามีโปรเกรมนี้ไหมละคะ..อิอิ 

  • #4 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 12 ธันวาคม 2009 เวลา 14:43

    ล้อเล่นนะอุ้ย เสื้อ-หมวกไหมพรมยังพอใช้ได้อีกนาน
    แต่วันนี้ร้อนอีกแล้ว อากาศผีเข้า-ผีออก

  • #5 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 12 ธันวาคม 2009 เวลา 15:22

    มาเสริมความคิดของอุ๊ยนะพ่อครู มีวันหนึ่งที่ไปแอ่วเหนือแล้วแวะร้านขายผ้าไหม เจ้าของร้ายเขาบอกว่า ผ้าไหมส่วนใหญ่ที่มีขายกันให้เกลื่อนเป็นแฟชั่นนั้น นำเข้ามาจากเวียดนามซะมากกว่าทอเองในไทย ส่วนในไทยที่มีมาขายกันนั้นทอมาจากอีสานมากกว่าทางเหนือเอง  ซอกแซกไปทางอีสาน เดาว่าคำตอบคงแตกต่างไปถึงแหล่งทอผ้า

    ผ้าไหมเป็นผ้าที่ไฮโซและชนชั้นกลางใช้ซะเป็นส่วนใหญ่  จึงมีช่องว่างของตลาดที่ยังเจาะได้ทุกระดับเหลืออยู่ น่าลองรื้อเรื่องปลูกฝ้าย ทอผ้าขึ้นมาฟื้นฟูรองรับอาชีพคนอีสานบ้านๆก็ดีนะคะ  แล้วก็ถ้าคิดจะทำ จำเป็นจะต้องคิดใหม่ทำใหม่ เติมเรื่องป้องกันสุขภาพเข้าไปด้วยค่ะ เพราะว่าฝุ่นฝ้ายทำให้คนคลุกคลีมันเป็นโรคปอดที่รักษาไม่ได้ มีแต่ชะลออาการค่ะ

  • #6 dd_l ให้ความคิดเห็นเมื่อ 12 ธันวาคม 2009 เวลา 15:31

    อยากเห็นอุ้ยใส่ชุดรับโลกร้อน..อิอิ

  • #7 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 12 ธันวาคม 2009 เวลา 16:34

    วันไหนดีละอุ้ย แคว๊กๆๆ

  • #8 อุ๊ยสร้อย ให้ความคิดเห็นเมื่อ 12 ธันวาคม 2009 เวลา 21:01

    เอาไว้จะหาโอกาสทอผ้าและใส่เสื้อที่ทอเองมั่งค่ะ

    รอนานหน่อยเน้อชาตินี้ได้หรือเปล่าบ่อฮู้…อิอิ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.21343207359314 sec
Sidebar: 0.38411998748779 sec