สะเดากลางป่า กำลังแตกช่อมาเป็นพุ่มเป็นพวง

โดย sutthinun เมื่อ 11 ธันวาคม 2009 เวลา 7:33 ในหมวดหมู่ สวนป่าฮาเฮ #
อ่าน: 2715

ช่วงนี้ใบสะเดาร่วงพรู ต้องปัดกวาดชานบ้าน3เวลาหลังอาหาร สะเดาไม่เหมือนไม้ชนิดอื่น ใกล้จะออกดอกจะสลัดใบทิ้งทั้งต้น จนเห็นกิ่งก้านทุกซอกทุกมุม สร้างปัญหาให้แก่มดแดงที่ไปแฝงทำรังอย่างมาก เพราะจู่ๆรังก็ร่วงโรยไม่รู้เนื้อรู้ตัวเหมือน..“อาฟเตอร์ช็อค โคตรวิกฤติ”ดูไบ เวิลด์” แควนๆที่ดวลสะเดาเที่ยวที่แล้วอย่าเพิ่งเคืองนะครับ ที่ชวนมาล่วงหน้าก็เพื่อให้มาเลือกดูว่าจะกินดอกสะเดาจากต้นไหนดี บัดนี้สะเดาเริ่มนับถอยหลังแล้ว คาดอย่างแม่นยำว่า ภายใน 10 วันนี้จะมีช่อสะเดากลางป่าออกมาให้ชิมหลายร้อยต้น คนที่มีตั๋วฟรีค้างเติ่ง จะพิจารณามาอีกรอบก็ได้นะ ยินดีต้อนลับ! จะจัดเป็นงานวันรำลึกแห้วสะเดา ดีไหม?

สมัยก่อนวิธีการทำนาจะสอดคล้องกับสภาพธรรมชาติ ช่วงที่สะเดาออกดอกจะตรงกับการเก็บเกี่ยวจข้าวช่วงท้ายๆแล้ว ชาวนาจะขนข้าวไปกองรวมกันที่ลานข้าว หลังจากนั้นก็จะลงแขกนวดข้าวด้วยแรงคน นาไหนมีลูกสาวสวยหนุ่มๆจะไปรุมช่วยกันครึกครื้น คุณว่าที่แม่ยายกับลูกสาวก็จะลาบเป็ด ต้มปลา ตำส้มบักหุ่ง งมหอยขมหอมโข่งมาลวก แล้วจัดสำรับตั้งกลางวง สมัยโน้นจะมีเถียงนาตั้งอยู่บนโพนตามตัวอย่างที่ท่านบางทรายเขียนถึงและมีรูปมาอวดเมื่อเร็วๆนี้ รอบๆโพนนาจะปลูกพริก มะเขือ ข่า ตะไคร้ กระเพา และยังอนุรักษ์ผักยืนต้นพื้นถิ่นไว้ เช่น สะเดา มะกอก ผักติ้ว ไว้เป็นเสบียงหลัก ส่วนเสบียงรองก็เก็บผักบุ้ง ดอกผักยอดผักตามคันคูมาสมทบ อาหารการกินจึงอุดมสมบูรณ์ ช่วยเสริมพละกำลังโดยไม่ต้องไปเสียเงินซื้อเอ็ม-100อย่างชาวนาสมัยนี้

ค่ำคืนเดือนหงาย ..หนุ่มๆจะเป่าแคนเดินดุ่มไปเยี่ยมลานช้าวเจ้านั้นเจ้านี้  ลานไหนที่หมายตาลูกสาวเขาไว้ก็ลงแรงช่วยแสดงพละกำลังนวดข้าวให้อีสาว-แม่ยาย-พ่อตาเห็น เป็นการสร้างความคุ้นเคยเพื่อแสดงทัศนะค่อยเป็นค่อยไปตามธรรมชาติ เท่ากับเป็นการเรียนรู้ตัวรู้ใจแบบกระแซะที่ละนิด แต่ก็มีนะที่เกิดการตกลงปลงใจ จับข้อต่อแขนผูกสัมพันธ์กันกลางลอมฟาง ถึงไม่ถูกต้องตามธรรมเนียมเท่าไหร่นัก แต่ความรักจุกอกก็ต้องหยวนๆกันไป โดยเฉพาะไอ้หนุ่มที่พ่อตาแม่ยายชอบ หลังจากเสร็จหน้านาก็จัดพิธีการให้ลงเอยลงตัวกันในภายหลัง พวกใจร้อนด่วนแต่งมีข้อดีตรงที่มีลูกทันใช้ อิ อิ..

เมื่อระบบการดำรงชีวิตของชาวนาเปลี่ยนไป

ตอนนี้ไม่มีทั้งลอมข้าวและลอมฟาง

รถเกี่ยวข้าววิ่งครึกๆเต็มทุ่งทั้งกลางวันกลางคืน

ควายเหล็กวิ่งเกี่ยวข้าวพร้อมๆกับนวดข้าวออกจากรวงเป็นเมล็ดไหลลงกระสอบ

จากที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในท้องนา2-3เดือน ทุกอย่างจบภายใน1-2วัน

ความผูกพันกับจารีตประเพณีจึงไม่เหลือหลอ

เด็กยุคใหม่ไม่รู้หรอกว่าการทำนาที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาเป็นอย่างไร

จะรู้เฉพาะความเปลี่ยนแปลงแบบเร็วด่วนจี๋ตีลังกาเป็นเรื่องๆ

ถึงแม้จะมีการนำเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ สร้างภูมิคุ้มกันแห่งความอยากได้ใคร่มีของคนในสังคมที่ห่อหุ้มจากธรรมชาติที่กะรุ่งกะริ่ง  การเลี้ยงชีพด้วยภาคเกษตรกรรมกำลังจะเข้าสู่ตำราได้หน้าลืมหลัง ถ้าไม่ระวังอาจจสายเกินแก้เหมือนประเทศที่พัฒนาแล้วกำลังสำลักเศรษฐกิจโลกที่พังพาบ  เราควรเปิดมุมมองเรื่องความต้องการปัจจัยใช้สอยตามที่เป็นจริงไม่ให้เกินความจำเป็น และไม่สร้างความเสี่ยงเกินกำลังที่ตนเองจะรับได้ ที่สำคัญคนไทยยังไม่มีพลังที่จะสังเคราะห์จุดพิเศษที่ดีงามไว้ได้  ศ.ดร.ฟรานซ์-ธีโอ กอตวอลย์ ผู้อำนวยการมูลนิธิไวเฟิร์ทเพื่อการพัมนาเกษตรกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมประเทศเยอรมันนี้ กล่าวว่า” ..ผมรู้สึกชอบในเรื่องวัฒนธรรม และจิตวิญญาณของเศรษฐกิจพอเพียงที่มีรากฐานมาจากพุทธธรรม ในความเข้าใจของผมนั้น การพิจารณาในใจโดยแยบคายเพื่อให้เข้าถึงความจำเป็นที่แท้จริงของชีวิต จะทำให้เกิดการปล่อยวางและเป็นสุข..”

เมื่อใช้รถเกี่ยวและนวดข้าว ฟวงข้าวก็ถูกเหยียบย่ำและเหวี่ยงกระจายออกไปรอบข้าง ซึ่งก็มีส่วนดีตรงที่เราคืนปุ๋ยกลับสู่ผืนนา เอาออกมาเฉพาะเมล็ดข้าว แต่ก็มีข้อเสียสำหรับเกษตรกรที่ใช้ฟางเลี้ยงวัวควาย ส่วนคนที่อาศัยควายเหล็กก็ไม่ต้องอินังขังขอบกับเรื่องนี้ วิธีแก้ปัญหาชาวนาจะไปขอซื้อฟางจากนาที่เกี่ยวด้วยมือ ซึ่งก็ลดจำนวนลงมากแล้ว ทำให้ฟางข้าวมีราคา ถ้านวดข้าวได้ 100 กระสอบ จะตีราคาฟางจากจำนวนข้าวเปลือกกระสอบละ10 บาท ได้ข้าวเปลือก100กระสอบ =100×10บาท=1,000บาท ถ้าลงแรงนวดข้าวเอง นอกจากไม่เสียเงินจ้างรถนวดข้าวแล้ว ชาวนายังมีรายได้จากการขายฟาง สมัยนี้แกลบ-รำมีราคาแพงขึ้นทุกที แต่ส่วนที่แพงขึ้นนี้ไปตกอยู่กับพ่อค้าคนกลางหรือโรงสีเป็นส่วนใหญ่ ชาวนาจึงต้องเป็นกระดูกสันหลังที่อักเสบของชาติต่อไป

ระบบทุนนิยมและโลกาภิวัฒน์นั้น ถูกขับเคลื่อนด้วยกระบวนการสะสม ซึ่งเป็นแรงผลักดันในการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ แต่ขณะเดียวกัน ก็มีอนุภาพในการทำลายความยุติธรรม ทำลายสังคม ทำลายประเทศ และทำลายโลกในที่สุด โลภาภิวัฒิน์ในแนวทางนี้ นับวันจะน่าสะพึงกลัวจนยากที่จะคาดเดา เราไม่มีคำตอบว่าจะรับมือเรื่องเหล่านี้อย่างไร รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง ! รู้ไว้ใช่ว่า ! รู้แล้วเอาหูไปนาเอาตาไปไร่รึ! ดูๆแล้วมันน่าจะต้องช่วยกันทำอะไรสักอย่างดีไหมครับ?

ผมเลี้ยงโคหลายสิบตัว เพื่อให้โคเหล่านี้ผลิตปุ๋ยให้ในแต่ละปีประมาณ1,500กระสอบปุ๋ย จะได้เอาไปปลูกผักปลูกต้นไม้ เป็นการพึ่งตนเองด้านปุ๋ยยังไงละครับ ช่วงฝนผมปลูกหญ้าให้วัวกินก็ไม่ยุ่งยากอะไร แต่ช่วงแล้งต้องอาศัยรำข้าว-มันสำปะหลังบด-ฟางข้าวราดโมลาสและยูเรียเลี้ยงโค โคผมเป็นพันธุ์แม่ลูกดก เผลอแพล็บเดียวเต็มคอก ตอนนี้มี30ตัว เกินจำนวนอาหารที่จะรองรับได้ จะขายก็ขายไม่ออก ราคาโควันนี้ตกต่ำอย่างน่าใจหาย คนไทยจะบ้าเลี้ยงบ้าเลิกพร้อมกันเป็นช่วงๆ ตอนนี้ขาลง..พากันขายโคทิ้งโกลาหล  เรื่องนี้สืบเนื่องจากโครงการโคล้านตัวพังพาบด้วย มีเวลาจะเล่าให้ฟังในวันหลังนะครับ

  • ผมจำเป็นต้องเก็บฟางไว้ให้โคพอกินในหน้าแล้ง

มี2ทางเลือก

1 ซื้อฟางอัดก้อนๆละ 35-40 บาท

2 ซื้อฟางมาทำลอมฟางเก็บไว้

ผมเลือกทางที่ 2 เพราะจะได้สร้างงานให้ชาวบ้านมาขนฟางและทำลอมฟาง

เม็ดเงินจะไปตกอยู่กับชาวบ้านประมาณ 25,000 บาท

ผมจะได้ลอมฟางใหญ่ที่สุดในโลกเป็นอนุสรณ์การทำนายุคสุดท้าย

  • การทำลอมฟางยักษ์ต้องใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านพอสมควร

การที่จะเอาฟางขึ้นไปเป็นชั้นๆสูงขึ้นๆๆ ไม่ง่ายนักหรอก

ผมจะทำพิธีฉลองลอมฟางยักษ์ด้วยการเอามโหรีพื้นบ้านมาเล่น

ใครที่ได้รับมอบหมายให้เอาธงเขียว-แดง ไปปักไว้ที่ยอดสูงประมาณตึก 4 ชั้น

ก็เตรียมฝึกซ้อมการปีนป่ายให้ดี เดี๋ยวจะว่าหล่อไม่เตือน

จบข่าว แคว๊กๆ ..

« « Prev : วิธีเรียนแบบป่าๆ

Next : พวกชูชกเรียกพี่ » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

5 ความคิดเห็น

  • #1 ป้าหวาน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 11 ธันวาคม 2009 เวลา 10:08

    ขอเวลานอก มารับ มาเรียน มารู้ค่ะ
    ชอบและชื่นชมหลายๆบรรทัด หลายๆความคิด
    เอามาใส่สมอง …เพิ่มข้อมูล…มาคิดๆๆ เอ๊ะๆๆ..อิอิ
    ขอบพระคุณพ่อครูค่ะ  แคว๊กๆๆๆๆ

  • #2 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 11 ธันวาคม 2009 เวลา 12:30

    ป้าหวานสบายดีนะครับ แคว๊กๆๆ

  • #3 krupu ให้ความคิดเห็นเมื่อ 11 ธันวาคม 2009 เวลา 13:17

    ถือตั๋วฟรี คว้าธง มุ่งตรงไปหม่ำสะเดา เตร๊ง.. เตรง.. เตร่ง.. เตร๊ง…  (^_____^)

  • #4 chakunglaoboy ให้ความคิดเห็นเมื่อ 11 ธันวาคม 2009 เวลา 17:17

    เห็นด้วยทุกประการครับ พ่อครู นึกถึงตอนเป็นเด็ก มีลอมข้าวใหญ่โตมากสำหรับบ้านผม เพราะที่นาเกือบ 100 ไร่ สูงเท่าตึกหลายชั้น

    จำความได้ว่า เกิดทันสมัยใช้ควายย่ำครับ เพราะคงจะตีไม่ไหวแน่ ข้าวเกือบ 30 เกวียน จากนั้นก็เป็นรถไถย่ำ ต่อมาก็มีเครื่องสีข้าว (เหล่านี้ยังมีฟางให้เก็บอยู่ครับ) มีร้านฟางไว้ให้ควายกิน เด็กเล่นบนกองฟาง กระโดดอย่างสนุก ไม่กลัวระคายเคือง โดยเฉพาะเล่นโจรจับผู้ร้าย ทุกคนอยากเป็นผู้ร้าย เพราะจะได้โดนยิงแล้วจะได้กระโดดลงจากกองฟาง มาที่นุ่มๆ
    แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว  รถเกี่ยวจัดการให้หมด จากนั้นจุดไฟเผาฟางและตอฟางอีกต่างหาก สร้างมลพิษให้กับโลกมากเลยครับ
  • #5 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 11 ธันวาคม 2009 เวลา 18:40

    ยังนึกแปลกใจ ทำไมสมัยเด็กๆเราเล่นฟางได้อย่างสนุก ไม่คัน-ไม่ระคายเคือง
    เพื่อระลึกถึงความหลังจึงทำลอมฟางขนาดใหญ่ในปีนี้
    ยังไม่เสร็จครับ อีกสักวันคงจะเต็มตามที่กำหนดไว้


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.045404195785522 sec
Sidebar: 0.064949989318848 sec