ข้อสังเกตกลุ่มงานบล็อกBlog

โดย sutthinun เมื่อ 6 สิงหาคม 2008 เวลา 20:47 ในหมวดหมู่ สวนป่าฮาเฮ #
อ่าน: 2749

P1030685

(ฝนตก รถติด ดันตูด ถึงขึ้นได้)

1. ผมลองเข้าไปดูหมวดหมู่ในระบบข้อมูลของหน่วยงานต่างๆ อาจจะเป็นมือใหม่หัดค้น จึงค่อยๆแกะรอยไปตามจุดต่างๆ เมื่อคืนต้องการที่อยู่ครูภูมิปัญญาไทย (อ.สวิง บุญเจิม) ค้นเท่าไหร่ก็ไม่ได้สิ่งที่ต้องการ เจอแต่ข้อมูลแวดล้อม ไปเจอรายการจัดสรรงบประมาณให้ส่วนท้องถิ่น มีรายการแจ้งให้ดูเป็นราย-จังหวัด -อำเภอ -ตำบล แต่เป็นข้อมูลปี2544 อ้าว! มาลงไว้เป็นตัวอย่างทำไม แล้วข้อมูลปัจจุบันทำไมไม่ลง หรือลงไว้ที่อื่น ผมตาถั่วมั่วไปไม่ถึงเอง

เรื่องวิธีค้นก็ควรจะสอนด้วยนะครับ จะได้รู้วิธีสืบค้นให้ถูกต้องแต่แรก

2. เข้าไปดูตามBlogต่างๆบ้าง ส่วนมากจะเป็นการนำข้อมูลจากที่อื่นมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน วิธีนี้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางและเป็นประโยชน์มาก มีตัวช่วยสืบค้นเรื่องดีๆพิเศษๆมา บางก๊วนบางกลุ่มก็กระจายฝากเรื่องให้กันอย่างเป็นระบบ

จุดนี้น่าจะเรียกว่าการเอื้ออาทรความรู้จะได้ไหม?

3. บางกลุ่มจะบันทึกเรื่องราว ประสบการณ์ตรง ทักษะสะสม ออกมาเล่าเมาส์กระจาย จะเป็นวิชาการโดยตรงก็ไม่ใช่ไม่เอาเสียเลยก็ไม่เชิง น่าจะเป็นวิชาตามใจฉันมากกว่า เป็นการเขียนที่ไร้กรอบ

มีอิสระในการออกแบบการคิดการเขียนที่เรียกว่าสไตล์เฉพาะตัว

ความเป็นอิสระนี่เองนำไปสู่ความคุ้นเคย สนิทสนมที่ภาษาทางการเรียกเครือข่าย แต่ชาวเราเรียกเครือญาติ ตั้งเป็นสกุลแซ่ต่างๆ แล้วลงท้ายคนสวยต่อท้าย กลุ่มที่ว่านี้มีไม่มากนักยังเป็นเรื่องใหม่ บางคนอาจจะรู้สึกประหลาดใจ พวกนี้มาจากโลกไหนวะ

..ถึงไม่ชอบแต่ก็มีบ้างที่แอบอ่าน! ช่วงมีเรื่องจัดไปทัวร์ในสถานที่ต่างๆ เป็นการต่อยอดตัวหนังสือออกมาสื่อถึงตัวตน แบบเข้าใจ เข้าถึง รู้จัก รู้จริง รู้ใจ เข้าทำนองความคุ้นเคยเป็นญาติอย่างยิ่ง ความเป็นญาติในสาระบบไทย ที่แก่นสารวัฒนธรรมต่างจากวัฒนธรรมชนชาติอื่น ไทยช่วยไทยยังไงก็ได้ถ้าเป็นเพื่อนกันแล้ว สมัยก่อนเราเรียกว่า”เสี่ยว”ในภาคอีสาน เรียกว่า“เกลอ” ในภาคกลาง ภาคเหนือ-ภาคใต้เรียกว่าอะไรยังนึกไม่ออก..

เรื่องที่นำเสนอในกลุ่มข้อที่3 เป็นเรื่องราวที่มีชีวิตชีวา

คลิ๊กเล็กคลิ๊กน้อยที่นำมาเสนอเป็นยาประสานสังคม

เป็นเสน่ห์ทำให้ตัวหนังสือกระโดดโลดเต้นได้

เรียกรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และน้ำตาได้

ทำให้ผู้บันทึกเรื่องราวมีกำลังใจ

ใส่ใจที่จะเขียนให้โดนใจผู้อ่าน

เป็นพัฒนาการทักษะเฉพาะตัวเฉพาะใจ

4. กลุ่มสุดท้าย น่าจะเป็นกลุ่มที่ทำอะไรอยู่ในระบบ เน้นงานเชิงวิชาการเป็นส่วนใหญ่ จะเขียนสะเปะสะปะตามอำเภอใจคงไม่ได้ บางหน่วยงานใช้ส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ งานกิจกรรมพิเศษ การเผยแพร่และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างองค์กร รวมทั้งหมวดงานวิจัย และเผยแพร่วิทยานิพนธ์ ฯลฯ

ไม่ทราบว่ามีประเด็นอื่นอีกไหม?ครับ ขอเชิญมาต่อแต้มความคิดนะขอรับ

« « Prev : สวนครัวในอากาศ

Next : ตะกูหรือจะสู้เอกมหาชัย » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

3 ความคิดเห็น

  • #1 จอมป่วน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 7 สิงหาคม 2008 เวลา 9:49

    ขออนุญาตครูบาครับ

    ทางซีกโลกตะวันตก  ได้เสนอทฤษฎีไร้ระเบียบ ( Chaos Theory )   มานานพอสมควร
    พยายามเปลี่ยนแนวคิดผู้คนในยุคเก่าๆ  จากความคิดแบบแยกส่วน ( linear ) หรือแบบนิวตัน ( Newtonian )  มาเป็นความคิดแบบองค์รวม ( Holistic )  หรือแบบ Bohmian

    หลักๆก็พยายามชี้ให้เห็นว่า  ธรรมชาติประกอบด้วยองค์ประกอบย่อยๆ ที่เป็นองค์ประกอบของหน่วยอื่น  แต่มีความสัมพันธ์กันทั่วทั้งจักรวาล ( Holon )

    หน่วยย่อยต่างๆมีความแตกต่างกัน  แต่จะมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันทั่วทั้งจักรวาล  จึงมีคำพูดที่ว่า  ผีเสื้อกระพือปีก  หรือเด็ดดอกไม้จะกระเทือนไปถึงดวงดาว ฯ …..

    แนวทางพัฒนาองค์กร  พัฒนาบุคคลากร  จึงมุ่งให้เห็นความแตกต่างของแต่ละบุคคล  หน่วยงานและองค์กร
    และยอมรับซึ่งกันและกัน  จะได้อยู่ร่วมกันและทำงานร่วมกันอย่างมีความสุข

    มันถึงได้มีกลุ่ม  ก๊วน  ลาน…  ไง  เป็นธรรมชาติ

    คนที่ไม่เข้าใจ  หรือระบบที่พัฒนามาแต่เดิมตามแนวความคิดเดิมถึงเริ่มมีปัญหา
    เปรียบเทียบระบบราชการ  มุ่งให้คนเหมือนกัน  แต่งเครื่องแบบเหมือนกัน  ต้องทำอะไรๆ เหมือนๆกัน  แถมพยายามใหคิดเหมือนกัน  มันจึงพัฒนายาก  ไม่มีความคิดสร้างสรร ( Innovation )

    จึงมีคนพยายามจัดตั้งองค์กรแบบ Chaordic Organization  ยอมรับความแตกต่าง  มีระเบียบน้อยที่สุด  มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน  แต่ไม่ถึงกับตึงเปรี๊ยะ ฯ

    กระบวนกร  หรือคุณอำนวยก็ต้องเข้าใจตรงนี้ 
    จึงพยายามทำให้คนในกลุ่มหรือวงสนทนาเข้าใจถึงความแตกต่างของบุคคลและยอมรับตรงนี้  จึงจะทำให้ลดอัตตาลง  ยอมรับกัน  บรรยากาศจะได้ดี  รู้สึกปลอดภัย  เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน

    ถึงได้มีเรื่องผู้นำสี่ทิศ  นพลักษณ์ ฯ…….

    แต่ถ้าศึกษาดีๆจะพบว่าเรื่องราวต่างๆเหล่านี้  เป็นเรื่องที่พุทธศาสนาได้พูดถึงและมุ่งสั่งสอนมานานแล้ว
    การศึกษาธรรมะคงเพื่อค้นพบความจริงแล้วปรับปรุงตัวเอง  ไม่ได้มุ่งไปเปลี่ยนธรรมชาติหรือคนอื่น  คนเราจะทุกข์  จะสุขอยู่ที่ใจเรา  ไม่เกี่ยวกับคนอื่น 

    พูดถูกรึเปล่าเนี่ย ?

    พอก่อนครับ  เดี๋ยวเขียนมากกว่าเจ้าของบันทึก  อิอิ  ชอบป่วนบันทึกคนอื่น 5555

  • #2 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 7 สิงหาคม 2008 เวลา 10:39

    ดีมากๆเลยที่คนชอบวิ่งมาช่วยต่อความรู้ให้ ชัดเจนยิ่งขึ้น

  • #3 ลานจอมป่วน » Chaos Theory - ทฤษฎีไร้ระเบียบ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 7 สิงหาคม 2008 เวลา 22:19

    [...] #1    จอมป่วน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 7 สิงหาคม 2008 เวลา 9:49 [...]


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.051532030105591 sec
Sidebar: 0.13804984092712 sec