เมื่อความเชื่อเรื่องภูตผีช่วยเร่งกระบวนการย้ายบ้านเรือน

ไม่มีความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 30 มิถุนายน 2012 เวลา 1:22 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1368

เขียนบันทึกเรื่องการยกย้ายบ้านเรือนของพี่น้องประชาชน ไม่ใช่เรื่องราวที่น่าอภิรมย์นัก ทั้งสำหรับผู้อ่าน และผู้บันทึกเอง ใครๆก็รักถิ่นฐานบ้านช่อง ไม่มีใครอยากให้มีการพลัดที่นาคลาที่อยู่หากไม่มีเหตุจำเป็น

แต่เมื่อมีประเด็นทางสังคม คนเคยเล่าร้อยเรียงเรื่องที่ผ่านพบ ก็เหมือนกับนักมวยที่ได้ยินเสียงปี่แตร หากไม่ขึ้นสังเวียนออกหมัด ก็ออกจะคันไม้คันมือไม่รู้หาย อีกทั้งการยกย้ายผู้คนเช่นนี้ต่อไปคงไม่มีให้เห็นอีกแล้ว โดยเฉพาะในบ้านเรา

กระไหนเลยเขียนแบ่งปันให้อ่านกันเสียดีกว่า เขียนเมื่อถ่านไฟยังร้อน แม้จะเหน็ดเหนื่อยกับงานจัดการเปิดตลาดชุมชนที่เพิ่งเสร็จไปหมาดๆ อ่อนเปลี้ยเพลียแรงมากมาย เคยจัดงานวันไทบรูดงหลวงสามสี่ครั้งหนักหนาสาหัสกว่านี้มาก แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เหนื่อยเท่านี้ เป็นเพราะสังขารร่วงโรยไปตามพยาธิสภาพของโรคที่รุมเร้า นี่เขายังจะขออยู่ต่ออีกสองสามเดือน ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้ไปนอนกินผักที่สวนป่าตามฝันสักที

เข้าเรื่องที่จั่วหัวไว้ดีกว่า

การยกย้ายบ้านนาทรายคำ ทางทีมงานเราเก็บไว้คิวหลังสุด เพราะเป็นหมู่บ้านใหญ่มีวัดมีโรงเรียน บ้านช่องห้องหอของประชาชนแน่นหนาถาวร และที่สำคัญเป็นบ้านชาวลื้อที่มีฮีตคองประเพณีและความเชื่อที่สลับซับซ้อนหลายขั้นตอนทั้งที่บ้านใหม่ และที่บ้านเก่า ตั้งแต่การเสี่ยงทายบ่อนตั้งหมู่บ้าน การลงเสาเอกเรือน การจัดวางทิศทางของบ้านและบันไดบ้าน พิธีกรรมก่อนสร้างวัด การย้ายป่าช้า ย้ายวัด การบอกกล่าวทำบุญไปถึงบรรพบุรุษ และการคอบลาเจ้าที่เจ้าทาง ตามที่ได้เคยเขียนบันทึกบอกเล่าไว้ที่ผ่านๆมา

ที่สำคัญที่สุด เราต้องสร้างบ้านเรือน วัด โรงเรียน ตลาด ระบบไฟฟ้า ประปาให้เสร็จเรียบร้อยก่อนที่จะมอบกุญแจบ้านให้พี่น้องมาตรวจสอบเสียก่อนและแจ้งแก้ไขให้ถูกใจเสียก่อน เราวางแผนจะทยอยขนย้ายกันวันละไม่เกินสิบห้าครอบครัว พี่น้องจะได้ช่วยกันแบบเอาแรงกันได้ ในขณะเดียวกันก็มีคำเสนอให้แก้ไขบ้านเรือนให้ถูกใจผู้อยู่มามากกว่าหมู่บ้านอื่น มีตั้งแต่เรื่องพื้น ฝา หน้าต่าง ประตู น้ำไม่ไหล ไฟไม่สว่าง บ้างครอบครัวก็ไม่ค่อยพอใจกับแปลงที่ดินที่จับฉลากได้ บางครอบครัวก็ไม่ชอบทำเลที่ตั้ง ซึ่งทีมงานก็ต้องพยายามไกล่เกลี่ยแก้ไขให้พี่น้องพอใจที่สุด แต่ก็นั่นแหละปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายครอบครัวที่กำลังอยู่ในระหว่างการเจรจาไกล่เกลี่ย เจรจากันหลายรอบเพื่อหาข้อยุติ

สำหรับครอบครัวที่ถูกอกถูกใจบ้านใหม่ ทีมงานเราก็ทยอยย้ายในรอบแรกๆ ก่อนย้ายก็มีพิธีกรรมต่างๆ (ตามที่เล่าไว้ในบันทึกก่อนๆ) ที่สำคัญคือ มีการย้ายพระสงฆ์ และพระพุทธรูปมาอยู่วัดใหม่ก่อนหน้าการย้ายบ้านเรือนพี่น้อง ส่วนองค์พระประธานได้ทำพิธี “สึก”ท่านและเตรียมการยกย้ายไปวัดใหม่ สรุปแล้วก็คือ วัดกลายเป็นวัดร้าง พระประธานกลายเป็นเพียงรูปปั้น ผีเสื้อบ้านเสื้อเมืองก็อัญเชิญไปอยู่บ้านใหม่หมดแล้ว

สองสามวันที่เตรียมจัดตลาดชุมชนใกล้กับเส้นทางการขนย้ายบ้านเรือน ได้เห็นมหกรรมการหลั่งไหลรีบเร่งขนย้ายข้าวของบ้านเรือนกันอย่างอึกกระทึกครึกโครม จนทางทีมงานจัดรถให้ไม่ทัน จากที่วางแผนไว้วันละสิบห้าถึงยี่สิบครอบครัว กลายมาเป็นวันละหกเจ็ดสิบครอบครัว แย่งรถขนย้ายกัน บางครอบครัวก็ใช้รถส่วนตัวขนของ บ้างก็เอารถแต็กๆไถนาบรรทุกข้าวของมา บ้างก็ไปหาเช่ามาเอง(ทีมงานตามไปจ่ายค่าเช่าให้) บางครอบครัวยังไม่ทันแก้ไขบ้านเรือนให้ตามคำร้องก็บอกไม่เป็นไรขอมาอยู่ก่อนแล้วค่อยแก้ไขทีหลังก็ได้ บางครอบครัวไฟฟ้ายังไม่ทันมี(เพราะคิวท่านจะย้ายปลายเดือนหน้าโน้น)ก็ขวนขวายไปต่อไฟมาจากเพื่อนบ้าน รายที่คิดหาทางออกไกล่เกลี่ยกันสองสามครั้งยังไม่ตกลงก็กลับกลายเป็นว่าขนของมาก่อนเพื่อน….ทำให้เกิดความกังขาว่าเกิดอะไรขึ้นหรือ?

คำตอบที่ได้จากการแอบไปพูดคุยกับพี่น้อง เพิ่นบอกว่า “อยู่บ่ได้แล้วอาจาน กลางค่ำกลางคืนหมาเห่าหมาหอนทั้งคืน ผีมันออกมาเดินเล่นในหมู่บ้าน บ่มีสาธุ บ่มีพระเจ้าคอยคุ้มครอง”

เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า สิ่งยึดเหนี่ยวทางใจ มีความสำคัญกับพี่น้องมากมายเพียงไหนในสังคมชนบทเช่นนี้

บริบทของคนในสังคมเมืองก็คงแตกต่างกันออกไป คนเมืองติดไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศ ทีวี และ อินเทอร์เน็ต

อ้าว…ว่าเจ้าของเอง

บ่ได้ว่าผู้อ่านเด้อ


เครื่องฟักไข่

4 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 18 มิถุนายน 2012 เวลา 11:47 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 4351

สองปีก่อนศูนย์สาธิตการเกษตรครบวงจรที่หงสาขอซื้อตู้ฟักไข่มาตู้หนึ่ง รับรู้รับทราบแล้วก็ไม่ได้สนใจติดตามถามข่าว จนกระทั่งได้อ่านบันทึกสวนป่าเรื่องไข่ไก่ต๊อกเน่า นึกขึ้นมาได้เลยถามไถ่พรรคพวกว่าตู้ฟักไข่ของศูนย์เป็นอย่างไรบ้าง

ปรากฏว่าได้รับคำตอบเหมือนๆกันครับ เขาบอกว่า “อาจ๋านไฟฟ้ามันมาๆดับๆไข่เน่าเหมิด ฟักสองสามเทื่อกะคือเก่า” แสดงว่าแม้นวิวัฒนาการสมัยใหม่จะทำเทียมได้เยี่ยมยอดเพียงไหน ก็มาตายตอนจบด้วยระบบไฟฟ้าชนิดที่สุนัขฉี่รดเสาไฟฟ้าก็ดับ ในเรื่องราวทำนองเดียวกับที่ได้ไปพูดคุยกับกลุ่มแม่บ้านผลิตกล้วยฉาบสอดไส้สับปะรดที่บางระจันวันนี้ คุยกันเรื่องการขอ อย. เห็นบอกว่าเรื่องความสะอาด โรงเรือน โรงบรรจุนั้นสามารถดัดแปลงให้ผ่านมาตรฐานได้ แต่หากน้ำที่ใช้ในการล้างกล้วยมีเชื้อคลอลิฟอร์มปนเปื้อน ทางกรมอาหารและยาก็ออกใบ อย.ให้ไม่ได้เหมือนกัน อันนี้ก็เรียกว่าตายตอนจบด้วยเรื่องน้ำ

ตอนเรียนหนังสือ อาจารย์เรียกว่าเป็นทฤษฏีถังไวน์(หรือถังหมักอะไรสักอย่างนี่แหละ จำไม่ได้แล้ว) เอาเป็นว่าเป็นถังของชาวฝาหรั่งที่เอาไม้โอ๊คเป็นแผ่นๆมาเรียงๆให้เป็นถังกลมๆ ปริมาณน้ำที่สามารถกักเก็บได้ในถังขึ้นอยู่กับไม้แผ่นที่สั้นที่สุด หากเติมมากกว่านั้นเมื่อไหร่น้ำย่อมไหลออกตามซี่ไม้ที่ต่ำที่สุดอยู่ดี

ย้อนกลับมาเรื่องตู้ฟักไข่หงสา ก็คงต้องรอรอต่อไปจนกว่าไฟฟ้าจะไม่ดับๆติดๆวันละสามเวลาเหมือนทุกวันนี้

ต้องให้เครดิตกับเจ้ากิจโชเฟอร์ที่รับผมจากด่านชายแดนมาสนามบินเมื่อวันก่อน คุยกันเรื่องตู้ฟักไข่นี่แหละเขาจำได้ว่าเป็นคนขนเข้าไปให้จากน่าน อยู่ๆเจ้ากิจก็ช่วยฟื้นความจำว่า “ลุงเปลี่ยน สมัยก่อนผมเห็นพ่อผมเอาบ่มหม้อข้าวสาร” เออ จริงด้วยแฮะ ทำไมเราหลงลืมข้อนี้ไป ลุงเองก็เคยเห็น นึกออกด้วยว่าลุงเองยามเด็กชอบแอบเปิดหม้อข้าวสารแล้วเอามือไปซุกเล่นจนโดนแม่เอ็ดบ่อยๆว่า “ใช้ไปหม่าข้าวหยังมาเมินแต้ว่า” จำได้ว่าหม้อดินเผาที่แม่ใช้เก็บข้าวสารนั้นจะอุ่นๆมือดี ไก่แม่ดำที่บ้านออกไข่คราวละสิบกว่าฟองกว่าจะครบกว่าจะฟักทำให้ไข่ใบที่ออกทีหลังมักจะออกเป็นตัวทีหลังเพื่อน พ่อมักจะไม่รอเพราะตัวที่ออกก่อนร้องจิ๊บๆเจี๊ยบๆหิวกันแล้วบางตัวก็ปีนตกจากรังไข่ทำให้ตัวแม่ดำละล้าละลังบินขึ้นบินลง สุดท้ายพ่อจะเอาไข่สองสามใบที่ยังไม่ฟักเป็นตัว(แต่มีเสียงจิ๊บๆดังจากในไข่)แอบไปซุกไว้ในถังข้าวสาร ที่ว่าแอบคือสองพ่อลูกต้องแอบไม่ให้อี่แม่รู้ ถ้ารู้ก็ต้องฟังเสียง “จ่ม” ว่า”ขี้จ๊ะ” เพราะบางทีเวลาเจ้าเจี๊ยบออกมาจะมีเลือดมีไข่ขาวออกเป็นเมือกมาปนในข้าวสารของอี่แม่   

บ่าอ้ายลูกโตนก็จะต้องอาสาเป็นคนไปตักข้าวสารมาหม่าในระยะนั้น หมั่นไปดูไปฟังเสียงอีกสองสามวันก็จะได้เห็นไก่หน้อยออกมา แต่บางทีบ่าอ้ายก็ไปจับไปพลิกบ่อยเกินไปจนกลายเป็นไข่ข้าวไข่ฮ่วนไปเลยก็มี เจ้าเจี๊ยบที่ออกทีหลังเพื่อนนี้ต้องหาวิธีหลอกล่อให้นางดำเค้ารับเป็นลูกพ่อต้องแอบเอาไปซุกไว้รวมๆกับเพื่อนมันตอนนางดำกกไว้ใต้ปีกตอนกลางคืน ไม่งั้นนางดำจิกเอาๆไม่รับเป็นลูก มีหลายตัวที่บ่าอ้ายเผลอ(ไม่ใช่สิ บ่าอ้ายตั้งใจ แต่พ่อเผลอต่างหาก) บ่าอ้ายเอาซุกถุงเสื้อไปเล่นแอบเอาข้าวเปี๋ยนมาให้ลูกเจี๊ยบกิน และแล้วมันก็ไม่ยอมไปไหนได้แต่วิ่งตามบ่าอ้ายต้อยๆ อย่างนี้เรียกว่า “ไก่ติ๊กหรือไก่อุ้ม” บางตัวก็อยู่ด้วยกันจนมีแฟนมีลูกแล้วยังพาลูกมาป้วนเปี้ยนอยู่กับคน บางตัวก็อยู่เล่นกับแมวก็มี ไอ่หวาดแมว”ขี้มิ้ง”เจ้าอารมณ์แม้มันจะหงุดหงิดไล่ตะปบหน้าหมาบ่อยๆ หากมันเห็นเป็นไก่ติกของบ่าอ้ายแล้วมันก็จะยอมๆไม่กัด

ไหนก็ตั้งใจเขียนเรื่องตู้ฟักไข่แล้ว จะเล่าถึงนวัตกรรมตู้อบไก่ของบ่าอ้ายลูกโตนคนคึ ดำเนินความตามท้องเรื่องเกิดขึ้นสมัยที่เรียนชั้นมัธยมแล้วล่ะ ต่อไฟฟ้าเป็นแล้ว บ่าอ้ายคิดการประดิษฐ์ตู้ฟักไข่ ไปหาลังไม้อัดมา ไปเอาฟางแห้งมา ไปลักนุ่นที่แม่เตรียมยัดที่นอนมาปู แล้วก็เอาไข่ที่มีเสียงจิ๊บๆข้างในสามใบมาวางเรียง แล้วก็ไปเอาหลอดไฟกลมๆหกสิบวัตต์มาแขวนไว้ในกล่อง เสียบปลั๊กไฟทิ้งไว้แล้วก็ออกไปเลาะบ้านใต้บ้านเหนือ

นานโขพอดู ได้ยินเสียงเอะอะว่าไฟ ไฟ แถวบ้านรีบกลับมาดูปรากฏว่าตู้ฟักไข่บ่าอ้ายดำเป็นถ่าน กองหนังสือที่แอบซุกตู้ฟังไข่นวัตกรรม เปียกโชกด้วยน้ำ โชคดีที่ใต้ถุนบ้านมีแม่ๆป้าๆมาชุมนุมให้แม่สอนเย็บที่นอนกันหลายคน เลยได้กลิ่นแล้ววิ่งไปดับไฟได้ทัน โชคดีที่ฟิวส์ขาดตัดไฟฟ้าให้ก่อนคนมาช่วยสาดน้ำ ตู้ฟักไข่ของบ่าอ้ายจึงเอวังด้วยประการฉะนี้

แต่ว่าถังข้าวสารช่วยฟักไข่ที่ใกล้จะออกเป็นตัวได้จริงๆนะครับ ไม่เหมือนตู้นวัตกรรมของบ่าอ้าย


จะหาหมอ(นวด)

1 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 14 มิถุนายน 2012 เวลา 12:30 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2436

งานสร้างอาชีพนวดแผนลาวบูราณเป็นอีกหนึ่งงานที่ท้าทาย

ท้าทายเพราะโดยส่วนตัวแล้วไม่ชอบนวด ไม่เคยนวด (จริงจริ๊ง…สาบานได้) ขนาดเอ็นเข้าแคป(เส้นยึด)คอเอียงปวดแทบตายยังไม่ยอมนวด ไม่ใช่อะไรหรอกเป็นคนบ้าจี้น่ะ สมัยก่อนพาเพื่อนซ้อนมอเตอร์ไซด์ไอ้เพื่อนเผลอมากอดเอวเข้า ตกใจขี่รถตกลงข้างถนนได้แผลถลอกปอกเปิก แล้วข้าพเจ้าจะไปหาประสบการณ์นวดมาจากไหนล่ะนี่?

ท้าทายยิ่งกว่านั้นก็คือเรื่องกฎระเบียบของบ้านเมืองนี้ ที่มีโรงเรียนดัดสร้างไว้ขังชายหนุ่มหญิงสาวที่มีพฤติกรรมผิดๆด้านชู้สาว มีกองหลอนหรือตำรวจบ้านที่กล่าวได้ว่า พี่น้องลาวมีหกล้านคน และเมืองลาวมีตำรวจหกล้านคน แปลว่าทุกคนสามารถสอดส่องแจ้งจับกันได้ (เพื่อนฝูงหลายคนบ่นว่า ที่เมืองอื่นทำไมไม่เคร่งครัดแบบนี้ ผมตอบเขาไปว่า ที่นี่สาธารณรัฐโว้ย แต่ละเมืองท่านสามารถมีกฎหมายพิเศษได้) ดั่งนั้นแล้วการไปขอเปิดร้านนวด ขออบรมหมอนวดนี่ต้องไม่ใช่เรื่องง่ายๆแน่ คงต้องไปขออนุญาตห้องการปกครอง ตำรวจเมือง สหพันธ์แม่ยิงเมือง วัฒนธรรมเมืองเผลอๆอาจถึงแนวโฮมเมือง ศึกษาเมือง สาธาฯเมือง ให้ได้เสียก่อน

เมืองหงสา เท่าที่สืบเสาะรวบรวมข้อมูลได้ พบว่ามีหมอนวดจับเส้นอยู่หกคนประมาณนั้น เป็นผู้อาวุโส ๓ท่าน แล้วก็มีป้าลัดดาอีกหนึ่งที่พาน้ำหนักเกินแปดสิบกิโลมานวดแบบหวาดเสียวกลัวป้าขึ้นเหยียบ มีรุ่นถัดลงมาเป็นผู้ชาย(ประเภทที่ชาวหงสาเรียกว่า..สองจังหวะ)อีกสองคน มีผู้สาวแท้ๆที่ผ่านการฝึกมาจากแขวงอีกหนึ่ง (ทั้งหมดทั้งมวลนี่ฟังคนเขาบอกมาทั้งนั้น) สนนราคาค่านวดก็ชั่วโมงละห้าสิบพันกีบ(๒๐๐บาท)

อยากจะหาอาชีพเสริมให้พี่น้อง โดยเฉพาะแม่ร้างแม่ม่ายที่ไปทำไร่ไถนาก็ลำบากไปเป็นกรรมกรก็ไม่ไหว

อยากจะเปิดโรงนวดให้เป็นกิจจะลักษณะที่ดูแลคุ้มครองเรื่องความสะอาด และเรื่องการเปิดเผยไม่ลับหูลับตาให้กองหลอนคอยมาสอดส่อง สร้างอาคารโล่งๆให้เห็นกันชัดๆ ผ้าปูสะอาดๆ มีมุมยาต้มสมุนไพร หรือขยายกิจการห้องฮมยาอบสมุนไพร ทั้งหมดนี้จะดำเนินงานโดยกลุ่มพี่น้องชาวบ้านเอง

โครงการหมอพื้นบ้าน ภูมิปัญญาท้องถิ่นจะได้พื้นคืนชีพไม่สาบสูญถูกลืมเลือน

อย่างน้อย ในทางอ้อมชาวบ้านจะได้หันกลับมาดื่มน้ำต้มสุก (ทุกวันนี้ทุกบ้านนิยมดื่มน้ำจากโรงงานกรองน้ำ ที่ผลตรวจ ออกมาว่าทั้งหมดสามแห่งในเมืองมีเชื้อคลอริฟอร์มเกินมาตรฐาน…แต่พี่น้องเห็นว่าใส่มาในขวดเลยมั่นใจกินดื่มได้โดยไม่ต้องต้ม….คนเขียนก็กินไปกับเขาด้วยเหมือนกันแหละ)

โรงนวดสมุนไพร ที่จะเกิดขึ้น นอกจากจะช่วยบริการบรรดาพนักงานขี้เมื่อยทั้งหลาย ที่สำคัญก็คือ เป็นแหล่งสร้างรายรับให้กับผู้หญิง และคนเฒ่าคนแก่ ใครจะไปรู้ได้ว่าหากกิจการดี บรรดาพืชสมุนไพร ขมิ้น ไพล บอระเพ็ด ที่พี่น้องปลูกตามหัวไร่ปลายนายังสามารถเอามาขายให้กับที่ร้านนี่ได้อีก (ฝันไปไกล…ลุง…เอาเรื่องหมอนวดนี่ให้ได้ก่อนเหอะ)

วางแผนการฝึกอบรม และได้ประสานงานเบื้องต้นไว้ดังนี้

ขั้นตอนแรกต้องมีใบเบิกทาง เขียนแผนงานเสนอฝ่ายประสานงาน ที่เป็นผู้แทนจากท่านเจ้าแขวงฯให้ช่วยออกใบเบิกทางประสานงานไปยังบรรดาห้องการต่างๆที่เกี่ยวข้อง

ขั้นตอนการหาเสียงสนับสนุน เอาหน้าไปพบห้องการดังกล่าว เพื่อหาแนวร่วม และรับฟังแนวความคิดทิศชี้นำจากบรรดาท่าน

ขั้นตอนการหาครูฝึก งานนี้ก็ต้องรัดกุมหลายด้าน จะเอาครูข้ามชายแดนมาคงไม่ถูกใจเจ้าหน้าที่ทางฟากนี้ จะเอาผู้มีประสบการณ์ที่เคยผ่านร้านนวดจากเมืองใหญ่ตำรวจเมืองก็คงจะต้องสอบประวัติถามหาใบรับรองการ(ไม่เคย)ต้องโทษกันวุ่นวาย จึงได้พากันแอบไปใช้บริการร้านนวดที่แขวง(วานโชเฟอร์ไปนวดแทนพร้อมเขียนคำถามให้ไปแอบคุยกับพนักงาน) ดั้นด้นไปโรงอบสมุนไพรที่สวนไม้เป็นยาห้วยน้ำใส ที่ได้รับงบสนับสนุนจากธนาคารเอดีบีผ่านการท่องเที่ยวแขวงไชยะบุรี สอบถามข้อมูลได้ความว่าแผนกสาธารณสุขแขวงเคยจัดฝึกสอนให้ พอคลำทางได้แล้วค่อยโล่งใจขึ้นหน่อยอย่างน้อยหมอนวดของผมก็ผ่านการฝึกจากสาธาฯแขวงล่ะน่า

ด้วยสายพัวพันที่แนบแน่นกับคณะเชี่ยวชาญจากโรงหมอแขวงในคราวที่สร้างหอผู้ป่วยและจัดการซื้ออุปกรณ์แพทย์ให้โรงหมอเมือง พร้อมกับการผ่อนปรนกำหนดส่งรายงานผลการตรวจสุขภาพที่คณะท่านหมอกำลังจะพ้นกำหนดส่งมาให้ทางนี้ และคำรับปากกับคณะหมอว่า “จะช่วยตรวจแก้บทรายงานภาษาอังกฤษที่ท่านเคยทาบทามให้ช่วยเขียน” (ช่างกล้าแท้ลุง… ริจะแก้รายงานภาษาหมอ) ในที่สุดการประสานงานนัดหมายกับท่านดอกเตอร์ และการร่างหลักสูตรเบื้องต้นทางโทรศัพท์ก็สำเร็จในระดับหนึ่ง

หลักสูตรการฝึกอบรม มีดังนี้

วันแรก เต้าโฮมนักสัมมนากร ผ่านหลักสูตร(ชี้แจงรายละเอียดหลักสูตร) แล้วให้ทางสหพันธ์แม่ยิงเมือง กับ ปกส.เมือง(กองบัญชาการตำรวจ) มาร่ายยาวเรื่องฮีตคองกฏระเบียบข้อห้ามต่างๆของผู้ที่ประกอบอาชีพนวดแผนโบราณ ใช้เวลาสักครึ่งวันเสร็จแล้วเดินทางไปแขวงไชยะ ไปดูงานที่โรงนวดสมุนไพรของชาวบ้านห้วยน้ำใส กลางคืนค้างที่แขวงผู้ใดสนใจไปแวะชมโรงนวดแผนโบราณบ้านถิ่นก็จะพาไป

วันที่สอง เข้าห้องเรียนเรื่องเส้นเอ็นกระดูกกายวิภาคต่างๆ สอนโดยคณะเชี่ยวชาญจากแผนกกายภาพบำบัดโรงหมอแขวง เย็นๆเดินทางกลับ พร้อมพาคณะครูสอนนวดภาคปฏิบัติที่ทางสาธาฯแขวงแต่งตั้งมาเมืองหงสาพร้อมกันด้วย

วันที่สาม พักผ่อน ร่วมกันจัดห้องเรียน - สอน ที่โรงเรียนบ้านหาน(เด็กๆปิดเทอมไปดำนาพอดี ขอยืมใช้หน่อย)

วันที่สี่เป็นต้นไป สวนนวดกันจนนวดเป็น คุยกันไว้ว่าน่าจะสักสิบมื้อ

ขั้นตอนการคัดเลือกผู้เรียน คนทั้งเมืองรับได้แค่ยี่สิบสามสิบคนคัดเลือกลำบากเหมือนกัน คิดไว้ในใจอย่างนี้

มอบให้อำนาจการปกครองบ้าน(คณะกรรมการหมู่บ้าน)คัดเลือกจากคนที่มีคุณสมบัติดังนี้คือ อายุซาวห้าปีขึ้นไป มีใบรับรองประวัติไม่ด่างพร้อย มีสุขภาพแข็งแรงไม่เป็นโรคที่น่ารังเกียจ มีใบยินยอมจากผู้ปกครองหรือคู่สมรส คนที่มาจากครอบครัวทุกข์ยาก ครอบครัวแม่ร้างแม่ม่าย ครอบครัวที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากโครงการจะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ

ขั้นตอนการเปิดร้านนวด ไม่อยากคิดถึงความยากในกระบวนการขออนุญาต น่าจะยกให้คณะบ้านออกหน้า เราสนับสนุนเรื่องการจัดสถานที่ อุปกรณ์ ผ้าเสื่อ ผ้าปู หมอน จะดีกว่า ที่สำคัญคือกระบวนการตั้งกลุ่ม และการเป็นพี่เลี้ยงในการจัดการบริหารแบ่งปันผลตอบแทนให้กับคนที่มาทำงาน

เคียงคู่ไปกับการเตรียมเรื่องนวด จะต้องตระเตรียมเรื่องโรงอบสมุนไพร และหมอยาหม้อยารากไม้ ซึ่งต้องมีกระบวนการกลุ่ม การสังลวมองค์ความรู้ การเตรียมสถานที่ เตรียมห้องอบแยกชายหญิง พัฒนาสูตรสมุนไพร พากันไปดูงาน เยอะแยะจิปาถะน่าสนุกจริงๆนะ

นี่เป็นสองกิจกรรมในศูนย์ธุรกิจชุมชนบ้านหานที่วาดฝันไว้ ยังไม่นับเรื่องตลาดชุมชน ชวนพี่น้องตั้งกลุ่มการผลิตปลูกผักปลอดสาร เพาะเห็ด เลี้ยงปลาเลี้ยงกบเลี้ยงจิ้งหรีดมาขายที่ตลาด ตั้งร้านค้าชุมชน ร้านอาหารของกลุ่มแม่บ้าน ร้านขายเครื่องหัตถกรรม ตั้งกลุ่มอาชีพให้แม่ยิงเกี่ยวกับหัตถกรรมตำแผ่น ปรุงแต่งอาหาร ร้านซ่อมรถถีบรถเครื่อง ร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า ร้านเสริมสวย ร้านตัดผม ร้านโหลดเพลงลงมือถือ ร้านซักรีด ศูนย์เดย์แคร์ เอาไว้จะมาฝอยมาขายฝันในโอกาสอันควร

ปล. เป็นบทบันทึกที่คิดเป็นตัวหนังสือไว้ประกอบการเขียนแผนกิจกรรมของตัวเอง

ภาพประกอบเมื่อคราวจัดอบรมนวดแผนโบราณและหมอพื้นบ้านที่กกตูม ดงหลวง

 

 

 

 

 

 


คอบ

3 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 9 มิถุนายน 2012 เวลา 1:15 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1860

ประเพณีไทย “ไปลามาไหว้”

ในความหมายเดียวกันกับพี่น้องสองฝั่งแม่น้ำของ ทางนี้เรียกกันว่า ไปลา-มาคอบ

 

ตอนที่ผมไปทำงานกับพี่น้องชาวเผ่าโส้ที่ดงหลวง เจ้าโคตรลุงตาท่านก็ทำพิธีคอบบอกผีเจ้าปู่ด้วยการสังเวยหมูหนึ่งตัวพร้อมเหล้าไห เครื่องเซ่นหลังจากการเลี้ยงคอบเจ้าปู่ก็นำมากินข้าวเช้าข้าวงายสามัคคีกัน  ภายหลังการคอบพี่น้องชาวบ้านก็ยอมรับให้ผู้มาใหม่เป็นส่วนหนึ่งของชุมชน เมื่อหมดวาระการทำงานก่อนกลับพี่น้องท่านก็บอกว่าให้เอาดอกไม้ธูปเทียนไปคอบลาท่านที่ศาลเสีย หากไม่แล้วเกิดเจ้าปู่ท่านตรวจนับพลเมืองลูกหลานไม่พบผมแล้ว คนที่อยู่ทางนี้จะ “อยู่ไม่สุข” เมื่อท่านว่ากันอย่างนั้นเราก็ต้องทำตามแม้ในใจอยากจะแย้งว่าผมยังไม่ไปไหนยังเป็นลูกเป็นหลานจะกลับมาเยี่ยมยามถามข่าวทุกครั้งที่มีโอกาส

 

เมื่อเดือนก่อน พี่น้องชาวกิมมุบ้านนาหนองคำโยกย้ายหมู่บ้านไปที่ใหม่ คณะกรรมการหมู่บ้านเสนอของบประมาณมาขอซื้อเหล้าไหกับหมูไปประกอบพิธี “คอบ”ลาบ้านเก่า เมื่อไปถึงบ้านใหม่แล้วก็มีการ “คอบ”บอกเจ้าที่อีกรอบ พี่น้องชาวกิมมุเชื่อถือฤกษ์มื้อจั๋นวันดีกันค่อนข้างเคร่งครัด บางครอบครัวย้ายไปแล้วก็กองข้าวของไว้ใต้ถุนบ้านแล้วปูเสื่อปูผ้าใบนอนกันใต้ถุนบ้านกันหลายวัน ไปสอบถามดูได้คำตอบว่า รอให้ถึงมื้อดีก่อนค่อยขึ้นบ้าน บางครอบครัวจัดรถไปช่วยขนของนัดหมายวันกันแล้วก็มาขอเปลี่ยนวันเพราะวันที่นัดกัน “เป็นวันเสีย”ของครอบครัว พร้อมคำอธิบายว่า “พ่อข้อยตายมื้อวันจันทร์” พอถึงบางอ้อแล้วทีมงานก็ต้องปรับตารางให้ตามใจพี่น้อง สิ่งไหนจะช่วยให้พี่น้องสบายใจก็ต้องพยายามตามใจให้มากที่สุด

 

สัปดาห์ก่อนทีมงานบอกว่าเฒ่าแก่แนวโฮมบ้านชาวลื้อนาทรายคำถามถึง หากว่างให้ไปช่วยนั่งฟังพี่น้องวางแผน “คอบ”ก่อนการย้ายหมู่บ้าน ในฐานะที่เป็นคนแรกๆที่มาชวนพี่น้องคุยเรื่องการยกย้ายไปตั้งถิ่นฐานที่ใหม่มาเมื่อเกือบซาวปีที่แล้ว แม้ว่าทุกวันนี่ไม่ได้รับผืดชอบโดยตรงก็ต้องเอาหน้าไปให้ผู้เฒ่าผู้แก่ได้เห็นเสียหน่อย

พี่น้องชาวลื้อมีพิธีการ “คอบ”ที่ซับซ้อนมากกว่าเพราะมีทั้งพิธีพุทธ และพิธีผี ท่านบอกว่าจะทำดังนี้

๑ พิธีคอบบอกที่ป่าช้า มีหมูหนึ่งตัว เครื่องสังเวย สะตวง และเครื่องประกอบ

๒ พิธีคอบบอกเจ้าที่เจ้าทางที่บ้าน หมูหนึ่งตัว เครื่องสะตวง

๓ พิธีย้ายวัด งานนี้สามวันนิมนต์พระชาวลื้อมาจากแขวงบ่อแก้ว เมืองฮุน และเมืองเงิน แต่ละที่ขับรถไปรับเป็นวันๆ ไม่เอาพระลาวในหงสาเพราะสวดไม่เหมือนกัน สำหรับพิธีกรรม วันแรกเป็นการเตรียมเครื่องไทยทานและเรือนหน้อยสองหลัง ทำบุญไปหาบรรพบุรุษผู้ที่ล่วงลับไปพร้อมคอบบอกกล่าวว่าจะย้ายไปอยู่ที่ใหม่ วันที่สองเป็นการสวดเบิกและพิธีสึกพระพุทธรูปองค์ประธานเพราะในการเคลื่อนย้ายท่านไปวัดใหม่หากเกิดชำรุดต้องซ่อมแซมจะได้ไม่ “ขึด” ส่วนวันที่สามเป็นการไปทำบุญที่วัดใหม่

แผนการโยกย้าย ภายหลังที่เช้าของบ้านไปตรวจตราบ้านใหม่แก้ไขซ่อมแซมจนเป็นที่พอใจทุกหลังแล้ว ในวันย้ายท่านขอให้จัดรถกระบวนดังนี้ ท่านให้เอารถคันแรกแห่พระพุทธรูป คันที่สองให้พระนั่งอ่านธรรมใบลาน และพระเณรที่เหลือนั่งไปในคันที่สาม จากนั้นค่อยเป็นรถของพี่น้องชาวบ้าน ราวๆต้นเดือนหน้าอาจได้เห็นภาพ แต่ต้องขึ้นอยู่กับความพอใจในบ้านใหม่ของพี่น้อง แต่หากพ้นวันที่ ๓สิงหา ก็ต้องรอไปอีกสามเดือน พี่น้องชาวลื้อไม่ย้ายบ้านในระหว่างเข้าพรรษาครับ   

 

เป็นอีกหนึ่งวิถีของหลายชนเผ่า…ที่ผ่านพบ


คิดแบบนักโบราณคดี

ไม่มีความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 4 มิถุนายน 2012 เวลา 10:31 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1868

วันนี้ได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมการประชุมสัมมนาเรื่อง Cultural Resources Management and Chance Find Procedure แปลง่ายๆก็คือ การจัดการด้านโบราณคดีกรณีพบเจอแล้วต้องหยุดงานด้านอื่นๆก่อน เช่นหากรถไปขุดเจอไหโบราณเข้าก็ต้องหยุดการขุดตรงนั้น แล้วแจ้งให้ภาคส่วนเกี่ยวข้องมาตรวจดูก่อนว่าจะอนุรักษ์ ขุดค้น หรือจะทำการใดๆ

ท่านรักษาการเจ้ากรมมรดกแห่งชาติ กระทรวงแถลงข่าว วัฒนธรรม และการท่องเที่ยว มาบรรยายเอง อาสาพาตัวเองเป็นตัวแทนของหน่วยงานเข้าร่วมประชุมด้วยความชอบเป็นการส่วนตัว (อ่านศิลปวัฒนธรรมมาตั้งแต่ฉบับละสิบสองบาทจนทุกวันนี้เล่มละร้อยซาว โหลดประชุมพงศาวดารมาอ่านครบตั้งแต่ภาค๑ถึงภาค๘๑….ท่าจะบ้า..ลุงเปลี่ยน)

แอบไปแต่เช้าเลือกที่นั่งที่มีปลั๊กไฟ เปิดคอมฯกะจะแอบทำรายงานที่ติดค้างคนเขาไปทั่ว คิดเอาไว้ว่าคงมีช่วงที่น่าเบื่อให้แอบทำรายงานบ้างล่ะ เมื่อคืนก่อนก็อยู่ถึงตีสี่ดันลุ้นผลกอล์ฟมากกว่าเขียนรายงาน คงต้องง่วงในห้องประชุมแน่ๆ ก็ดูตามตารางรายการท่านมีบรรยายตั้งเจ็ดบทจนถึงบ่ายสามแล้วจึงมีเวทีแลกเปลี่ยน

แต่เอาเข้าจริงๆกลับแทบละสายตาจากหน้าห้องไม่ได้เลย ท่านทำการบ้านมาดี ตั้งแต่เอกสารที่แจกภาษาอังกฤษงามหมดจด ภาษาลาวสำบัดสำนวนเหลือหลาย รูปภาพตัวอย่างที่นำมาฉาย ของตัวอย่างที่นำมาให้จับต้อง เครื่องมือหินตัด ขวานหินมีบ่า แวปั่นด้าย ไห ตะไลฝนยา เครื่องปั้น เครื่องเคลือบ

ที่น่าสนในคือตัวอย่างกระบวนการคิดแบบนักโบราณคดี ท่านยกตัวอย่างชามเครื่องเคลือบลวดลายสีน้ำตาล

มีรอยตำหนิคล้ายรอยแตกที่ขอบจาน

ท่านว่าเครื่องเคลือบด้วยน้ำยาชนิดนี้ วิทยาการมาจากทางพม่าและล้านนา (ความรู้สมัครเล่นของผมก็ว่าเคยเห็นจากเตาเผาสันกำแพง และอินทขิล แม่แตงบ้านผมเหมือนกัน)

ท่านว่ารอยตำหนินี้เกิดจากเตาเผาอุณหภูมิสูงเกินไป

แล้วท่านก็ชวนคิดต่อ ด้วยคำถามว่าชามมีตำหนิจากเตาอย่างนี้ใครเขาจะขนข้ามภูเขารอนแรมมาขาย (เขาก็ต้องเอาของงามๆมาขายสิ)

แล้วท่านก็ฟันธงว่า เมืองหงสาต้องมีเตาเผา ชามใบนี้ทำขึ้นแถวๆนี้นี่เอง

หาข้อโต้เถียงท่านไม่ได้จริงๆ

แล้วอันที่จริงเมื่อวันก่อนก็มีคนเจอเตาเผาแล้วด้วย(แต่ยังไม่ได้บอกให้ท่านทราบ)

นานๆพบเจอนักวิชาการเก่งๆครับ อดไม่ได้จึงนำมาเล่าอวด    

คำหลัก “คิดเป็นระบบ”



Main: 0.11967706680298 sec
Sidebar: 0.017886877059937 sec