เพื่อนสนิท ชวนให้คิด

2 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 25 มิถุนายน 2010 เวลา 4:33 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1770

 

นั่งจัดระเบียบภาพถ่ายในไฟล์ ท่ามกลางที่ประชุม “บ้าน้ำลาย” เห็นภาพไอ่ตุ้ยปรากฏอยู่แทบทุกโฟล์เดอร์ คิดๆดูแล้ว น่าจะสรุปได้ว่า สิ่งมีชีวิตที่สุงสิงด้วยมากที่สุดในรอบสองสามเดือนที่ผ่านมา น่าจะเป็นไอ่ตุ้ยนี่แหละ

ไอ่ตุ้ย เป็นแมวที่ชอบนอนสถิตย์อยู่บนตู้กระจกของร้านขายอาหารเจ้าประจำที่ผมฝากท้องวันละสามมื้อในหงสา

ไอ่ตุ้ยเป็นลูกโทน ของนางสามสี ตอนเกิดใหม่แม่พาไปหลบหลีกผู้คน เป็นแมวในโกดังที่ใครๆก็ไม่สามารถเข้าใกล้ได้ในระยะห้าสิบเมตร จนกระทั่งนางสามสีมีน้องให้ไอ่ตุ้ยครอกถัดมากอีกสี่ตัว ผมเข้าไปเล่นกับน้องๆเขา เจ้าตุ้ยถึงยอมมาใกล้ได้บ้าง

ไอ่ตุ้ย สร้างความประทับใจให้ผมตรงที่ เขาไม่เคยแย่งอาหารน้องๆ หรือแม่เลย เขาจะนั่งนิ่งๆเฝ้ามองและรอคอยอย่างอดทน จนกว่าน้องหรือแม่จะอิ่ม จึงจะค่อยๆเดินมาจัดการส่วนที่เหลือ

แม้ว่าบางคราว ผมหวังดีแบ่งขนมแยกไปวางตรงหน้าไอ่ตุ้ย เขาก็จะดมๆเล็มกินอย่างรีๆรอๆ หากมีเจ้าน้องจอมซนตัวไหนยื่นหน้ามาใกล้จานขนมของไอ่ตุ้ย พ่อคุณก็เป็นอันเสียสละให้น้องๆทุกครั้งไป

ความสนิทชิดเชื้อของผมกับไอ่ตุ้ย สนิทแนบแน่นขึ้นเรื่อยๆ ระยะหลังมาน้องๆจะโตเลยวัยซน และถูกแยกย้ายไปอยู่บ้านอื่นเสียสามตัว อีกตัวหนึ่งคือเจ้าขาวตาฟางวิ่งไปชนรถลาโลกไปก่อนเพื่อน แต่ไอ่ตุ้ยก็มีแมวหลงตัวเล็กๆมาอยู่ด้วยอีกสองตัว ชื่อนางสีนวล กับเจ้าทองเล็ก ไอ่ตุ้ยก็ยังเหมือนเดิมที่ไม่ยอมไปร่วมไปแย่งกินข้าวกับตัวไหน ชอบนอนนิ่งๆบนตู้โชว์อาหารของแม่อยู่ทุกวัน อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่สนใจสิ่งเร้าใดๆ นานๆครั้งที่เห็นไอ่ตุ้ยวิ่งออกไปต้อนรับ”พ่อ”ที่กลับมาจากสวนตอนเย็น สงสัยลืมตัวคิดว่าตัวเองเป็นหมา จึงวิ่งแข่งกับนังดิ๊กด็อกไปรับ “พ่อ”

ผมชอบไปแหย่ไปแกล้งไอ่ตุ้ยเกือบทุกวัน เริ่มแรกด้วยการเกาคางเกาหัว ต่อมาก็นวดขานวดตัว หลังๆมาก็อุ้มพาดบ่าเดินรอบสนาม แรกๆไอ่ตุ้ยก็ต่อต้านขัดขืนบ้าง ดิ้นจะออกจากวงแขนบ้าง แต่หลังๆมาไอ่ตุ้ยคงทนลูกตื้อไม่ได้ก็เลยอยู่เฉยๆยอมให้แกล้ง มีบางวันที่เขาอารมณ์ดีแสดงความชอบใจด้วยการ หลับตาพริ้ม วาดหางไปมาอย่างเป็นจังหวะ

หมู่นี้ไอ่ตุ้ยติดสาว อารมณ์หงุดหงิด ไม่ยอมให้อุ้ม หนีหายไปจากที่ประจำบนตู้บ่อยๆ  

บทสรุป
( ) แมวก็เหมือนคน บางตัวนิสัยดีได้โดยไม่ต้องสอน
( ) แมวก็เหมือนคน บางอารมณ์ก็เผลอไผลไปกับสิ่งเล้าโลม
( ) แมวก็เหมือนคน บางครั้งก็ไม่อยู่กับร่องกับรอย

คนต้องทำได้ดีกว่าแมว


เมืองคอบคือเมืองในซอกเขา

3 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 12 มิถุนายน 2010 เวลา 2:34 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2961

เคยได้ยินชื่อเมืองคอบมาจากหนังสือชุดเรื่องผี ที่เล่าถึงเรื่องราวของผีโพงเมืองคอบ พอสบโอกาสได้ไปทำงานเมืองเชียงฮ่อน ก็เลยวางแผนขยายพื้นที่ทำกิจกรรมให้ครอบคลุมไปถึงเมืองคอบในครานี้นี่เอง ก่อนไปก็สอบถามชาวหงสาที่เคยไปเมืองคอบได้ข้อมูลแบบปะติดปะต่อว่า “เมืองคอบเป็นเมืองในหุบเขามองไปทางไหนก็เจอแต่ภูเขา” “เมืองคอบมีที่พักดีๆอยู่แต่เมืองคอบไม่มีที่กินข้าวเย็น” อ้ายน้องที่เชียงฮ่อนพอรู้ว่าเราจะไปนอนค้างเมืองคอบก็ให้ข้อมูลเพิ่มว่า “เมืองคอบเป็นเมืองสี่ตาแสง” หมายความว่าสมัยก่อนเมืองคอบขึ้นกับเมืองเชียงฮ่อน ต่อมาทางการท่านจึงตัดเอาสี่ตาแสง หรือสี่ตำบลออกไปตั้งเป็นเมืองหรืออำเภอใหม่

จากเชียงฮ่อนลัดเลาะซอกซอนข้ามทะเลขุนเขา ผ่าเปลวไฟจากการเผาป่าไปถึงเมืองคอบเอาตอนสี่โมงเย็น แว่ปแรกที่เห็น ก็คิกชื่อของบันทึกว่า เมืองคอบคือเมืองในซอกเขา เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหนล้วนเห็นขุนเขาเป็นปราการตระหง่านง้ำต้องแหงนคอตั้งบ่า

เมืองคอบวันนี้มีร้านอาหารอยู่ตั้งสองร้านแล้ว ร้านแรกถูกจองโดยคณะทำไม้ชาวจีน พวกเราจึงต้องรีบไปสั่งอาหารอีกร้านที่เหลือไว้กันเหนียว แล้วเราก็เดินรอบเมือง เดินๆหยุดๆถ่ายรูป เดินยังไม่ทันได้เหงื่อก็วนรอบเมืองแล้ว ไม่ถึงสองกิโลมั้ง 

 แอบถ่ายรูปสาวๆอาบน้ำที่แม่น้ำคอบมาด้วย แต่ไม่กล้าซูม อิอิ

กลางคืนเดินชมดาวอีกหนึ่งรอบ เงียบสงบจริงๆ แต่ยามค่ำคืนเมืองคอบในเดือนมีนาคม มองเห็นราวไฟป่าแดงเป็นแนวเป็นแถวรายรอบทุกทิศทาง ปานว่าเมืองคอบตามประทีบพลุไฟเฉลิมฉลอง เป็นความสวยงามบนการสูญเสีย

 ตื่นเช้าก่อนหกโมง ไปเดินตลาดเช้า แม้จะยังเช้าแต่ตลาดก็ใกล้จะวายแล้ว

มนต์ขลังของตลาดชนบท ตลาดหัวเมืองยังไม่เสื่อมคลาย
ท่านดูก๋วยที่แม่ค้าหาบของมาขาย
ท่านดูมัดกระเทียมที่ประณีตสวยงาม
ท่านดูแม่ค้าที่โพกหัวสะพายย่ามเหมือนเป็นเครื่องแบบ

ท่านดูแม่เฒ่าที่มาขายต้นหอมหนึ่งกอง กับฝ้ายที่เก็บจากไร่มาอิ้วมาสาวพร้อมใช้อีกหนึ่งไจ 

หลังมื้อเช้า เราไปดูสวนส้มเขียวหวาน ที่ปลูกแบบไร้สารเคมี แบบกรรมวิธีพื้นบ้านที่ทรงภูมิปัญญา ไม่น่าเชื่อว่าจะพบเจอท่ามกลางขุนเขาเช่นนี้ นี่เองช้างเผือกในป่าลึก

ดีใจที่ได้เยือน ….นะเมืองคอบ


ความขัดแย้ง(ในใจ)วันปลูกป่า

6 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 3 มิถุนายน 2010 เวลา 10:27 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1447

หนึ่งปลูกเพื่อปากท้อง    ลูกหลาน
หนึ่งปลูกเพื่อต้องการ    รักษ์โลก
สองผ่ายมาพบพาน       ร่วมถิ่น ดินเดียว
ต่างฝ่ายต่างกล่าวอ้าง    ที่แท้ใครควร

วันเวลา ๑มิถุนา วันปลูกป่าของเมืองหงสา

สถานที่ ป่ายอดห้วย ของขุนห้วยคุย ครอบครัวพี่น้องชาวม้งจับจองแผ้วถางเตรียมทำไร่ เมืองมาจับจองไว้ปลูกป่า

ผู้ร่วมแสดง พนักงานเมือง พนักงานโครงการ(ใส่ชุดป้องกัน ชุดเซพตี้สีสันสดใส) กับอีกฝ่ายเป็นครอบครัวชาวม้งหญิงชายผู้ใหญ่คนสูงอายุและ เด็ก

กิจกรรม ฝ่ายเจ้าหน้าที่อ่านประกาศแล้วช่วยกันปลูกป่า มีรถรับส่ง มีการขุดหลุมปักหลักไว้รอ มีเลี้ยงน้ำ ขนมปังปี๊บ มีถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอ ฝ่ายพี่น้องม้งเดินมาจากบ้านดอนใหม่เก้ากิโล มาถึงก็ลงมือปลูกเข้าไร่โดยไม่ต้องมีพิธีรีตอง ผู้ใหญ่ถือไม้ไผ่สักหลุม เด็กน้อยช่วยกันหยอกเมล็ดข้าว

ผลลัพธ์ เจ้าหน้าที่ได้ทำกิจกรรม ได้รายงานขั้นเทิง มีรูปมีวิดีโอประกอบ พี่น้องชาวม้งได้ปลูกข้าวไร่

แต่ได้เห็นน้ำตาของแม่เฒ่าชาวม้งคนหนึ่ง ที่ร่ำร้องพร่ำบ่น เกรงว่าทางเมืองจะมายึดที่คืน กลัวจะไม่มีข้าวเลี้ยงครอบครัว แม่เฒ่าเดินถือมีดบ่นปนสะอื้นไปมา อย่างน่าเวทนา แล้วก็เดินจากไปอย่างหมดกำลังแรงอย่างจำนน

ถามว่า ทางเมืองทำถูกไหม ทำถูกที่มาฟื้นฟูป้องกันป่าต้นน้ำ

ถามว่าแม่เฒ่า มีสิทธิ์ไหม มีสิทธิ์ในการสนองความต้องการพื้นฐาน อาหารเลี้ยงปากท้อง

ถามว่าถ้าจะให้งามควรทำอย่างไร

ควรบอกกล่าวให้แม่เฒ่าเข้าใจ ยินยอมพร้อมใจ ไม่ใช่ไปแจ้งแต่กับหัวหน้าครอบครัวแล้วปล่อยให้แม่เฒ่าที่ไม่เข้าใจภาษาของคนพื้นล่าง ตื่นตกใจที่เห็นคนมากมายมาบุกรุกที่ดินของตน หากจะห้ามแม่เฒ่าไม่ให้ทำกินตรงนี้ ก็ต้องไปหาที่ดินที่อื่นมาให้พี่น้องได้มีทางออก

โลกเรานี้เหมือนกันอยู่อย่าง ชอบคิดอะไรง่ายๆ ทำอะไรลวกๆ

เห็นไหมพอลุงบ่นก็หาว่าลุงจู้จี้



Main: 0.080130100250244 sec
Sidebar: 0.024381875991821 sec