อื่อข่า อื่อไปร

1 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 24 มกราคม 2010 เวลา 10:19 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1684

วันก่อนไปร่วมตั้งกองประชุมกับพี่น้องชาวบ้าน ร่วมกับคณะปกครองของเมืองหงสา
ทางนี้เรียกว่า “ลงเฮดเวียกแนวคิด” หากเป็นทางสากลหน่อยเขาก็เรียก Public Consultation
ตามขั้นตอนของการประชุม ต้องเริ่มที่การกล่าวรายงานจุดประสงค์ของการประชุมโดยผู้ประสานงานโครงการที่เป็นข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งจากศูนย์กลาง
ตามมาด้วยคิวของผมที่นำเสนอรายละเอียด แล้วก็เลยเป็นฟาร์กระตุ้นให้ที่ประชุมแสดงความคิดเห็น แล้วก็รับหน้าที่ตอบคำถามจากที่ประชุม
จากนั้นเมื่อถึงตอนก่อนจบการประชุม ก็เป็นการประกอบความคิดเห็นจากข้าราชการผู้ใหญ่ของเมือง วันนี้มีคำพูดที่น่าสนใจอยู่คำหนึ่งคือ “อย่าอื่อข่าอื่อไปร”
ความหมายของคำ “อื่อ” เป็นคำขานรับในเชิงเห็นด้วย แบบ agree with เทียบกับคำบ้านเราจำพวกคำ เออ อือ ครับ ขอรับ ส่วนทางคนเมืองภาคเหนือและคนลาวใช้คำ “เจ้า”เหมือนกันแต่ผิดกันที่คนเมืองจะ “เจ้า”เฉพาะผู้หญิง แต่ที่ลาวนี่ “เจ้า”กันทั้งหญิงทั้งชาย
ข่า หมายถึง ชาวข่า เป็นกลุ่มคนที่พูดภาษาในกลุ่มมอญเขมร แบ่งเป็นหลายกลุ่มย่อย เช่น ข่ามุ(กิมมุ) ข่าโส้ ข่าตะโอย ข่าเมต ข่าฮอก ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นกลุ่มคนดั้งเดิมที่อาศัยในภูมิภาคนี้ก่อนที่คนกลุ่มที่พูดภาษา ไท จะมาอาศัยอยู่ร่วมดินแดนเดียวกัน ในหนังสือ ๓๐ชาติพันธุ์ในเชียงรายของบุญช่วย ศรีสวัสดิ์ ท่านว่า ชาวข่าคือกลุ่มชาวเขาที่ไม่ได้รับอิทธิพลจากจีน ส่วนกลุ่มที่ได้รับอิทธิพลจากจีนนั้นท่านเรียก ชาวแข่ ปัจจุบันในลาวเรียกพี่น้องชาวข่าว่าเป็นกลุ่ม ลาวเทิงนั่นเอง
ไปร หรือไพร แปลว่าป่า ในที่นี้หมายถึง ชาวไปร หรือที่บ้านเราเรียก ชาวลั๊วะ
อื่อข่า อื่อไปร หมายถึง การรับปากรับคำของชาวข่า ชาวไปรนั่นเอง
ความหมายหรือนัยยะของคำ เป็นเชิงดูแคลน หรือเชิงลบต่อพี่น้องชาวข่า ชาวไปร แบบกรายๆ
เป็นคำพูดในหมู่ชาวลาวลุ่ม หรือชาวเมืองที่พัฒนาแล้ว เช่นในที่ประชุม ท่านรองเจ้าเมืองพูดกับชาวบ้านว่า “รับปากแล้ว อย่าให้เหมือนอื่อข่า อื่อไปรเด้อ”
เพื่อนฝูงคนลาวลุ่มที่ทำงานพัฒนาชนบทห่างไกลในชุมชนชาวข่า ชาวไปร เล่าให้ฟังว่า
หากในที่ประชุมชาวข่า กิจกรรมใดที่พี่น้องตกปากรับคำว่า “อื่อ” นั้น กลับไปติดตามผลภายหลัง ไม่เห็นมีพี่น้องชาวข่าคนไหนรายใดปฏิบัติตามแม้แต่คนเดียว ครั้นพอถามว่า วันก่อนถามทำไมรับคำ พี่ท่านก็ตอบว่า “ก็วันนั้นเจ้านายมาบอกมาสั่ง ไม่รู้จะทำไงก็ อื่อไปให้แล้วๆ
เรื่องนี้ผมกลับมองว่า การพัฒนาชุมชนต้องให้เจ้าของพื้นที่ หรือผู้ที่เราจะเข้าไปทำงานด้วยนั้นเห็นพร้อมยินดีจากใจจริงๆ ไม่ใช่ใช้อำนาจจากขั้นเทิงหรือเบื้องบนมาสั่งการ หาไม่แล้วหากขั้นเทิงท่านกลับ ก็เหมือนกับเอาโครงการกลับไปด้วย
เขายังเล่าต่อ ในกรณีของพี่น้องชาวไปร หากงานใดที่พี่น้องขานรับว่า อื่อ แปลว่าพี่น้องรับฟังเฉยๆแต่จะไม่ทำตาม แต่หากงานใดที่พี่น้องขานรับว่า “แอ๊ะ” แล้วละก็งานนั้นพี่น้องเชื่อฟังและทำตามอย่างสุดตัว
ในกรณีนี้ แปลว่า เราต้องเข้าใจภาษาของพี่น้องให้ถ่องแท้ ไม่ใช่ใช้การตีความโดยภาษาของเราเอง
สำหรับผมแล้ว อื่อข่า อื่อไปร ไม่ได้มีความหมายในเชิงดูแคลนพี่น้องทั้งสองชาวนั้นอย่างแน่นอน หากแต่ตีความหมายว่า งานพัฒนาชุมชน ต้องมีการสื่อสารกันอย่างชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้น การที่คิดว่าจะเข้าไปช่วยให้คนอื่นดีขึ้นตามมาตรฐานของเรานั้น ต้องเข้าใจพี่น้องให้ปรุโปร่ง ต้องไม่คิดเอาเองจากฝ่ายเราแต่ฝ่ายเดียว


ครู

2 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 17 มกราคม 2010 เวลา 11:16 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1716

คุณครูในดวงใจ
๑๖ มกรา วันครูแห่งชาติไทย
ผมเองก็เหมือนกับทุกๆคนที่ได้ผ่านการหล่อหลอมจากครูมากมายหลากหลายท่าน  ขอจารึกบุญคุณของครูบาอาจารย์ทุกๆท่านไว้ณที่นี้ โดยเฉพาะคุณครูในดวงใจ ครูที่ประทับใจ ที่มีอิทธิพลต่อตัวผมอย่างมากมาย จึงขอเอ่ยนามของท่านที่จดจำได้มาไว้ในบันทึกนี้ครับ
ครูพัด เป็นครูอนุบาล เป็นครูคนแรกที่สอนให้รู้จักตัวหนังสือ ก.ไก่ ข.ไข่ ขอบคุณครูพัดครับ
ครูจันทร์สม เป็นครูชั้นป.๑ เป็นครูคนแรกที่สอนผมเมื่อย้ายมาเข้าโรงเรียนหนองหล่มวิทยาคาร ที่ผมยังจดจำได้ดีอยู่เสมอ ตอนนั้นรู้สึกว่าเสียงของท่านดูทรงพลังมากๆ
ครูชะลี่ สิริสุขะ ท่านเป็นครูประถมต้นอีกท่านหนึ่งที่ยังจดจำได้ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นครูประจำชั้นแต่วันเสาร์อาทิตย์และช่วงปิดเทอมก็ได้เคยติดตามเพื่อนๆไปเรียนพิเศษกับท่านบ่อยๆ จำได้ว่าท่านเลี้ยงข้าวเด็กๆที่ไปเรียนหนังสือที่บ้านพักครูท่านด้วย
ครูเบญจมาภรณ์ เป็นครูประจำชั้น ป.๔ ที่สนิทสนมเป็นพิเศษถือว่าท่านเป็นครูที่สอนผมจนสอบชิงทุนได้ที่๑ของอำเภอ
คุณครูในดวงใจ สมัยที่เรียนอยู่ชั้นประถมปลายที่โรงเรียนสันมหาพลวิทยาก็มีหลายท่านครับ
ครูอัมพร เป็นครูประจำชั้นที่ดูแลตั้งแต่ป.๕  ถึง ป.๗
ครูเกษม เพียรสุขุม ท่านเป็นครูคนแรกที่สอนให้รู้จักตัว เอ บี ซี ดี
ครูสายัญ สอนวิชาภาษาไทย
ครูสุจินต์ สอนวิชาศีลธรรม แล้วยังมีครูบุญสนอง ครูบุญวาทย์ และคุณครูปรีเปรมที่สอนวิชาเลข
ครูในดวงใจสมัยเรียนชั้นมัธยม ท่านที่ผมรักมากที่สุดคือ ครูอ้ายโล้ อาจารย์ชูศักดิ์ พงษ์เจริญ ท่านสอนวิชาเรขาคณิตตอนชั้นม.ต้น และวิชาฟิสิกส์ในชั้นม.ปลาย ท่านนี้เองที่ผมทำร้ายจิตใจท่านโดยการหนีออกจากโรงเรียนเทอมสุดท้าย มาแวะเรียนสวนดอก แต่ท่านก็ทำนายไว้กับคนอื่นๆว่า “ผมเชื่อว่าเจ้านี่มันจะไม่หยุดอยู่แค่นั้น” ผมไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้นจริงๆครับครู
ครูพิมสวาท ท่านเคี่ยววิชาภาษาอังกฤษให้จนมั่นใจมาถึงทุกวันนี้
ครู จรัล สรรพศรี ท่านสอนวิชาพิชคณิต และยังสอนให้เล่นอังกะลุงอีกด้วย
ครูวิไลลักษณ์ สอนวิชาประวัติศาสตร์
ครูศรีนวล สอนวิชาภูมิศาสตร์ ส่วนครูภาษาไทย ก็มีครูวนิดา กับครูชวนพิศ
พอออกมาเรียนผู้ช่วยพยาบาล ได้อาจารย์ผู้ดูแลชื่อ อาจารย์วัชรี แต่ผมกลับจำอาจารย์เดือนฉาย เนียมทรัพย์ กับอาจารย์กลอยใจ เนตราคม ได้ดีกว่าเพราะท่านสอนวิชา terminology การต่อศัพท์อ่านศัพท์แพทย์ต่างๆที่ผมชอบ และได้ใช้ประโยชน์มาจนทุกวันนี้
สมัยที่มาเรียนต่อโรงเรียนผู้ใหญ่ภาคค่ำ ที่วัฒโนฯ ก็มีอาจารย์หลายท่านที่คอยแนะนำให้กำลังใจ โดยเฉพาะอาจารย์สองท่านที่สอนวิชาเคมี กับฟิสิกส์ เสียดายจำชื่อท่านไม่ได้เสียแล้ว ท่านสอนว่ามาเรียนต้องมีจุดมุ่งหมาย ไม่ใช่คิดว่ามาเรียนภาคค่ำเพียงเพื่ออยากปรับวุฒิ ตอนหลังมาได้เจอท่านตอนที่ผมใส่ชุดนักศึกษามหาวิทยาลัย ผมสัมผัสได้ถึงความยินดีในแววตาของท่านที่เห็นลูกศิษย์ภาคค่ำเอนทรานซ์ติด
สมัยอยู่คณะเกษตร อาจารย์ที่ปรึกษา ชื่อ ท่านอาจารย์อักษร เสกธีระ ท่านดูแลตอนอยู่ปี ๑ และปี ๒
ส่วนอาจารย์ในหมวดวิชาพื้นฐานที่จำได้ คือ อ.พวงเพชร ท่านสอนวิชาภาษาอังกฤษ ผมเรียนกับท่านสามเล่มเพราะ section ของอาจารย์นั้นเด็กเกษตรจะกลัวกันมากๆเลยว่างสำหรับผมเสมอ ท่านเอาใจใส่นักศึกษาแม้กระทั่งสังเกตเห็นว่าใครแอบมองนาฬิกาข้อมือ แสดงว่าไม่อยากเรียน อิ อิ (คนคนนั้นคือผมนั่นเอง ก็ลงเวรดึกมาง่วงนอนนี่ครับ) แต่ท่านอ.พวงเพชรก็แสดงความทึ่งชม(ทึ่งบวกชื่นชม)ผมหลายครั้งที่สามารถอธิบายองค์ประกอบของsyring หรือตับใตไส้พุง ในบทของการอ่านเอาเรื่องได้ดี (พร้อมทั้งหันไปค้อนนศ.คณะพยาบาล และคณะฝั่งสวนดอกว่า ดูอย่างนายเปลี่ยนสิ เรียนเกษตรแท้ๆเขายังรู้เรื่อง) แหะๆ ก็ผมล้างอุปกรณ์ทำแผลอยู่ทุกวัน น้องๆเขาเพิ่งเข้าเรียนปี๒ เองครับอาจารย์
มีอาจารย์คณะวิทยาศาสตร์อีกท่านหนึ่งที่สอนวิชา math ตอนเรียนปี๑กับปี๒ ท่านนี้ก็ประทับใจ ท่านเอาใจใส่เด็กเกษตรมาก(เพราะกลัวว่าจะเป็นฐานให้คณะอื่น) เสาร์อาทิตย์ท่านให้เราไปติวที่แฟลตของท่านพวกเราไปนั่งทำการบ้านอยู่เต็มทางเดินหน้าห้องของอาจารย์
เลือกเข้าเรียนภาควิชาปฐพี ได้อาจารย์ ดร.มัตติกา ท่านดูแล อาจารย์ท่านลาไปอบรมร่วมปีช่วงนั้นก็ได้อาจารย์ ดร.เมธี มาช่วยดูแล อาจารย์ท่านอื่นๆในภาคฯปฐพี ที่ได้อบรมสั่งสอนก็มี อ. สุพจน์ สอนเคมีดิน และดินน้ำขัง อ. สิทธิพร สอนวิชาอุตุฯ อ.ดร.จิตติ ปิ่นทอง สอนเรื่องการสำรวจจำแนกดิน อ. จรูญ สอนการจัดการลุ่มน้ำ
พอเปลี่ยนสาขาวิชาจากฟิสิกส์ของดินมาเรียนทางด้านความอุดมสมบูรณ์ของดินในชั้นป.โท ก็ได้รับการอุ้มชูดูแลจาก อาจารย์ ดร. มานัส แสนมณีชัย เป็นที่ปรึกษาใหญ่ ดร. สุชาติ เป็นที่ปรึกษาใหญ่รองลงมา และมีอาจารย์ที่ร่วมดูแลวิทยานิพนธ์อีกสองท่าน คือ ดร. ดุสิต มานะจุติ กับ อาจารย์ ทรงเชาว์ อินสมพันธ์ นอกจากนั้นก็ยังมีอาจารย์อีกหลายท่านในภาคที่ได้สั่งสอนวิชาดินขั้นสูง ในนั้นก็มี อ.ดร. อำพรรณ พรหมศิริ สุดยอดของครูผู้ให้อีกท่านหนึ่ง
นอกจากครูบาอาจารย์ในสถาบันการศึกษาแล้ว ก็ยังมีครูที่ได้สอน ที่เป็นแบบอย่างให้ลักจำ ในการทำงานอีกหลายท่าน อาทิเช่น ดร. สมาน พานิชย์พงส์ ปรมาจารย์ด้านดิน ดร.สนิท สมัครการ ปรมาจารย์ด้านมานุษยวิทยา และเจ้านายคนจ่ายเงินเดือนทุกวันนี้ คุณอำนาจ พรหมสูตร ท่านนี้สอนแบบดุเดือด แต่อย่างไรก็โกรธกันไม่ลงเพราะหากเอาไปปรับตามแล้ว รายงานออกมาดีจริงๆ ผิดกับครูของผมอีกท่านที่สอนแบบไม่เคยดุแบบสุดยอดใจดี ก็ท่านพี่บางทรายของชาวเรานี่เอง
วันครูของไทยเรา วันที่ ๑๖ มกราคม แต่ที่นี่ที่หงสา และทั่ว สปป ลาว วันครูท่านกำหนดไว้ที่วันที่ ๗ ตุลา ครับ
วันที่ ๗ ตุลา เป็นวันที่ ท่านนายครูคำ ครูนักต่อสู้กับลัทธิอาณานิคม นักปลดปล่อย นักปฏิวัติ ท่านถูกทำร้ายจนเสียชีวิตลงในวันนี้ ทางการลาวจึงถือเอาวันที่ ๗ ตุลา เป็นวันนายครูแห่งชาติด้วยประการฉะนี้


คนบ้าเกมส์ ว่าด้วยเรื่องเกมส์คอมพิวเตอร์

4 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 9 มกราคม 2010 เวลา 10:03 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1875

มีเรื่องมาสารภาพว่า ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์มากๆ จนเกือบจะเรียกได้ว่าติด
น่าจะเป็นเรื่องปกติธรรมดาของคนที่ชอบอยู่คนเดียว
แรกๆสมัยคอมหน้าจอสีเขียวก็เล่นเกมส์แมงแง๊บๆ (picpac) พอคอมฯพัฒนาขึ้นเป็นจอสีเทาๆเกมส์ก็พัฒนาจากเจ้าตัวกลมๆอ้าปากพะงาบๆมาเป็นตัวแมงมุม
นอกจากชอบเล่นเกมส์คอมฯแล้ว ยังเคยติดเกมส์รถถังที่เล่นผ่านจอโทรทัศน์ เป็นเรื่องที่สารภาพเรื่องต่อไปก็คือ ว่าตอนที่ติดเกมส์รถถังขั้นที่ ๑๙ ทำอย่างไรก็ไม่ผ่าน ตอนนั้นเรียนป.โทปีสองเลยไปขอ Drop วิชาเรียนกับอาจารย์หลอกท่านว่าที่ทำงานส่งไปอบรมต้องขึ้นเวรเช้าตลอดมาเรียนไม่ได้ อิ อิ สุดท้ายต้องร่วมมือกับเพื่อนคนหนึ่งบุกคนหนึ่งระวังหลัง จึงสามารถผ่านด่านได้ เรื่องนี้สรุปบทเรียนได้ว่า การงานใดก็ตามหากเหลือกำลังของคนผู้เดียวแล้ว หากมีการช่วยเหลือกันและกันก็สามารถสำเร็จลุล่วง
ประดาเกมส์ถอดไพ่ต่างๆ ที่มากับ windows นี่ก็เคยติดจนแทบไม่เป็นอันทำการทำงาน แต่ก็มองเห็นข้อดีว่าเกมส์ไพ่แบบ free cell นั้นช่วยในการทำสมาธิได้ดีระดับหนึ่ง
พอคอมพิวเตอร์มีรุ่นจอสี ผมก็เริ่มบ้าเกมส์ยิงปืน เกมส์ช่วยตัวประกัน ต่อสู้ ล่าผู้ร้าย ทั้งเกมส์ Vcop และ house of Dead เล่นจนบางคืนนอนฝันว่าโดนหมาในเกมส์กัดก็มี ยืนยันได้เลยว่าการเล่นเกมส์ต่อสู้นี่ทำให้คนเล่นก้าวร้าวขึ้นได้จริงๆ บางทีความอยากชนะทำให้ต้องยิงทิ้งดะ ไม่เลือกว่าเป็นผู้ร้ายหรือตัวประกัน
เกมส์ที่ติด ชื่นชม จนถึงขั้นเรียกได้ว่าหลง ก็คือ age of Mythology ครับ เล่นมาห้าหกปีไม่ยอมเบื่อ หากคอมฯ พังต้องลงโปรแกรมใหม่ทำให้เจ้าเกมส์นี้หายไปจากเครื่อง ต้องดิ้นรนไปหาเจ้าต้าลูกน้องคนสนิทถึงที่มุกดาหาร เพื่อขอให้ช่วยติดตั้งเกมส์นี้ให้ใหม่ แม้ว่าหลังๆมานี่เจ้าต้าร์นำเสนอเกมส์ใหม่ๆก็ไม่ทำให้เปลี่ยนใจได้ ที่ชอบ ชอบตรงที่กราฟฟิกสวย คลาสสิค ชอบตรงที่คอมฯที่เล่นเป็นฝ่ายตรงข้ามเหมือนจะคิดได้เองเป็น ไม่รู้คนเขียนโปรแกรมเขาทำได้อย่างไร ชอบตรงที่เป็นเรื่องราวในยุคเพ้อฝันเหมือนเทพนิยาย เกมส์นี้เป็นเรื่องราวของการสร้างอาณาจักร มีการหาอาหาร การตัดไม้ การขุดทอง การสร้างป้อมปราการ และกองทหาร มีเรื่องสารภาพว่าผมเล่นเกมส์นี้มาห้าหกปี อย่างน้อยอาทิตย์ละสองสามครั้ง แต่นับจำนวนครั้งที่สามารถเอาชนะได้ไม่มากกว่ายี่สิบครั้งเท่านั้น ไปเรียกเจ้าต้ามาช่วยติวให้ก็ชนะเพียงในเกมส์ที่เขานั่งเล่นให้ดู พอเล่นคนเดียวทำอย่างไรก็ไม่ชนะ เจ้าต้าร์เห็นผมเล่นแล้วทายว่า อีกสิบปีพี่ก็ไม่ชนะ ทำไมนะหรือครับ ก็ผมไม่ฆ่าสัตว์ ดังนั้นใน level ที่๑ในระยะสร้างบ้านแปงเมือง ทีมงานของผมก็ตระเวนไปเก็บผักผลไม้ หรือไปขุดทองไปตัดไม้มาสร้างแปลงผัก ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามที่เล่นโดยคอมฯมันเจอช้างฆ่าช้าง เจอกวางล่ากวาง เจอแมวน้ำชำแหละแมวน้ำ แต้มขึ้นพรวดๆกว่าจะค่อยๆเก็บสะสมเสบียงอาหารให้ผ่านขึ้น level๒ ที่สามารถสร้างกองทัพได้ ฝ่ายโน้นเขาขึ้นlevel๓ เรียบร้อย และยกกำลังมาทำลายเมืองเราราบเป็นหน้ากลอง นอกจากไม่สั่งให้ชาวบ้านล่าสัตว์แล้ว ผมยังเสียดายต้นไม้ให้ชาวบ้านตัดฟันเท่าที่จำเป็น ส่วนกองทัพของผมก็ตั้งโปรแกรมให้ทำแค่ป้องกันตัวไม่ให้ก้าวร้าวเที่ยวไปฆ่าใครเขาก่อน และไม่เคยยกกองทัพไปบุกเมืองใดเลย เล่นอย่างนี้นี่เองทำอย่างไรก็ไม่ชนะ เล่นมาได้หกเจ็ดปีท่าจะได้นอกใจ age of mythology ก็คราวนี้
เพราะเมื่อสองสามสัปดาห์ก่อน ไปเจอเกมส์ทำสวนใน facebook เข้า เกมส์นี้ดี เป็นการทำสวนเสมือนจริง ไม่ต้องฆ่าสัตว์ไม่มีศัตรูมาบุก ทำให้ใช้จินตนาการบวกกับการวางแผนการเพาะปลูกได้อย่างเยี่ยมยอด ตั้งใจไว้ว่าจะทำสวนแบบพอเพียง สวนเกษตรผสมผสาน ปลูกพืชหมุนเวียนกับถั่วเพื่อรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดิน เน้นการปลูกไม้ยืนต้นเพื่อลดการไถพรวนดิน ไม่ใช้เครื่องจักรกลไม่เน้นความสวยงาม การตกแต่งประดับประดา เอาเข้าไปนั่นเดี๋ยวเจ้าต้าร์มาเห็นก็จะหัวเราะให้อีก ได้เจอเพื่อนฝูงที่รู้จักมักคุ้นหลายท่านทำสวนในฝันไว้ในนั้นเหมือนกัน การทำสวนนี่ก็สามารถใช้เป็นกุศโลบายที่ผมบังคับให้น้องๆหลานๆได้ฝึกฝนภาษาอังกฤษไปด้วย อย่างน้อยก็จะได้รู้ว่า ฟักแฟงแตงโมรั้วไม้วัวควายแพะแกะเขาเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่าอย่างไร
วันนี้วันเด็กและเยาวชนแห่งชาติของไทย ผู้ปกครองควรสอดส่องลูกหลานให้เล่นเกมส์ที่ประเทืองปัญญาครับ


ว่าด้วยบุญพระเวส วัดโพนไซ

1 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 1 มกราคม 2010 เวลา 11:32 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1778

ไปวัดมาครับ ถือว่าได้โอกาสเข้าวัดทำบุญส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่
เป็นการเข้าสู่ศักราชใหม่ ที่อิ่มอกอิ่มใจ หลังจากที่ผ่านช่วงเวลาแสนยุ่งยากวุ่นวายในช่วงก่อนสิ้นปี
ก็มีทั้งรายงานประจำปี รายงานประจำเดือน งานบุญงานกีฬาต้อนรับปีใหม่ของหลายหน่วยงาน งานแต่งงานเกือบสิบคู่ในรอบสัปดาห์สุดท้ายของปีที่ได้รับบัตรเชิญ ทำเอากระเป๋าแบนไปหลายแสน(กีบ) สามวันสุดท้ายก่อนสิ้นปีนั่งถ่างตาปั่นรายงาน รวมเวลาที่ได้หลับไม่ถึงสองชั่วโมง
ความเหนื่อยล้า บวกกับการได้ข่าวการจัดบุญพระเวสบ้านโพนไซ  ทำให้ผมยกเลิกแผนการเดินทางท่องเที่ยวช่วงวันหยุด ตั้งใจจะอยู่ทำบุญข้ามปี
ตั้งใจจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าช่วงจังหวะไหนควรไป และจะไปร่วมทำบุญอย่างไร ก็ทุกทีเคยแต่ไปตักบาตรตอนเช้า แต่งานบุญพระเวสนี่เขามีตั้งสามสี่วัน เลยไม่รู้ว่าจะไปวันไหนดี ว่าแล้วก็สอบถาม ซักถามคนรอบข้าง ปรากฏว่าถามสิบคนก็ได้คำตอบสิบอย่าง แต่ที่แน่ๆทุกรายล้วนชวนไปกินเบียร์งานบุญพระเวสที่บ้าน ประมวลคำตอบแล้ว สรุปได้ว่า สำหรับคนหงสารุ่นใหม่ที่อายุสี่สิบห้าปีลงมา งานบุญพระเวส เป็นงานรื่นเริงเฉลิมฉลองอย่างหนึ่ง ที่มีการไปเก็บดอกไม้ป่ามาประดับวัด(พร้อมกับการกินเหล้า) การตั้งกองบุญที่บ้าน(กินเหล้ามากกว่าเก่า) การแห่ครัวทานเข้าวัด(เมามาย) จากนั้นก็มอบให้เป็นบทบาทของพระและผู้เฒ่าผู้แก่ไม่กี่คน ส่วนคนหน่มสาวก็ถือว่าหมดหน้าที่
นั่นทำให้ผมต้อง(แอบ)สังเกต และเข้าไปร่วมกิจกรรมอย่างตั้งใจ เพื่อที่จะบันทึกไว้ถ่ายทอดก่อนที่ความหมายที่แท้จริง และประเพณีที่งดงามจะเลือนหาย สิ่งที่ผมพบเห็นเป็นดังนี้
ขั้นตอนของบุญพระเวส บ้านโพนไซ เมืองหงสา
ก่อนวันแรก ประมาณ ๑ศีลใหญ่(๑๕วัน) บรรดาแม่บ้านวัยคุณป้าจะพากันพาดผ้าเบี่ยงไปเล่าบุญ บอกบุญตามหมู่บ้านต่างๆทั่วเมืองหงสา
วันเรก ๒๙ธันวา วันเก็บดอกไม้ป่า หนุ่มสาวจะพากันออกไปหาเก็บดอกไม้จากป่าชายบ้านนำมาที่วัด น้ำเมามีการบทบาท ตั้งแต่วันนี้ คนสูงวัยเล่าว่าสมัยก่อนวันเก็บดอกไม้หนุ่มสาวจะถือโอกาสได้พบปะอยู่กันตามลำพังห่างจากสายตาผู้ใหญ่ เป็นความทรงจำที่งดงามที่ได้ฟังจากป้าๆทั้งหลาย
วันที่ ๓๐ ธันวา วันประดับประดาวัด เตรียมข้าวของเครื่องใช้ในพิธี ตอนเย็นมีการแห่พระอุปคุตมาจากท่าน้ำ ด้วยความเชื่อว่าอัญเชิญท่านมาช่วยคุ้มครองให้งานบุญราบรื่น ส่วนที่บ้านที่เป็นเจ้าศรัธทาที่ตั้งกองบุญ (ปกติจะมีประมาณ ๒๐  กอง) จะเริ่มแต่งดาเครื่องไทยทาน แน่นอนงานเลี้ยง น้ำเมา ดนตรี ครบถ้วน เพื่อต้อนรับเพื่อนบ้านที่มาร่วมทำบุญ เรียกว่าการงัน(ฉลอง)กัณฑ์เทศน์
วันที่ ๓๑ธันวา ที่บ้านกองบุญมีการ “งัน”กันอย่างต่อเนื่องจนถึงยามบ่าย พอถึงเวลา

  • ตอนเที่ยงมีพิธีฮดสรงน้ำพระเณรที่วัด
  • ๔โมงเย็นก็เริ่มเคลื่อนขบวนแห่กัณฑ์ที่ประดับประดาอย่างสวยงามไปรวมกันที่วัดถวายทาน
  • จากนั้นก็หมดภาระของคนหนุ่มสาว เป็นเรื่องราวที่ผมต้องไปตามดูเองแล้วละครับ
  • ๑ ทุ่มผมพาดผ้าเบี่ยงหลบหลีกวงเลี้ยงฉลองส่งท้ายปีเก่าเกือบสิบแห่งที่พยายามเชิญชวนฉุดรั้งให้ร่วมวงด้วย ในที่สุดก็ลัดเลาะมาถึงวัดจนได้
  • ที่ศาลาวัดวันนี้ประดับประดาสวยงาม โดยเฉพาะแท่นที่พระนั่งสวดวันนี้มีผ้าขาวกางกั้นสีขาวบริสุทธิ์มีอุบาสก อุบาสิกาวัยย่างเจ็ดสิบปีนุ่งขาวหม่ขาวราวยี่สิบคนนั่งพนมมือฟังพระสองรูปสวดอยู่ ข้างหน้าของแต่ละท่านมีพานดอกไม้ธูปเทียน และจุดเทียนไว้ตลอดเวลา ผมเข้าไปนั่งข้างพ่อเฒ่าสองท่านที่นั่งกำกับฆ้องและกังสดารอยู่ ท่านหันมารับไหว้บอกว่ากำลังเริ่มกัณฑ์บั้นต้น เดี่ยวจบผูกนี้แล้วให้รอดูเขาจุดบอกไฟดอกนั่งได้สักพักเห็นมีคุณป้าคุณยายที่ไม่ได้นุ่งขาว ทยอยกันพาดผ้าเบี่ยงถือพานเข้ามาร่วมฟังเทศน์ด้วย แต่ท่านไม่ได้ขึ้นมาบนศาลามณฑลพิธี เพียงแต่เอาเสื่อมาปูรอบๆชายคา
  • ระหว่างฟังพระสวด มีแม่บ้านเอาน้ำขมมาบริการ เป็นน้ำต้มใส่บอระเพ็ดกับเกลือ
  • พระสวดจบแรก ที่คุณตาบอกว่าเป็นบทบั้นต้นจบ มีการย่ำฆ้อง และตีกังสดาร แล้วก็อาราธนาบทสวดที่สอง คุณตาบอกว่าสวดอิติปิโส ในขณะเดียวกันที่ลานวัดมีการจุดบั้งไฟดอก ถึงตอนนี้ไม่รู้คนหนุ่มสาวจากไหนกัน มาเฮบั้งไฟดอกกันอย่างสนุกสนาน ปีนี้มีศัรธทาถวายบั้งไฟ ๓ อันใหญ่ๆ เมื่อจุดเสร็จคนหนุ่มสาวก็ไปตักบาตรสวรรค์ ปีนี้ทางวัดท่านยกติ้วเซียมซีมาที่หอตักบาตรสวรรค์ด้วย
  • ระหว่างที่มีการจุดบั้งไฟ บนศาลาพระท่านก็สวดบทอิติปิโส แบบสวดคู่ต่อไป บทสวดจบหลังการจุดบั้งไฟนานพอควร ส่วนผมตอนนี้รับหน้าที่ต่อเทียนให้คุณตาสามสี่ท่าน แต่ละท่านมีพานจุดเทียนของตนเอง เทียนไขเล่มเล็กสีเหลืองจุดไม่ถึงสิบนาทีก็ไหม้หมดต้องรีบจุดเล่มใหม่ คราวนี้คุณตาตีฆ้องคุมคิวคงเห็นว่านั่งทนได้ เลยชวนอยู่ต่อให้ฟัง “บทสังกาด”ก่อน(เขียนตามคำบอกไม่ทราบที่จริง สัง-กาด เขียนอย่างไร) คุณตาคุณยายรอบๆข้างก็เชียร์ว่าให้อยู่ฟังก่อน เพราะเป็นบทสำคัญมาก
  • บทสังกาด สวดเดี่ยวโดยพระรูปใหม่ คราวนี้เป็นภาษาลาวพอฟังออก สลับด้วยคาถาบาลีเป็นช่วงๆ สำเนียงและเสียงของท่านน่าฟังมาก บางตอนมี โอ้ละหนอเล่นลูกคอลูกเอื้อนราวกับหมอลำทางยาว แต่ก็ไม่มากจนทำให้ขาดความขลัง เท่าที่ฟังไปนั่งต่อเทียนไปจับใจความได้ว่า เป็นคำกล่าวถึงที่ไปที่มาของการเทศน์มหาชาติ กล่าวถึงพญามารมาผจญพระพุทธองค์ มีพระแม่ธรณีมาบีบมวยผมให้น้ำท่วม แล้วก็กล่าวถึง ๕พันขวบพรรษาที่พระพุทธองค์มาโปรด ว่าคิดเป็นกี่วันพระใหญ่ วันพระย่อย ประมาณนั้น
  • ระหว่างฟังสวดมีคุณนายรองเจ้าเมืองมาเป็นเจ้าภาพเลี้ยงกาแฟอุ่นๆ สวดบทนี้ใช้เวลานานจนถึงสามทุ่มกว่า แล้วคุณตาก็บอกให้ผมกลับ เพราะเขาเมืองเขาเคอร์ฟิวสี่ทุ่มเดี่ยวโดนจับ ส่วนด้านบนเณรกำลังสวดอีกสองผูกคือมาลัยหมื่น กับมาลัยแสน
  • ผมแวะไปตักบาตรสวรรค์ เณรจับเซียมซีให้ได้หมายเลข ๘ ” ใบที่แปด มโหสถกับต่าว อุสาปะ อำพอนเป็นร้าง ท่านนี้ช่าง หนีจากพงพันธุ์ คิดถึงกัน แสนทุกข์แสนโศก ภัยและโรคบ่มาเบียดเบียน” สาธุ
  • ส่วนบรรดาคุณตาคุณยายทั้งหลายท่านเตรียมเครื่องนอนมานอนเฝ้ากัณฑ์ ท่านบอกว่าตีสามจะปลุกพระขึ้นมาเริ่มสวดพระเวสกัณฑ์แรก เริ่มต้นจากทศพร ไป หิมพานต์ เรื่อยๆไปจนจบที่กัณฑ์นครรวม ๑๖กัณฑ์ หากเริ่มสวดตีสามจะจบเอาตอนสี่โมงเย็น
  • ผมคงตื่นไปฟังสวดตั้งแต่กัณฑ์แรกไม่ไหว จึงฝากเงินคุณตาไว้ยี่สิบใบ วานช่วยใส่กัณฑ์เทศน์ทุกๆตอน ท่านจึงเรียกเอาบรรดาพ่อขาวแม่ขาวทั้งหลายมาให้พรเสียยืดยาว
  • ท่านบอกว่าพรุ่งนี้ว่างให้มาฟังได้ตลอดวัน แต่จะให้ดีให้เตรียมด้ายมาด้วย เพราะหากตั้งใจฟังพระสวดหากท่านสวดถึงตอนที่เป็นภาษาบาลี หรือคาถาให้ขอดด้ายไว้หนึ่งขอด เมื่อฟังจนจบให้มาดูว่าขอดได้ครบตามจำนวนคาถารึเปล่า เป็นกุศโลบายที่ท่านอยากให้ตั้งใจฟังจิตใจไม่วอกแวก

๑ มกรา ผมตื่นไปวัดอีกครั้ง ฟังพระสวดกัณฑ์จุลพล และกัณฑ์มหาพลแล้วก็กลับมาด้วยความอิ่มบุญ
ร่วมรับบุญปีใหม่กับผมนะครับ

 



Main: 0.11946606636047 sec
Sidebar: 0.014878988265991 sec