ขีดเขียนวันซึมเศร้า

2 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 27 พฤศจิกายน 2008 เวลา 7:57 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1446

….เหลือเพียงปีกบางรุ่งริ่ง
สีสันสดสวยที่เคยแต่งแต้ม…หลุดหาย
เคยโบกบินล้อลม…ต้องมาตะเกียกตะกาย
รอความตายอย่างเหนื่อยล้า..น่าอนาถ

เปรียบเหมือนบ้านเมืองไทยในวันนี้
ทะเลาะกันทำป่นปี้ไปทั้งชาติ
กูต้องได้..กูสิถูก..กูเก่งกาจ
ปล่อยให้ชาติล่มจม..ช่างหัวมัน

ลูกหลานเด็กน้อยไร้เดียงสา
ดูแววตาร่าเริงสุขสันต์
ต้องมา”ซวย”ด้วยผู้ใหญ่ทะเลาะกัน
คงสักวันเขาจะด่าว่าพวกเรา

“พิคะเนดงาคำ”…องค์มีฤิทธิ์
ช่วยประสิทธิ์…ปัญญาให้พวกเขา
ให้หายจาก..กระโหลกหนาปัญญาเบา
ให้พวกเขา…สามัคคีมีน้ำใจ

 


รับลมหนาวที่ลาวเหนือ (๑) ทวนกระแสน้ำของ จากท่าซ่วงไปปากแบง

2 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 17 พฤศจิกายน 2008 เวลา 1:25 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2482

ปฐมบทของบันทึกการท่องเที่ยวเชิงวิพากษ์ รอบนี้ของผมเริ่มต้นที่บ้านท่าซ่วง เมืองหงสา ไปขึ้นฝั่งที่บ้านปากแบงเมืองฮุน แขวงอุดมไซครับ
เช้าวันเดินทางร้านเจ้าประจำที่หงสาเสริฟข้าวเหนียวกับไส้อั่ว แทนที่จะเป็นข้าวเหนียวกับไข่ดาว เหตุเพราะระยะนี้หงสาขาดแคลนไข่นั่นเอง โรคไข้หวัดสัตว์ปีกระบาด ทางเมืองเขาจึงห้ามการซื้อขายไข่ในตลาด แต่ไม่ว่าจะเป็นไส้อั่วหรือไข่ดาวก็ทำให้ท้องอิ่มก่อนการเดินทางไกลได้
ใช่ครับผมจะท่องเที่ยวไปรับลมหนาวในลาวเหนือ ตามไปเที่ยวด้วยกันนะครับ
รถของโครงการมารับที่บ้านพักเวลา ๗:๓๐น. ค่อยๆพาแล่นฝ่าม่านหมอกหนาบนเส้นทางที่คดโค้งราว ๓๕ กม. ใช้เวลาเดินทางเกือบหนึ่งชั่วโมง ก็พาผมมาถึงบ้านท่าซ่วงริมฝั่งแม่น้ำโขง จุดเริ่มต้นของการเดินทางไปยังเมืองสิงจุดมุ่งหมายของผมในครั้งนี้ บ้านท่าซ่วงเคยเป็นประตูออกสู่โลกภายนอกเพียงแห่งเดียวของเมืองหงสามาช้านาน จนกระทั่งเมื่อมีการตัดถนนจากเมืองหงสา เชื่อมกับชายแดนไทย และแขวงหลวงพระบาง ปัจจุบันถึงแม้นจะมีถนนแล้ว แต่ความนิยมเดินทางด้วยเรือตามแม่น้ำโขงของพี่น้องชาวหงสาก็ไม่ได้ลดน้อยลงแต่ประการใด จากท่าซ่วงหากล่องไปตามน้ำสามารถไปได้ถึงหลวงพระบาง ท่าเดื่อ(ไชยบุรี) ปากลาย และเวียงจันทน์ ถ้าหากทวนน้ำขึ้นไปจะเป็น เมืองปากแบง ห้วยทราย(แขวงบ่อแก้ว) จนถึงเชียงรุ้งได้ เรือโดยสารมีตั้งแต่ขนาดร้อยกว่าที่นั่งไปจนถึงเรือเร็วประเภทเช่าเหมาลำ ผมถามถึงเรือไปปากแบง ชาวเรือบอกบอกว่ามีหลายประเภทหลายราคา หากจะรอเรือเร็วที่ออกตามคิวค่าโดยสารคนละ ๓๕ พันกีบแต่อาจได้ออกตอนสายๆ หรือหากจะเหมาเรือเร็วไปเลยเขาคิดค่าเหมาเรือ ๒แสน๕หมื่นกีบ(๑พันบาท) ระยะทางไม่กี่สิบกม.ใช้เวลาเดินทางไม่ถึงครึ่งชั่วโมง กำลังชั่งใจว่าจะเอาอย่างไหนดี พอดีมีเจ้าของเรือใหญ่ขนาดหนึ่ง๘๐ที่นั่ง เสนอว่าพอดีเรือจะตีขึ้นไปรับแขกฝรั่งที่ห้วยทรายหากให้เขา ๑แสน๕หมื่นเขาจะอาสาไปส่ง ให้ เลยรีบตกลงไปกับเจ้านี้

นั่งเรือใหญ่ราวกับเป็นเศรษฐีค่อยๆทิ้งท่าซ่วงไว้เบื้องหลัง เรือเขามีเบาะนั่งเหมือนรถทัวร์ มีห้องน้ำห้องท่าสะอาดสะอ้าน ครอบครัวเจ้าของเรือมีพ่อแม่และลูกชายวัยรุ่นสองคน คุยกับอ้ายคนพ่อเล่าว่า ปกติก็วิ่งคิวหลวงพระบางห้วยทราย แต่ฤดูท่องเที่ยวอย่างนี้มักมีงานเหมาเข้ามาบ่อย ดังเช่นคราวนี้ที่บริษัททัวร์เช่าเหมาให้ขึ้นไปรับนักท่องเที่ยวชาวฝรั่ง ที่เมืองห้วยทราย(ตรงข้ามกับเชียงแสน) สองคน ขาขึ้นเขาค่อยๆขึ้นมาเพราะไม่อยากสิ้นเปลืองน้ำมันเลยต้องแวะนอนรายทางสองคืน ส่วนขาล่องจะแวะค้างคืนที่ปากแบงเพียงคืนเดียว
แอบถามราคาค่าเหมาเรือแต่ละเที่ยว อ้ายเขาบอกแต่เพียงว่าก็พอเหลือเก็บ ก็แหงละสิเที่ยวนี้ได้จากผมไปอีกกว่าหกร้อยบาท เรือผ่านบ้านปากงึมอ้ายบอกว่าขอแวะเอาของที่บ้านญาติหน่อย ผมรีบสนับสนุน เพราะอยากมาดูบ้านปากงึมมานานแล้วครั้งนี้ถือเป็นโอกาส ปากงึมคือบริเวณที่แม่น้ำงึมไหลลงสู่แม่น้ำโขง ผมรู้สึกคุ้นเคยกับปากงึมเพราะว่า น้ำแก่นอันเป็นแม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่านเมืองหงสาแล้วไหลไปรวมกับน้ำงึมก่อนที่จะไหลลงแม่น้ำโขง แวะทักทายปากงึมหน่อยก็ดีเหมือนกัน เผื่อจะเจอกับสายน้ำแก่นชาวหงสาบ้านเดียวกัน บ้านปากงึมวันนี้มีเรือแพมาจอดหลายลำ มองไปบนตลิ่ง อ้อเขามีตลาดนัดริมโขงนั่นเอง

จากปากงึมเรือลำใหญ่แต่มีผู้โดยสารเพียงคนเดียวค่อยๆแล่นทวนน้ำขึ้นไปปากแบง  ใจผมเริ่มร้อนนิดๆ เกรงจะไม่ทันรถเที่ยวเที่ยงวัน(เที่ยวสุดท้ายที่จะไปอุดมไชย) แต่ก็ไม่กล้าบอกอ้ายเพิ่นเร่งเครื่อง
ก็ลาวกับไทยผลิตน้ำมันไม่ได้เหมือนกันนี่ครับ เขาประหยัดน้ำมันก็ควรสนับสนุนเขา ยิ่งตอนนี้เจ้าลูกชายมาถือพังงาบังคับเรือเปลี่ยนให้พ่อไปกินข้าว ยิ่งใจเย็นอ่านร่องน้ำทุกร่อง ช่างเป็นวัยรุ่นที่ไม่ชอบความเร็วเหมือนวัยโจ๋ซิ่งแมงกะไซด์บ้านเราเลยพ่อคุณเอ๋ย
พี่อ้ายคนพ่อเสร็จจากกินข้าวก็มานั่งดูดยาคุยกับผม พอถามถึงการเปลี่ยนแปลงของน้ำโขงในระยะหลังจากที่มีการปิดเขื่อนทางต้นน้ำ พี่อ้ายในฐานะที่ใช้ชีวิตขึ้นล่องกินนอนในแม่น้ำโขงมากกว่าอยู่บนบกเล่าให้ฟังว่า “น้ำโขงเดี๋ยวนี้มันไม่มีฤดูแล้ว” “แต่ก่อนพอถึงหน้าน้ำมากน้ำก็มา พอถึงเวลาน้ำน้อยน้ำก็ลด
แต่ละปีจะเหมือนกันตลอด” “แต่เดี๋ยวนี้เขานึกอยากปล่อยน้ำมายามใดเขาก็ปล่อย อาชีพปลูกผักปลูกถั่วสิสงแถวชายหาด ถูกน้ำท่วมเสียหาย เดือดร้อนกันตลอดทุกบ้านทุกคุ้ม แวะจอดท่าไหนก็มีแต่เสียงบ่น”
นี่เป็นเสียงสะท้อนจากพยานที่รู้เห็นความเป็นไปของ “แม่ของ” ถึงแม้นจะเป็นเสียงเล็กๆที่ขาดสถิติ ไร้หลักฐานยืนยัน แต่ใจผมก็โอนเอียงไปทางเชื่อ เชื่อเพราะอ้ายเพิ่นอยู่กับแม่น้ำโขงมาตลอด เชื่อในสิ่งที่อ้ายพบเห็น
นี่เป็นเพียงตัวอย่างเพียงหนึ่งเดียว ในหลายร้อยพันตัวอย่าง ที่เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ได้แสดงถึงผลที่ตามมาจากสิ่งที่มวลมนุษยชาติได้กระทำต่อธรรมชาติ ซึ่งมีวิถีของธรรมชาติ แล้วผลที่ตามมาก็คือความเดือดร้อนของคนเล็กๆทางปลายเหตุ
เมื่อมวลมนุษยชาติพากันไปปรับเปลี่ยนธรรมชาติ แล้วมวลมนุษย์ก็ไปกล่าวโทษว่าธรรมชาติวิปริต แปรปรวน ไม่ว่าจะเป็น ฝนฟ้าที่ตกผิดฤดูกาล ฝนมากน้ำท่วม ฝนน้อยน้ำแล้ง พายุลูกเห็บ พายุฤดูร้อน ไฟป่า ทอร์นาโด ดินถล่ม และนานาวิบัติภัยธรรมชาติ ที่สร้างความเดือดร้อนให้มวลมนุษย์
โธ่เอ๋ย…มนุษย์
ไม่รู้จักโทษตัวเอง


บันทึกแฉตัวเอง คุณ เปลี่ยนศรี(สี)

9 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 12 พฤศจิกายน 2008 เวลา 3:45 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2032

บันทึกแฉตัวเอง คุณ เปลี่ยนศรี(สี)
ผมเคยได้รับคำชมจากน้องๆที่เคยร่วมงานว่า “พี่เนี่ยเหมือนจิ้งจก..เปลี่ยนสีไปได้เรื่อย”
นี่ถือเป็นคำชมนะเนี่ย ฮึ่ม! ฝากไว้ก่อนเจ้าหมิว เจ้าดา เจ้าต้า เจ้า….

ย้อนกลับมาดูตนตัว เออก็ถูกของน้องๆเขา

สิ่งแรกที่สุดที่ว่าใช่ก็คือ ผมเป็นคนลิ้นอ่อนเหมือนนกขุนทอง อยู่ใกล้ใครก็พูดสำเนียงพื้นถิ่นของคนนั้น
อันนี้สาบานได้ว่าไม่ได้ตั้งใจดัด ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าสำเนียงตัวเองเปลี่ยนไป จนมีคนมาทักถึงได้รู้ความจริง
อยู่ดงหลวงพูดผู้ไท สลับภาษาลาวดงหลวง

อยู่หงสาพูดลาวย้อสลับกับลื้อ

ข้อถัดไปคือ ผมคุยกับคนได้ทุกประเภท (ไม่ว่าเสื้อเหลืองเสื้อแดง) แต่จะหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง และข้อที่จะขัดใจ
โดยยกประเด็นที่ใจเรายอมรับออกมาคุยกัน

  • ผมคุยกับนักพัฒนากับเอ็นจีโอได้เป็นวันๆอย่างไม่ขัดเขิน คุยด้วยใจ ด้วยอุดมการณ์เดียวกัน
  • ผมไปหาพี่ทีปกรณ์ที่ดงหลวงทีก็คุยกันจนลิงหลับ
  • ผมไปคุยกับพ่อๆไทบรูเรื่องการทำมาหากินการปลูกพืชปลูกผัก เรื่องป่าเรื่องเขาได้อย่างสนุกสนาน
  • ผมไปคุยกับแม่บ้าน เรื่องผักกาดดอง เรื่องผงนัว เรื่องทอผ้า เรื่องชาผักหวาน จนเขาตกลงปลงใจมาร่วมกลุ่ม

ย้ำอีกครั้งว่าผมมีความจริงใจทุกคำพูด

  • แต่ผมก็ไปคุยกับผู้ประกอบการเจ้าของโรงงานได้เป็นวรรคเป็นเวรเหมือนกัน จนเขาหลวมตัวจะชวนไปร่วมหุ้นร่วมกิจการ

ผมก็มีจุดยืนในการพูดคุยว่ากิจการที่ว่าต้องไม่เอาเปรียบใคร และไม่เอาเปรียบธรรมชาติด้วย

ผมเคยไปสัมนาการสร้างเขื่อนโครงการหนึ่ง ด้วยรูปแบบการแต่งตัว ผ้าฝ้ายยับๆผมยาวหนวดเคราหรอมแหรม สะพายย่าม ทำให้กลุ่มพี่น้องฝ่ายต่อต้านเรียกไปนั่งรวมกลุ่มด้วย นั่งกินข้าวกลางวันด้วย แต่พอภาคบ่ายผมขึ้นนำเสนอแผนการจ่ายค่าชดเชยในฐานะคอนเซ้าท์ หลังจากนั้นพี่น้องกลุ่มนั้นไม่มองหน้าผมอีกเลยตลอดการประชุม

จุดยืนของผมคือ การไม่เปลี่ยนจุดยืน
ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน เราต้องรู้ตัวว่าเรากำลังทำอะไรอยู่
และเราต้องทำตัวให้กลมกลืนกับท้องถิ่น กับสังคมรอบข้าง โดยที่ไม่ทิ้งจุดยืนของตัวเอง
ผมว่าความกลมกลืน เป็นจุดเริ่มต้นแห่งสมานฉันท์

ผมเป็นนักฉวยโอกาส ที่พยายามสร้างและหาความสุขจากการทำงาน
และยังเป็นนักปรุงฝัน เพื่อปลุกประโลมใจให้การทำงานของตัวเองสำเร็จ
นั่นหมายความว่า ผมเป็นคนรู้จัก(พยายาม)คิดดี คิดชอบ คิดในทางบวก

  • ผมได้เป็นส่วนหนึ่งในทีมประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการเหมือง เขื่อน โรงงาน ผมก็ใช้โอกาสเขียนมาตรการ(บังคับ)เจ้าของโครงการให้ปฏิบัติตามหลักวิชาการ ให้ช่วยลดความเดือดร้อนต่อคนสัตว์สิ่งอ้อมตัว ทำอย่างนี้ได้ผมก็มีสุขแล้ว
  • ผมได้ทำงานด้านวางแผนโยกย้ายผู้คนชุมชน ผมก็ใช้โอกาสในการประเมินราคาค่าชดเชยให้เหมาะสมให้เป็นธรรมกับชาวบ้าน พร้อมวางแผนฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของพี่น้องให้รัดกุม ผมก็คิดว่าผมได้ทำดีแล้ว
  • ผมได้ทำงานวางแผนฟื้นฟูสภาพเหมืองแร่ ผมก็คิดว่าเป็นโอกาสดีของตัวเอง ที่ได้มีส่วนในการซ่อมแซมกอบกู้ระบบนิเวศให้กลับคืนสู่ธรรมชาติ อย่างน้อยผมก็ตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น
  • ผมได้ทำงานด้านพัฒนาชุมชนร่วมกับอ้ายน้องเอ็นจีโอ นี่ถือว่าสุดยอด เกิดปิติสุขแบบไม่ต้องปรุงแต่ง

ผมเรียนรู้อย่างไร ผมเรียนรู้ด้วยการเปิด
เปิดใจ รับทุกสิ่งที่ผ่านตา ไม่ทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว ไม่เป็นชาล้นถ้วย
ผมอ่านหนังสือทุกประเภท นิตยสาร ประวัติศาสตร์ พงศาวดาร นวนิยาย กำลังภายใน ท่องเที่ยว ภูมิศาสตร์ ปรัชญา ธรรมะ และคำสอนทุกศาสนา แม้กระทั่งกวีนิพนธ์
ผมนำความรู้มาใช้ประโยชน์ ให้ถูกกาละ

  • ศัพท์แสงความรู้ที่ได้ร่ำเรียนสมัยเป็นนักเรียนผู้ช่วยพยาบาล สามารถนำมาใช้ตรวจแก้งานอีไอเอในบทว่าด้วยการประเมินสาธารณสุขได้
  • ความรู้เรื่องเมืองโบราณสามารถนำไปเลือกแนวสายทางที่จะตัดถนนได้
  • วิชาผักกาดดองที่แม่สอนไว้สามารถนำมาสอนแม่บ้านที่ดงหลวงได้

อันนี้เป็นตัวอย่างการบูรณาการองค์ความรู้

กลมกลืน(เปลี่ยนสี) ปรุงฝัน เรียนรู้
เป็นศิลปะในการดำรงชีวิตของผมครับ
นี่ถ้าไม่ใช่ท่านครูบาร้องขอไม่ยอมเผยบันทึกที่ยกตัวเองบันทึกนี้นะคร๊าบ


ท้องฟ้าสีอะไร ใจสงบเป็นเช่นใด

2 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 10 พฤศจิกายน 2008 เวลา 11:08 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3347


ท้องฟ้า….สีครามงามสง่า..ลึกล้ำ
ท้องฟ้า….สีฟ้าใส…กระจ่างสวย
ท้องฟ้า…สีทอง…รองเรืองอร่าม
ท้องฟ้า….สีเทาหม่น…มัวหมอง
แท้จริงแล้ว..ท้องฟ้าสีอะไร
ขอบฟ้าอยู่ที่ไหน…ขอบฟ้าอยู่ที่ใจ…ขอบฟ้าไม่มีจริง
ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนสี ไปตามแสงหักเหแสงสะท้อน
ฟ้าใสฟ้ามัวฟ้าหลัว..ด้วยมีเมฆมีหมอกมีควันมาบดบัง
ใจคน….เปรียบดั่งท้องฟ้า
มีอารมณ์ อ่อนไหว….วูบเผลอไปกับสิ่งเร้า
โศกเศร้าเหงาหงอย…. ยามผิดหวัง
ห่วงหาอาวรณ์….ยามพลัดพลาก
เริงรื่นกระชุ่มกระชวย…ยามมีสุข
อิ่มเอิบ ปิติ เมื่อได้บอกตนเองว่า..ได้ทำกรรมดี
นิ่งสงบ โปร่งปลอด เมื่อได้ตกตะกอนความคิด….เมื่อได้ทำสมาธิ
แท้จริงแล้วจิตใจที่สงบ ไร้สิ่งรบกวนนั้นเป็นเช่นไรหนอ

จิตพิสุทธิ์ที่แท้…เป็นเช่นไร



Main: 0.053174018859863 sec
Sidebar: 0.021842002868652 sec