บันทึกแฉตัวเอง คุณ เปลี่ยนศรี(สี)
ผมเคยได้รับคำชมจากน้องๆที่เคยร่วมงานว่า “พี่เนี่ยเหมือนจิ้งจก..เปลี่ยนสีไปได้เรื่อย”
นี่ถือเป็นคำชมนะเนี่ย ฮึ่ม! ฝากไว้ก่อนเจ้าหมิว เจ้าดา เจ้าต้า เจ้า….
ย้อนกลับมาดูตนตัว เออก็ถูกของน้องๆเขา
สิ่งแรกที่สุดที่ว่าใช่ก็คือ ผมเป็นคนลิ้นอ่อนเหมือนนกขุนทอง อยู่ใกล้ใครก็พูดสำเนียงพื้นถิ่นของคนนั้น
อันนี้สาบานได้ว่าไม่ได้ตั้งใจดัด ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าสำเนียงตัวเองเปลี่ยนไป จนมีคนมาทักถึงได้รู้ความจริง
อยู่ดงหลวงพูดผู้ไท สลับภาษาลาวดงหลวง
อยู่หงสาพูดลาวย้อสลับกับลื้อ
ข้อถัดไปคือ ผมคุยกับคนได้ทุกประเภท (ไม่ว่าเสื้อเหลืองเสื้อแดง) แต่จะหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง และข้อที่จะขัดใจ
โดยยกประเด็นที่ใจเรายอมรับออกมาคุยกัน
- ผมคุยกับนักพัฒนากับเอ็นจีโอได้เป็นวันๆอย่างไม่ขัดเขิน คุยด้วยใจ ด้วยอุดมการณ์เดียวกัน
- ผมไปหาพี่ทีปกรณ์ที่ดงหลวงทีก็คุยกันจนลิงหลับ
- ผมไปคุยกับพ่อๆไทบรูเรื่องการทำมาหากินการปลูกพืชปลูกผัก เรื่องป่าเรื่องเขาได้อย่างสนุกสนาน
- ผมไปคุยกับแม่บ้าน เรื่องผักกาดดอง เรื่องผงนัว เรื่องทอผ้า เรื่องชาผักหวาน จนเขาตกลงปลงใจมาร่วมกลุ่ม
ย้ำอีกครั้งว่าผมมีความจริงใจทุกคำพูด
- แต่ผมก็ไปคุยกับผู้ประกอบการเจ้าของโรงงานได้เป็นวรรคเป็นเวรเหมือนกัน จนเขาหลวมตัวจะชวนไปร่วมหุ้นร่วมกิจการ
ผมก็มีจุดยืนในการพูดคุยว่ากิจการที่ว่าต้องไม่เอาเปรียบใคร และไม่เอาเปรียบธรรมชาติด้วย
ผมเคยไปสัมนาการสร้างเขื่อนโครงการหนึ่ง ด้วยรูปแบบการแต่งตัว ผ้าฝ้ายยับๆผมยาวหนวดเคราหรอมแหรม สะพายย่าม ทำให้กลุ่มพี่น้องฝ่ายต่อต้านเรียกไปนั่งรวมกลุ่มด้วย นั่งกินข้าวกลางวันด้วย แต่พอภาคบ่ายผมขึ้นนำเสนอแผนการจ่ายค่าชดเชยในฐานะคอนเซ้าท์ หลังจากนั้นพี่น้องกลุ่มนั้นไม่มองหน้าผมอีกเลยตลอดการประชุม
จุดยืนของผมคือ การไม่เปลี่ยนจุดยืน
ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน เราต้องรู้ตัวว่าเรากำลังทำอะไรอยู่
และเราต้องทำตัวให้กลมกลืนกับท้องถิ่น กับสังคมรอบข้าง โดยที่ไม่ทิ้งจุดยืนของตัวเอง
ผมว่าความกลมกลืน เป็นจุดเริ่มต้นแห่งสมานฉันท์
ผมเป็นนักฉวยโอกาส ที่พยายามสร้างและหาความสุขจากการทำงาน
และยังเป็นนักปรุงฝัน เพื่อปลุกประโลมใจให้การทำงานของตัวเองสำเร็จ
นั่นหมายความว่า ผมเป็นคนรู้จัก(พยายาม)คิดดี คิดชอบ คิดในทางบวก
- ผมได้เป็นส่วนหนึ่งในทีมประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการเหมือง เขื่อน โรงงาน ผมก็ใช้โอกาสเขียนมาตรการ(บังคับ)เจ้าของโครงการให้ปฏิบัติตามหลักวิชาการ ให้ช่วยลดความเดือดร้อนต่อคนสัตว์สิ่งอ้อมตัว ทำอย่างนี้ได้ผมก็มีสุขแล้ว
- ผมได้ทำงานด้านวางแผนโยกย้ายผู้คนชุมชน ผมก็ใช้โอกาสในการประเมินราคาค่าชดเชยให้เหมาะสมให้เป็นธรรมกับชาวบ้าน พร้อมวางแผนฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของพี่น้องให้รัดกุม ผมก็คิดว่าผมได้ทำดีแล้ว
- ผมได้ทำงานวางแผนฟื้นฟูสภาพเหมืองแร่ ผมก็คิดว่าเป็นโอกาสดีของตัวเอง ที่ได้มีส่วนในการซ่อมแซมกอบกู้ระบบนิเวศให้กลับคืนสู่ธรรมชาติ อย่างน้อยผมก็ตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น
- ผมได้ทำงานด้านพัฒนาชุมชนร่วมกับอ้ายน้องเอ็นจีโอ นี่ถือว่าสุดยอด เกิดปิติสุขแบบไม่ต้องปรุงแต่ง
ผมเรียนรู้อย่างไร ผมเรียนรู้ด้วยการเปิด
เปิดใจ รับทุกสิ่งที่ผ่านตา ไม่ทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว ไม่เป็นชาล้นถ้วย
ผมอ่านหนังสือทุกประเภท นิตยสาร ประวัติศาสตร์ พงศาวดาร นวนิยาย กำลังภายใน ท่องเที่ยว ภูมิศาสตร์ ปรัชญา ธรรมะ และคำสอนทุกศาสนา แม้กระทั่งกวีนิพนธ์
ผมนำความรู้มาใช้ประโยชน์ ให้ถูกกาละ
- ศัพท์แสงความรู้ที่ได้ร่ำเรียนสมัยเป็นนักเรียนผู้ช่วยพยาบาล สามารถนำมาใช้ตรวจแก้งานอีไอเอในบทว่าด้วยการประเมินสาธารณสุขได้
- ความรู้เรื่องเมืองโบราณสามารถนำไปเลือกแนวสายทางที่จะตัดถนนได้
- วิชาผักกาดดองที่แม่สอนไว้สามารถนำมาสอนแม่บ้านที่ดงหลวงได้
อันนี้เป็นตัวอย่างการบูรณาการองค์ความรู้
กลมกลืน(เปลี่ยนสี) ปรุงฝัน เรียนรู้
เป็นศิลปะในการดำรงชีวิตของผมครับ
นี่ถ้าไม่ใช่ท่านครูบาร้องขอไม่ยอมเผยบันทึกที่ยกตัวเองบันทึกนี้นะคร๊าบ