ธรรม(ทำ)มะ(ดา) จากเรื่องวุ้นๆ
หาวิธีคลายเครียดจากข่าวน้ำท่วม อยู่ที่ทำงานก็เปิดเน็ตเช็คข่าวตลอด บางวันก็หาเหตุกลับเร็วกว่ากำหนดแวะซื้อข้าวเย็น แล้วไปนั่งเฝ้าหน้าจอโทรทัศน์ วันๆไม่พูดไม่จากับใครนอกจากเรื่องน้ำท่วม แล้วก็คับข้องใจว่าทำไม ทำไม ทำไมไม่ทำอย่างโน้น ทำไม่ไม่ทำอย่างนี้ อึมมม เป็นเอามาก
อ่านบันทึกครูใหญ่ที่ไปทอดอารมณ์กับเพลี้ยให้หายเพลีย วันนี้ลุงเปลี่ยนจึงได้คิดว่าต้องพาตัวพาใจออกจากข่าว หาเรื่องทำ “คะ-หนม-หัว-งุ้น” บ้านผมคนเฒ่าคนแก่เรียกกันอย่างนี้ แต่วันนี้เอาแบบทันสมัยหน่อย เรียก “เยลลี่” อิอิ
อาทิตย์ก่อนโน้น มีคนเอาหมากตุมกา คือกระทกรก หรือเสาวรส มาฝากถุงใหญ่ ชวนสาวๆทานเป็นของว่างตำรับใส่น้ำผึ้งกับเกลือแบบสวนป่าอย่างไรก็ไม่หมด เลยได้ซ้อมฝีมือทำวุ้นไปฝากสาวๆปรากฏว่าเปรี้ยวถูกลิ้นคนชิม(ไม่รู้พูดเอาใจรึเปล่า?) พรุ่งนี้เช้าไปตักบาตรวัดโพนไซ สายไปตานกว๋ยสลากวัดเวียงแก้ว ค่ำไปไหลเรือไฟวัดศรีบุญเรือง มีเสียงเรียกร้องอยากกินวุ้นอีก
เอ้าไหนๆก็ไหนๆทำบุญ แล้วต้องทำทาน เผื่อจะหาสาวแก่แม่เรือนมาเรียนสืบวิชาไปทำมาหากินได้สักสี่ส้าห้าหกคน ตกลงใจทำขนมอีกสักครั้ง หลังจากที่คิดค้นกำกับติชมให้”วุ้นคุณยาย”ติดตลาดเชียงใหม่เมื่อสิบปีก่อน ….(เดี๋ยวนี้หายไปแล้ว)
ผงวุ้น ๓ ซอง น้ำตาลทรายขาว ๒ กก. กระทิ ๑กล่อง หมดเงินไป ๕๐พันกีบเท่ากับ ๒๐๐บาท
ของค้างตู้เย็น กระทกรก ๒ผลเหยี่วๆ แก้วมังกร ๓ลูก หมากหมัน ๑ลูก น้ำผึ้ง น้ำกระเจี๊ยบ ๑ขวด เกลือป่น
ผักข้างรั้ว ใบเตย ดอกอัญชัน
ยืมถาดจากร้านขายกับข้าวมาสามใบ มีกล่องแก้ว locklockที่บ้านอีกสองใบปกติเอาไว้ห่อข้าวกลางวัน
คั้นน้ำใบเตยได้สีเขียว๑ น้ำดอกอัญชันได้สีน้ำเงิน๑ น้ำกระเจี๊ยบให้สีแดงรสเปรี้ยว๑ กระทิสีขาวธรรมดาเกินไปเหยาะน้ำใบเตยให้เขียวตองอ่อน๑
ต้มน้ำใส่ผงวุ้นกับน้ำตาลทรายพอเดือดเติมสีที่เตรียมไว้ทีละอย่าง ตั้งไฟต่อจนเดือด ยกลงเทในถาดในกล่อง แล้วก็ต้มน้ำวุ้นเติมสีและกลิ่นรสใหม่เทลงในถาดอีกชั้น ทำไปก็ออกแบบไปว่าจะเอาสีไหนรสไหนอยู่กับสีไหน ชั้นบนชั้นล่างควรเป็นอะไร บางถาดก็ลองฝานแก้วมังกรบางๆวางไว้ระหว่างชั้นวุ้น
จบสี่สีแล้วยังมีผงวุ้นเหลือ ต้มต่อได้อีกหม้อหนึ่ง หันซ้ายหันขวาเห็นกระทกรกเหลืออีกสองลูก คิดสูตรใหม่หม้อนี้ใส่เสาวรสไปทั้งเนื้อไม่ได้กรอง ต้มลงในน้ำวุ้นเติมน้ำตาลน้อยกว่าหม้อก่อนๆครึ่งหนึ่งแต่ตัดเปรี้ยวด้วยเกลือ แถมน้ำผึ้งอีกหนึ่งช้อน พอเดือดยกหม้อลงใส่แก้วมังกรหั่นชิ้นเล็กๆกับลูกอะไรไม่รู้ของจีน(คนขายเขาว่าหมากหมัน) กลายเป็นเยลลี่ผลไม้ขึ้นมาทันที อร่อยกว่าพวกชั้นๆที่บรรจงทำอีกแหนะ
เสร็จงานทุ่มครึ่ง หิวตาลาย แต่ก็เพลินดีเหมือนกัน ลืมดูข่าวพนังประตูแตกรั่วไปเสียสนิท
พรุ่งนี้จะเอาไปชวนชิมที่งานวัดครับ หากมีคนสนใจจะบอกว่า “อยากกินอีกต้องมาเรียน” ได้ถ่ายทอดเป็นปัญญาทาน หงสาจะได้มีวุ้นลุงเปลี่ยนเพิ่มอีกหนึ่งอย่าง นอกเหนือจาก เห็ด แหนมเห็ด ผักกาดดอง ผักหวานป่า หวาย ปลาดุก งาเจียง …..
« « Prev : (เมื่อน้ำเป็นภัย) ได้โปรดเถิด ช่วยกัน ช่วยกัน
Next : หูหนักกินฟาน คือพวกหน้ามึน » »
2 ความคิดเห็น
ปีที่แล้วเอาเม็ดเสาวรสไปหยอดตามโคนต้นไม้ใหญ่ กะว่าจะปลูกแบบให้เทวดาเลี้ยง พบว่า เจ้าหมากเหลืองๆรสเปรี้ยวหอมนี้ บางต้นเจริญเติบโตได้ดี ตั้งเถาว์ไต่ขึ้นไปแผ่ยอดใบบนต้นไม้ใหญ่ ถึงเวลาก็ติดดอกออกผล แต่เต็มที่ลูกก็หล่นลงมานอนกลิ้งพื้น โฮ้โห ลูกเสาวรสเต็มไปหมด ..ข้อดีคือ ไม่บอบช้ำ ไม่เน่าง่าย เพราะเปลือกหนา ช่วยรักษาคุณภาพเนื้อใน ส่วนต้นไหนที่ไม่สมบูรณ์ก็ไม่เป็นไร อาจจะต้องใช้เวลา 2 ปี หลังจากนั้นก็จะมีลูกยิ้วเยี้ยเต็มต้น อีกส่วนหนึ่งก็คือเมล็ดที่หล่นในที่ต่างๆ เกิดต้นเล็กๆน้อยๆแทรกอยู่ในป่า บางต้นก็ออกผลคุณภาพใช้ได้ สรุปว่า มีส่วนที่เราปลูก และธรรมชาติปลูก นับวันที่มันจะเป็นผลไม้ป่าในอนาคต
โฉมยงรีๆรอๆอยู่หลายวัน เมื่อวานไปเก็ยมา 1 รถไส
เอามาผ่าครึ่ง แคะเอาน้ำเนื้อ กรองใส่่ขวดใส่ตู้เย็นไว้
วิธีนี้จะเก็บน้ำเนื้อเสาวรสสะสมไว้เรื่อยๆ
วันไหนอารมณ์ดี ก็จะเอาออกมาทำเย็ลลี่รสแซบอย่างที่อาว์เปลี่ยนนำร่อง
ช่วงที่อากาศร้อน ยังเอามาปรุงรสเป็นน้ำผลไม้รสหอมแซบใส่น้ำแข็งซด โห้ยๆๆๆ สดชื่น
ยอดเสาวรสเอามา ผัด แกงส้ม ลวกจิ้มน้ำพริก อร่อยเหาะ
ดอกสวยมาก เป็นไม้ประดับสวน เลี้ยงผึ้ง
ผล น้ำในผล เอามาทำเครื่องดื่ม ขนม อาหารว่าง ของฝากแม่ยาย ชวนชาวบ้านทำกิจกรรม
เรื่องง่ายๆดีๆอย่างนี้แหละ ที่เป็นจุดปะทุใจของคนที่ยัง งงๆ กับชีวิต
อ่านแล้วน่าลองเนาะเจ้า ว่าจะชวนเจ้าหนูเสื้อส้มลองหัดทำ กับนึกไปถึงว่าถ้าคุณครูอนุบาลชวนละอ่อนทำท่าจะม่วนเหมือนกั๋น..
ส่งต่อความคิด หื้องอกงามกั๋นไป.. จะทำอะหยังจะได..อ้ายเปลี่ยนตึงนึกถึงปี้น้องจาวบ้านมาก่อนกู้เรื่องเนาะ..แถมบ่าพอเผื่อมาตางโรงเรียนแหมโตย..ยินดีนักๆ เน้อเจ้า..