คนแปลกเปลี่ยวที่บ้านเกิด (ป้อลุงขอฮ่ำฮิฮ่ำไฮ)
ทอดสายตามองผ่านกระจกหน้าต่าง ยามหัวค่ำ
สายฝนปรอยโปรย รถราขวักไขว่ ดวงไฟสาดส่อง
ผู้คนมากหน้า เดินผ่านไปมาบนบาทวิถี
ประตูท่าแพ กำแพงเมือง คือเวียง ยังอยู่ที่เก่า
แต่ผมรู้สึกแปลกเปลี่ยวในบ้านเกิด
จึงได้แต่ขังตัวเองอยู่ในห้องหรู ของโรงแรมกลางเมือง
ที่ห่างเพียงเยื้องกับบ้านหลังเก่า ที่คุ้นเคยกับต้นไม้ใบหญ้าแทบทุกเส้น
นั่งเหงาท่ามกลางนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ในห้องอาหารมื้อเช้า
ฝืนกลืนขนมปังปิ้ง ทาเนย กับไข่คนปนกลิ่นเนย
ถ้วยกาแฟจืดๆตามแบบฉบับ บุฟเฟมื้อเช้าปล่อยไอลอยอ้อยอิ่ง
นึกถึงข้าวนึ่งร้อนๆกับหมูทอดหอมๆที่กาดสมเพชร ห่างออกไปไม่กี่สิบก้าว
แต่ความขี้เกียจก็สั่งให้คร้านที่จะย่ำเท้าไป
เชียงใหม่ในรอบห้าปีมานี่ แปลกตาไปจริงๆ
หรือว่าความรู้สึกของตัวเอง ที่ดัดจริตพาให้คิดไปว่าแปลกเปลี่ยว
รึ ผมห่างเหินจากบ้านเกิดไปนานเกินพอแล้ว
เดินวนสองรอบผ่านบ้านหลังที่คุ้นเคย
มองผ่านรั้วเข้าไปเห็นสนามหญ้าที่เคยมาช่วยแม่อุ้ยถอนแห้วหมูที่ขึ้นแซมหญ้ามาเลย์ ถูกปูทับด้วยพื้นซีเมนต์
แล้วกอดอกดาหลากับต้นมะรุมหลังบ้านจะยังอยู่ไหมหนอ
บริเวณบ้านตัวบ้านที่เคยโอ่โถง กลับดูคับแคบด้วยมีตึกทรงแท่งมาเบียดบัง
เป็นเช่นนี้เองหนอ มีเกิดมีเสื่อม ไปตามกลไกแห่งกาลเวลา และวิถีแห่งยุคสมัย
อย่าไปติดยึดกับสิ่งใดใดเลย
อ้อมไปเหมาซื้อมาลัยดอกมะลิหลายพวง
เดินซอกซอนเข้าไปไหว้พ่ออุ้ยแม่อุ้ยที่หลังวิหารวัดอู่ทรายคำ
ฝากมาลัยไปไหว้พ่อแม่ที่อยู่อีกวัดไกลออกไปต่างอำเภอ
อย่างไรท่านก็คงได้เจอกันที่เมืองบนโน้น
ไหว้พระ ถวายปัจจัยชี้ให้พระท่านดูชื่อบนกำแพง บอกว่ามาทำบุญให้ท่าน
ท่านสมภารให้เด็กมาชวนให้แวะคุย
ท่านแจ้งว่าญาติสายอื่น(ที่เหลือกันน้อยลงทุกที บางท่านก็หง่อมจนมาวัดไม่ไหว) อยากทำพิธีลอยอัฐิ ฝากให้มาถามความเห็น
กราบเรียนท่านสมภารฝากตอบไปว่า “สุดแล้วแต่พี่น้องและท่านสมภาร”
ส่วนตัวกระผมเองไม่ว่าจะมีตัวแทนของท่านอยู่หรือไม่อยู่ ก็ยังจะแวะเวียนมาไหว้พระวัดนี้ตามโอกาสอำนวย
ไม่ได้คิดจะติดยึดกับวัตถุ แต่ยังรำลึกถึงความทรงจำและสิ่งดีงามที่ท่านได้ทำภายในวัดแห่งนี้
…………………………………………………………………………..
ช่วงเวลาหลังจากนั้นก็เป็นรายการรับอุปการะจาก พี่น้องสายเหนือ ครูใหญ่ ครูอาราม อุ้ย ติดสอยห้อยตามด้วยเด็กหญิง(ตัวโค่ง)เสื้อสีส้ม ที่พาไปโรงงานกระดาษสา มาแวะกินข้าวซอยฮ่อ ก่อนจะห้อมาขึ้นกานต์แอร์กลับเมืองน่าน แล้วเตลิดเข้าหงสา
ขอแจ้งข่าวชาวคณะทราบว่า กระดาษสาได้จุดประกายให้กลุ่มแม่บ้านเวียงแก้วเริ่มลงมือทำกระดาษสาใช้เองแล้วครับ หลังจากที่ห่างหายไปกว่ายี่สิบปี ….ขอได้รับการขอบพระคุณ
ขอขอบใจ……เด้อ
« « Prev : ชุดบันทึก เรื่องไม่เล็ก ๑ คำกล่าวรายงานปิดกองประชุม
Next : เสนอคำจีน ในทริปลาวเหนือ » »
5 ความคิดเห็น
กินเข่าเช้าในโรงแรมหรู ผมสละสิทธิ์มามากหลาย ทั้งที่เสียเงินไปแล้วพร้อมกับค่าโรงแรม เบื่ออิ๊บอ๋ายมีแต่อาหารฝรั่ง ABF อาหารไทยไม่มีเลย มันต่ำต้อยเสียเหลือเกิน สู้เดินไปกินร้านริมตลาดสดไม่ได้
ถามมันว่าถ้าไม่กินอาหารเช้างี่เง่าแบบฝรั่ง คิดเท่าไร มันบอกว่าเท่าเดิม ถามต่อ มาคนเดียวไม่กินอาหารเช้าคิดเท่าไร ก็เหมือนเดิมอีก
บางโรงแรมมันพอคิดออก (น้อยมากไม่เกิน 5%) มันลดให้ถ้าไม่กินอาหารเช้า
ในยุโรปร้อยละ 90 มันลดราคาให้ถ้ามาคนเดียว ถ้ามาสองคนเพิ่มอีกประมาณ 15% ..นี่คือเหตุผลทำไมฝรั่งมันเจริญกว่าเรา เพราะมันยุติธรรมไง
ของง่ายๆแค่นี้คนไทยมันคิดไม่ออก ก็สมแล้วที่แด็กซ์ ABF กันต่อไป
ยังงัยๆ ฝากบอกไปถึงหงสาด้วยว่า อย่าโง่ง่าแบบตัยแลนด์ เด๊อ
ช่วงนี้ก็คิดถึงต้นกำเนิดเหมือนกันครับ กลับไปบ้านเก่า ก็เปลี่ยนไปหมดแล้ว บ้านเก่าผมที่อ.วัฒนานคร หายไปหมด กลายเป็น 7-11 เข้าไปด้านหลัง อ้าว..ต้นมะม่วงที่ปลูกไว้กับมือสมัยเด็กยังอยู่ อีแรด อร่อยที่สุดเสียด้วย ต้นโพธิ์ที่เราว่ามันไย้ใหญ่สมัยเด็ก เอ๋ ทำไหมมันเล็กและดูเหี่ยวเฉา บ่อน้ำที่พ่อกับน้าช่วยกันขุดไว้หายไป พร้อมกับใจเราที่หายต๋อม
นึกว่าอาว์เปลี่ยนไปถึงหงสาแล้ว ที่แท้ก็มาสนทนากับความเหงาเปลี่ยวในเวียงพิงค์นี่เอง
ทนกินอาหารเช้าเมนูดัดจริต คิดว่าคนพักเป็นฝรั่งไปหมด ทั้งๆที่ส่วนใหญ่เป็นไทย อยากจะขอก้วยเตี๋ยวร้อนๆกฺ็ก็บ่ด๋าย ปีนี้จะทดลองปลูกไผ่ที่หงสาบ้างไหมครับ จะได้รู้อัตราความเติบโต ปลูกไม่กี่ต้นก็ได้ จะช่วยให้อธิบายอะไรๆง่ายขึ้น อิ
ขอรูปถ่ายป่าไผ่ธรรมชาติเมืองหงสามาโชว์หน่อยได้ไหมครับ อิ
ฝากอาว์เปลี่ยนไปอ่าน สกุลไทยสองสามฉบัยที่ผ่านมาเด้อ คุณบริสุทธิ์ ประสมทรัพย์ เขียนเรื่องหงสาไว้ หรือว่าอาว์เปลี่ยนเป็นคนหนึ่งที่พาเขาตระเวนหงสา