เจ้าเป็นไผ??
….เมื่อพ่อครูบอกว่า…ไหนลองเขียนเจ้าเป็นไผหน่อยซิ….นั่งอึ้งอยู่สักพักก็ไม่รู้จะเขียนอะไร เพราะข่อยยังบ่ค่อยจะฮู้เลยว่าข่อยเป็นไผ…อิอิ…แต่แอบอ่านเจ้าเป็นไผของลุง ป้า น้า อา มาแล้วก็พอจะมีเรื่องให้เขียนอยู่บ้าง…ถึงแม้จะอาบน้ำร้อนมาเพียงน้อยนิดก็เถอะ….แหะๆ….คือ ข่อยซิเป็นอย่างนี้เด้อ
…..แม่เป็นสาวชาวไร่อ้อย….ส่วนอันตัวพ่อนั้นเป็นหนุ่มไร่ข้าวโพด….ที่มีพื้นที่ไร่อยู่ติดๆกัน…..เมื่อความสวยของสาวไร่อ้อยไปสะดุดหัวใจของหนุ่มไร่ข้าวโพด….จึงเกิดเป็นข้าวโพดสาลี เอ๊ย เกิดเป็นความรักขึ้นมา….ถึงขั้นกับแต่งกลอนจีบกันวันละหลายบทเลย…(หวานไม๊ล่ะ) อิอิ
…..ตอนที่แม่ตั้งท้องหนูนั้น…แม่เคยเล่าให้ฟังว่า…แม่ชอบกินส้มตำกับข้าวเหนียวมากๆ…ดังนั้น ผลเลยมาตกที่หนูเอง..คือ ทุกวันนี้ขาดส้มตำไม่ได้…ดีนะที่ดั้งไม่ค่อยจะหักเท่าไหร่ อิอิ
…..เมื่อหนูอายุได้ 6 เดือน…พ่อกับแม่พาหนูมาอยู่บ้านที่สุพรรณบุรี…ทำให้หนูเป็นเด็กสุพรรณที่เสียงไม่ค่อยเหน่อเหมือนคนสุพรรณสักเท่าไหร่ค่ะ…อิอิ….ก่อนหน้าที่หนูจะมาอยู่สุพรรณ…หนูอยู่ท่ามกลางหุบเขา..กลางธรรมชาติที่โอบล้อมด้วยต้นไม้ ที่อ.บ่อพลอย..อ.พนมทวน..อ.เมือง…อ.อ่างหิน..อ.ห้วยกระเจา..ของจังหวัดกาญจนบุรีมาโดยตลอด…เพราะว่ามีที่อยู่จ.กาญจนบุรีหลายที่..เหตุนี้เองจึงทำให้ชีวิตหนูผูกพันกับธรรมชาติมากๆค่ะ….หนูเป็นหลานคนแรกของตระกูล…เพราะป้าหนูทั้งสามคนไม่มีใครยอมสละจากนางสาวเลยค่ะ…ทุกคนยังคงควงความเป็นสาวได้จนถึงทุกวันนี้…หนูจำได้ว่าแทบจะไม่ได้เดินเองเลย นอกจากมีคนอุ้ม..อุ้ม..อุ้ม…
…….พอจะเดาได้ไหมค่ะ…ว่านามสกุล ” กาญจนสุพรรณ ” ของหนูมีที่มาอย่างไร…ไม่เกี่ยวกับต้นตระกูลของขุนช้างขุนแผนนะค่ะ อิอิ
…..ตอนที่หนูอายุได้ 2 ขวบครึ่ง…แม่ส่งหนูเข้าเรียนอนุบาล 1 พร้อมด้วยขวดนมที่โรงเรียนอุภัยภาดาวิทยาลัย….จำได้ดีว่า ตอนแรกที่เข้าไปเรียนนั้น…แม่ต้องไปนั่งอยู่ที่ในห้องเรียนตลอด…ถ้าแม่ห่างก็จะแหกปากร้องเพราะกลัวแม่หนีกลับบ้าน….และแล้ววันหนึ่ง…แม่ก็หนีหนูกลับ…แม่เล่าให้หนูฟังว่า..ครูไปบอกแม่ว่าหนูร้องจนหลับกอดขวดนมไปเลย…
…..ตอนเช้าแม่เริ่มหัดให้ขึ้นรถโรงเรียน….แม่อุ้มส่งให้กับครูที่คุมรถโรงเรียนมาด้วย…และเหตุก็เกิดขึ้นเมื่อหนูไม่ยอมไปโรงเรียนคนเดียว จะให้แม่ไปเรียนด้วย…ปากก็ร้องมือก็อยู่ไม่สุก..เจออะไรเป็นจิกไปหมด…แต่มือเจ้ากรรม..ไปจิกเอาหน้าสวยๆของครูเข้า…ทำให้ปัจจุบันนี้…รอยแผลนั้นยังอยู่เลยเจ้าค่ะ…เจอหน้าครูทีไร…เป็นต้องนึกถึงวีรกรรมที่สร้างไว้ทุกทีเลยค่ะ
……แต่พอชินกับการไปโรงเรียน…จำได้ดีว่า..ครูคนแรกชื่อ ครูแจ๋ว….เนื่องจากครูสอนให้เขียนชื่อตัวเอง…ชื่อน้องจิสะกดด้วย..” จิราภรณ์”…น้องจิเขียนชื่อตัวเองแต่มันไปติดตรง ” ภ “…เจอมืออันหนักอึ้งของครูแจ๋วปะทะไหล่อันน้อยนิด…ทำให้นึกว่าตัว ภ เขียนยังไงเลยเจ้าคะ….เป็นอันเขียนชื่อได้เพราะแรงปะทะนี่เอง อิอิ
……ตอนอยู่ป.6 ได้มีโอกาสเป็นประธานนักเรียน….เนื่องจากน้องๆนักเรียนเห็นความบ้าบอก็เป็นได้…จึงโหวตให้ทีมน้องจิเป็นประธานนักเรียน….น้องจิเรียนโรงเรียนอุภัยภาดาวิทยาลัยตั้งแต่ชั้นอนุบาล1 ถึง ป.6 เลยค่ะ…ต่อมาก็มาสมัครเรียนชั้นม.1 ที่โรงเรียนบางลี่วิทยา….
…….ตอนแรกที่เข้ามานั้น…แทบจะไม่รู้จักเพื่อนในห้องเลยเพราะเริ่มเข้าสู่สังคมที่กว้างขึ้น….แต่ไม่รู้ว่าเหตุอันใดเวลาเลือกหัวหน้าห้อง…เพื่อนๆโหวตให้น้องจิเป็นหัวหน้าห้องโดยที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน….ดังนั้นตั้งแต่ม.1- ม.3…น้องจิจึงเป็นหัวหน้าห้องมาตลอด…เวลามีงานอะไร…ก็ต้องประสานงานรับหน้าที่มาแจ้งให้เพื่อนๆรับทราบข้อมูลเพื่อไม่ให้เสียสิทธิ์ของเราเองในกิจกรรมต่างๆ….สนุกดีค่ะ…น้องจิเรียนจบม.3 ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.96….ได้เกรด 3.5อยู่วิชาเดียวคือวิชางานไม้….ทำให้เสียใจมากเพราะตอนแรกตั้งใจอยากจะให้ได้ 4 หมด..อยากจะให้พ่อกับแม่ดีใจ….พอผลออกมาก็ถึงกับร้องไห้…แต่พ่อกับแม่ก็ปลอบใจว่าแค่นี้ก็ดีมากๆแล้ว….ก็เลยดีขึ้น
……..ตอนมัธยมศึกษาตอนปลาย…ม.4-ม.6….น้องจิก็ยังคงที่จะเรียนต่อที่โรงเรียนบางลี่วิทยาต่อไป…..โดยเลือกเรียนสายวิทย์-คณิต…เนื่องจากเราเรียนก่อนเกณฑ์มาตั้งแต่อนุบาลทำให้สมองเราอาจจะช้ากว่าคนอื่นกระมั่ง….ทำให้เกรดเทอมแรกได้เพียง… 3.72….แต่ว่าด้วยความที่ไม่อยากจะให้เกรดลดลงเรื่อยๆ….จึงพยายามดึงตัวเอง….ทำให้เกรดขึ้นมาเรื่อยๆ….โดยจบม.6..ได้เกรดเฉลี่ยรวม 3.80..(เอง)…ไม่ได้เป็นอันดับ 1 แต่ติด 1 ใน 10 ของโรงเรียนก็พอใจแล้วค่ะ..
…….เนื่องด้วยพ่อกับแม่แต่งกลอนจีบกันอยู่เป็นประจำ..ขนาดมีลูกแล้วยังจะแต่งจีบกันอีก..ให้จั๊กจี้หัวใจเล่นๆ…น้องจิเองก็เลยติดเชื้อในความเป็นนักกลอนมานิดหน่อย….จึงแต่งกลอนเป็นตั้งแต่ป.3…แต่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเป็นกลอนอะไร..ยังไง…ได้แต่พูดออกมาเป็นภาษาที่คล้องจอง…(แม่เล่าให้ฟัง)….แต่พอเริ่มเรียนมัธยม…เริ่มเรียนแบบแผนการแต่งกลอนเป็นกิจลักษณะจึงเรียนได้เร็วขึ้นและได้เป็นตัวแทนไปแข่งแต่งกลอนในที่ต่างๆ…เป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งในจังหวัด..และเป็นตัวแทนจังหวัดไปแข่งกับจังหวัดอื่นระดับภาคและประเทศ…(เห็นพูดระดับประเทศใช่ว่าจะเก่งนะค่ะ…ได้แต่ชมเชยมาเฉยๆ) อิอิ
……นอกจากพ่อกับแม่จะแต่งกลอนจีบกันแล้ว….พ่อกับแม่ยังจะชอบร้องเพลงจีบกันอีกด้วย…สิ่งนี้เองเป็นสาเหตุให้น้องจิเกิดมาเป็นเด็กที่พูดไม่หยุดปากถึงมากที่สุด…(ป้าหมอเจ๊อาจจะหูอื้อมาแล้ว..เมื่อครั้งที่ไปสวนป่า…พูดตั้งแต่กรุงเทพฯ-บุรีรัมย์) อิอิ…การพูดกับการรักในเสียงเพลงนี้เอง…จึงทำให้ได้มีโอกาสดีๆเข้ามาในชีวิต…ผสมผสานกับความด้านของใบหน้าเล็กน้อย..(แบบว่ากล้าคิด กล้าทำ)….จึงทำให้ครูพิสูจน์ จับเอาเด็กที่เสียงเหมือนกระบือคลอดบุตรไปแข่งแหล่ในรายการคุณพระช่วย…นั่นคือจุดเริ่มต้นของคำว่าแม่เพลงของหนูเลยค่ะ….เป็นประสบการณ์ที่หนูภูมิใจมากถึงแม้ว่าผลการแข่งขันจะออกมาแพ้แต่สิ่งที่ทำให้หนูยังสู้ได้ก็คือ..รอยยิ้มที่ทุกคนยังคงมอบให้กับหนูทุกๆเวลา….การเล่นเพลงอีแซวนี้เองทำให้หนูฝึกฝนตนเองมากยิ่งขึ้น…จนมีสำเนียงที่เหน่อ เอ๊ย น้ำเสียงที่พอจะร้องเป็นผู้เป็นคนกับเขาบ้าง…ทุกๆเวทีที่ไปร่วมแสดงหรือแข่งขันก็น้องจิเองก็จะรับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการ แม่เพลง…ที่ถนัดที่สุดคือ ” ตัวตลก”…ดีใจที่เห็นทุกคนหัวเราะ ไปกับทุกๆการกระทำของเรา…แม้จะดูเหมือนบ้าก็ตาม อิอิ ….นอกจากจะร้องเพลงอีแซวที่ถือว่าเป็นมรดกอันล้ำค่าของจังหวัดสุพรรณและของชาติเราแล้วนั้น…ด้วยความที่พูดไม่หยุดและสำเนียงอันไม่ค่อยจะเหน่อน้อยสักเท่าไหร่…ครูพิสูจน์จึงให้ไปพูดสุนทรพจน์ในเรื่องของวัฒนธรรมเมืองสุพรรณ ด้วยสำเนียงสุพรรณ…(สำเนียงที่เยื้องๆกรุงเทพฯมานิดหน่อย)….ก็ดันไปคว้ารองแชมป์ของจังหวัดสุพรรณมาอีก…ทีนี้จะแก้ตัวว่าไม่เหน่อก็ไม่ได้เพราะว่า..ได้รางวัล รองเหน่อของจังหวัดมาแล้ว เฮ้อ..อิอิ
………ในเรื่องของกิจกรรมที่พอจะช่วยแบ่งเบางานของโรงเรียนนั้น…น้องจิยินดีที่จะทำเป็นอย่างมากค่ะ ถึงแม้ว่าตัวเองจะจบจากโรงเรียนนั้นมาแล้วก็เถอะ….ทุกๆครั้งที่มีคนมาศึกษาดูงานในเรื่องของเพลงพื้นบ้าน…ถ้าครูพิสูจน์โทรมาให้ช่วยแสดง…ไน้องจิไม่เคยปฏิเสธเลยค่ะ…จะพยายามเคลียร์งาน…เพราะว่า น้องจิถือว่าเป็นงานที่ช่วยส่งเสริมและเผยแพร่วัฒนธรรมให้กับทุกๆคน..หรือภาคอื่นได้รู้ถึงศิลปะของชาวสุพรรณเรา….และทุกครั้งที่ไปช่วย…ก็จะมีหน้าที่เป็นหัวโจกในการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม…ก็จะมีการสอนร้อง สอนรำ….และที่ดีที่สุดก็คือ..เราก็เรียนรู้วัฒนธรรมของเขาด้วยเช่นกัน…นี่แหละคือสุดยอดของการเรียนรู้แบบเอื้อหนุนกัน
……….ทุกๆ ถ้วยรางวัล..หรือ..ทุกใบประกาศที่ได้มา…เป็นเพียงวัตถุที่แสดงถึงความสามารถเท่านั้น…..แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ….ความรักที่จะสืบสานและทำในสิ่งต่างๆ…เราต้องนำใจไปใส่กับทุกๆสิ่งที่ทำ ต้องตั้งใจ…และจะเกิดความภาคภูมิใจขึ้น..สิ่งเหล่านี้มันเป็นของเรา..มันเกิดขึ้นกับตัวเราเอง…และเราก็รับรู้ได้ด้วยความรู้สึกของตัวเราเองด้วย….น้องจิเองเป็นคนบ้ากิจกรรม…ครูให้ไปแข่งอะไรก็ไปหมด…แข่งอะไรก็จะได้รางวัลกลับมาด้วย…แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ไปแข่ง 3 ปี แล้วตกรอบทุกๆปีเป็นประจำ…ก็คือ.. การสวดมนต์สรภัญญะ…(ก็น้องจิสวดมนต์ทีไรเป็นจะหลับทุกที…อิอิ)
……..ตอนอยู่ม.6 นี่เครียดที่สุดเลยค่ะเพราะว่าต้องเข้ามหาวิทยาลัย….ซึ่งน้องจิได้สมัครโควตาไปที่แรกก็คือที่ ลาดกระบัง…ซึ่งน้องจิเลือกสอบคณะเทคโนโลยีการจัดการไปค่ะ….รับ 50 คน….น้องจิก็สอบติดแล้ว…แต่พ่อเองไม่อยากให้น้องจิเรียนที่นั่นสักเท่าไหร่เพราะไกลบ้านก็เลยสละสิทธิ์ไม่เรียน….ต่อมาก็มาสมัครโควตาอักษรศาสตร์….ใช้ดนตรีไทยเข้าไป…งานนี้ทุ่มสุดตัวถึงกับซ้อมนิ้วเดี้ยงไปเลยค่ะ….และผลออกมาก็ทำให้น้องจิสามารถเข้าเรียนที่คณะอักษรศาสตร์ได้….งานนี้พ่อยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยากให้เรียนที่นี่ ก็เลยตัดสินใจเรียน มอบตัวเรียบร้อย….
………วันที่ 11 มกราคม…พ่อบอกว่า วันเด็กในวันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ่อจะพาไปเที่ยว….ซึ่งพ่อบอกก่อนที่พอจะเดินทางไปกรุงเทพฯ….วันนั้นเพื่อนน้องจิมานอนค้างที่บ้านด้วยเพราะว่าเรานัดกันอ่านหนังสือเพราะว่าจะไปสอบโควตาที่ม.เกษตรศาสตร์(ของครูเสียงเหน่อ)…ในวันที่ 13 มกราคม….พอเวลาประมาณ 05.30 น….มีเสียงโทรศัพท์บ้านดังมา…แม่เป็นคนรับสาย น้องจิก็นอนฟังอยู่ในห้อง….เสียงแม่บอกว่า..แล้วเป็นอะไรมากหรือเปล่าค่ะ….จะรีบไปเดี๋ยวนี้ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ…น้องจิกับเพื่อนก็เลยลุกมาหาแม่…แม่บอกว่า…เปลี่ยนเสื้อผ้า พ่อถูกรถชน…น้องจิก็เลยไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและเดินทางไปยังโรงพยาบาลปทุมธานี…ไปเห็นก็อดร้องไห้ไม่ได้เมื่อเห็นสภาพพ่อนอนอยู่บนเตียง…และร่างน้องสาวที่ไร้วิญญาณแล้ว…..ทำให้หมดแรงเลย…แต่เมื่อเห็นแม่แล้วก็หยุดร้องทันที..ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน….ก็ได้แต่กอดแม่และพาร่างน้องกลับมาทำพิธีที่บ้าน…ส่วนพ่อนั้นหมอจะผ่าตัดสมองในเย็นวันนั้น….ครูพิสูจน์รู้ข่าวจึงรีบมาหาน้องจิและบอกว่า เผาเมื่อไหร่รอครูด้วย…เพราะครูต้องไปรับรางวัลครูดีในดวงใจ…..พอรุ่งเช้าวันที่ 13 มกราคม…เพื่อนโทรมาถามว่าจะไปสอบไหม…น้องจิก็เลยตัดสินใจว่า จะไปสอบเพราะว่าอยู่ไปก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น….น้องจิก็เลยอาบน้ำแต่งชุดนักเรียนจะไปสอบที่ม.เกษตร…แต่เมื่อแม่โทรมาบอก…ให้ไปรับศพพ่อกลับจากโรงพยาบาล…น้องจิก็เลยไม่ได้ไปสอบ…แต่กลับไปรับศพพ่อมาแทน…มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสำหรับวันเด็กของหนูมากๆค่ะ….เฮ้อ…
……เหตุการณ์เลวร้ายก็ผ่านไป….จนได้มาพบกับโลกที่เยียวยาหัวใจสมานแผลภายในใจของหนูอย่างดี…หนูมีป้าที่น่ารัก…มีลุงที่แสนดี…มีทุกๆคนที่คอยให้กำลังใจหนู….ถ้ามีคำอื่นที่มีความหมายมากกว่าคำว่า ” รัก ” หนูก็อยากจะใช้คำนั้นค่ะ….
……..เมื่อก้าวเข้ามาสู่รั้วมหาวิทยาลัย….เป็นเรื่องธรรมดาในคำร่ำลือ….ว่าผีดุ….คนแรกที่มาหาหนูที่มหาวิทยาลัยก็คือ….ลุงเอก กับครูเสียงเหน่อ….ลุงเอกนำผ้ายัญ น้ำมนตร์ หลวงพ่อทวด มาให้…..ซึ่งลุงทรงกลดเป็นคนขับรถไปให้แต่รถกับเสียกลางทาง..ลุงเอกกับครูเสียงเหน่อต้องนั่งมอไซค์มา…น้องจิก็คอยลุงเอกอยู่หน้าคณะอักษรศาสตร์…มองเท่าไหร่ก็ไม่เจอลุงเอก..เพราะว่าน้องจิมองหารถสีแดงคันเก่งอยู่…ที่ไหนได้ลุงเอกไปยืนรออยู่แล้ว…อิอิ กว่าจะเจอ….วันนั้นน้องจิปั่นจักรยานลุงเอกซ้อนท้าย…(ไม่รู้ว่าลุงเอกกล้าซ้อนได้ยังไง..ยังขับไม่แข็งเลยค่ะ) 55555+++
……..ต่อมา อาคอน ก็ส่งผ้ายัญท้าวเวสสุวรรณ มาให้อีก…..น้องจิก็เลยมีผ้ายัญสองผืน….เอาไว้ป้องกันผี…..อิอิ…..ตอนนี้ผ้ายัญป้องกันได้หมดทุกอย่างเลยค่ะ..ไม่ว่าจะเป็น ผี หนู มด แมลงสาป ศักดิ์สิทธิ์มากๆค่ะ
………ต่อมาลุงเอก ป้าจุ๋ม พี่เอก จตุพร….ก็มาหาให้กำลังใจน้องจิก่อนสอบ….ทำให้น้องจิมีกำลังใจมากๆเลยค่ะ….สอบอย่างเต็มกำลัง…(แต่ผลสอบก็ยังออกมาไม่ดีเท่าไหร่)…..
……….มาเทอมนี้…สู้เต็มที่ค่ะ….ผลสอบออกมาแล้ว 1 วิชา นั่นก็คือวิชา เปตอง ได้ A แล้วค่ะตัวแรก….(วิชานี้ได้เอกันทุกคน) อิอิ…
……….ความประทับใจที่เกิดขึ้นในชีวิตก็คือ…การที่ได้มีโอกาสไปภูเก็ต กับ เชียงรายเจ้าค่ะ…เริ่มจากที่ภูเก็ตก่อน…นึกว่าจะอดไปซะแล้ว..แต่เนื่องด้วยวาสนาไม่ค่อยจะอักเสบสักเท่าไหร่…ลุงสิงห์ป่าสัก…แวะมารับที่บ้าน..น้องจิกับแม่จึงได้มีโอกาสไปร่วมเฮฮาด้วย..ทำให้รู้สึกประทับใจมากๆ…ประทับใจกับมิตรภาพที่ได้รับ…ได้พบเพื่อนใหม่ๆซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความผูกพัน…น้องจิเจอกับอ้าย ออย ฝ้าย น้องไผ่ น้องนีน่า…ซึ่งทำให้น้องจิมีเพื่อนที่น่ารักเพิ่มขึ้นอีก….เหตุนี้เองจึงเกิดเป็นแก๊งค์เด็กโก๊ะขึ้น..เพื่อไม่ให้น้องจิเป็นโก๊ะอยู่คนเดียว….สิ่งที่ประทับใจในคราที่ไปภูเก็ตไม่เพียงแต่ตอนไปถึงภูเก็ตแล้วเท่านั้นนะค่ะ…ตลอดระยะการเดินทางไปภูเก็ตน้องจิประทับใจกับทิวทัศน์สองข้างทางมากๆ…อย่างที่บอกไปแล้วว่าน้องจิชอบธรรมชาติดังนั้นเห็นวิวสวยๆ หรือต้นไม้ใหญ่ๆ..จะรู้สึกแปลกๆเหมือนกับว่าเป็นสวรรค์ที่ค้นหามานานก็ว่าได้…(พูดมากก็เหมือนจะเว่อเกิน..แต่มันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆค่ะ)….สนุกที่สุดก็ตอนที่ได้เล่นเจ้าเรือกล้วยนี่แหละค่ะ…(เรียกแบบแปลไทยแล้วนะค่ะ)…มีผู้กระชากไวอยู่ 2 คน…คือ ป้าสุ กับ น้าราณี…น้าราณีรับหน้าที่ปิดท้ายเรือกล้วย…ส่วนป้าสุนี่ขอจองตรงหัวเรือกับฝ้าย….วันนั้นสนุกมากๆค่ะ….เสียทีที่เจ้าเรือกล้วยไม่ยอมสะบัดให้ตกน้ำ..เพราะพวกเราเตรียมตกน้ำกันเต็มที่….ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ…ความจริงเขาพยายามสะบัดแล้วแต่ทีนี้พวกเราสามารถที่จะประคองตัวเองไม่ให้ตกได้….เขาก็เลยไม่สะบัดแล้วเพราะสะบัดเท่าไหร่ก็ไม่ตกสักที อิอิ…แถมได้กอดคนใหญ่คนโตที่นั่นอีกต่างหาก(คนใหญ่คนโตจริงๆค่ะ…กอดรอบเอวแทบไม่มิด อิอิ)…..ขากลับนั่งเครื่องบินกลับ…ได้ตั๋วตรงปีกอีกมองอะไรไม่เห็นเลยถือว่าขาดทุนสำหรับคนซ่า อยากดูวิวในมุมสูงมากๆค่ะ…ต้องขอบคุณป้าจุ๋มกับน้าอึ่งมากๆค่ะสำหรับประสบการณ์ขึ้นเครื่องครั้งนั้น…
……….พอมาถึงตอนจะไปเชียงราย….จัดเก็บกระเป๋าอย่างดีเตรียมตัวขึ้นเครื่องเต็มที่เพราะให้ป้าจุ๋มจองตั๋วเผื่อไว้ให้แล้ว….สรุป..สนามบินปิด…พ่อครูโทรมาบอกว่ารื้อกระเป๋าได้เลย ไปไม่ได้แล้ว..ตอนนั้นกำลังเรียนทัศนศิลป์อยู่..ถึงกับน้ำตาร่วงเจ้าค่ะ….ต้องฟ้องอาเหลียง 555555+++….แต่ทุกอย่างก็ไร้ปัญหาเมื่อมีอาคอนอยู่ทั้งคน….พวกเรานั่งรถตู้กันไป….นั่งไปได้สักพักรู้สึกว่าจะเวียนหัว…เหมือนจะเมารถ…พ่อครูบอกว่า ถ้าเมารถต้องจับปล่อยไว้ที่นี่ไปไม่ได้….น้องจิรีบกินยาทันที..กินปุ๊ปหายปั๊ปเลย 55555++….เมื่อไปถึงเชียงรายแล้วก็ได้อีกความรู้สึกหนึ่งที่เพิ่มขึ้นมา….ตั้งแต่ขี่ช้าง…เรียนภาษาอาข่า….กะเหรี่ยงบางคำ….ซึ่งจุดนั้นเป็นสิ่งที่หาได้ยากในการเรียนรู้เลยค่ะ….การที่เราจะได้สัมผัสกับธรรมชาติได้เรียนรู้หลายๆสิ่งหลายๆอย่างไปพร้อมๆกันนั้นจึงเป็นจุดที่เกิดพลังในหัวใจมากๆ….ความประทับใจที่เชียงรายยังไม่หมดเท่านี้ค่ะ…อีกสิ่งก็คือ…รอยยิ้ม….รอยยิ้มของทุกคนน้องจิก็ได้สัมผัสมาแล้วหมด…แต่คนนี้น้องจิยังไม่ค่อยได้สัมผัสเท่าไหร่ค่ะ…อาคอนค่ะ….ประทับใจอาคอนมากๆ….เขียนไปก็คิดถึงเลยนะนี่…ซูกัสหมดยังค่ะอา อิอิ…..น้องจิได้มีโอกาสไปสถานที่ต่างๆของเชียงราย….ยอมรับเลยว่าวาสนาไม่บวมสักเท่าไหร่…ถ้าวาสนาบวมคงน้ำตาร่วงหลายวัน..อิอิ….ชอบตอนนั่งรถนี่แหละค่ะ….เพราะว่าได้เห็นทิวทัศน์รอบข้างของพื้นที่จังหวัดเชียงราย….หน้าที่ที่มาอย่างไม่รู้ตัวก็คือ..เป็นเด็กเสิร์ฟกาแฟ….เป็นการชงกาแฟครั้งแรกในชีวิต..ผู้ที่ได้ชิมคนแรกคือ พ่อครูค่ะ…อิอิ..อร่อยหรือเปล่าไม่รู้แต่ขอแก้วสองนะค่ะ….อิอิ…..น้องจิต้องขอขอบคุณลุง ป้า น้า อา ทุกท่านเลยนะค่ะ โดยเฉพาะ น้าหมอเบิร์ด..น้าโพรจ…อิอิ…เขียนถึงตอนนี้คิดถึงลุงเอกจังฮู้…อิอิ….ไปเชียงรายไม่ขาดทุนค่ะ…ขากลับได้หอมแก้มอาเหลียงแถมได้นั่งเครื่องบินที่ไม่ใช่ตรงปีกอีกต่างหาก…เหมือนสวรรค์เลย…เมฆสวยมากๆ…แถมแอร์ผู้ชายหล่ออีกต่างหาก..ไม่เชื่อถามป้าจุ๋มได้ อิอิ
……….น้องจิได้เรียนรู้สิ่งต่างๆมากมาย…ได้มีโอกาสไปหลายๆสถานที่…นี่คือความโชคดีของน้องจิเองที่ได้มาเจอกับทุกคนที่มอบโอกาสดีๆให้กับน้องจิ…..เรียนรู้สิ่งที่อยู่รอบๆด้วยความเป็นตัวของตัวเอง….
……….นิสัยของน้องจิเอง…กลัวแมวที่สุด…ดังนั้นจึงรักน้องหมามากๆ…..ไม่ค่อยชอบกินผักเพราะที่บ้านปลูกผักเยอะแล้ว…(เกี่ยวกันไหมนี่)….กลัวเข็มเข้ากระดูกดำ….เป็นคนบ้าๆบอๆ….ชอบเห็นคนอื่นยิ้ม……เป็นคนที่ปฏิเสธคนไม่เป็นเพราะความเกรงใจ…ทั้งเรื่องเรียนและงาน….รักและจริงใจกับทุกคนที่รู้จักถึงแม้เขาจะไม่จริงใจด้วย….ขี้งอน ขี้น้อยใจ ขี้เหนียว สารพัดขี้ที่มี
………ทุกคนจะมองว่าน้องจิเป็นทอม..เพราะไม่มีแฟน ไม่แต่งตัว…ซึ่งคนไม่มีแฟนก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นทอมเสมอไป..ดูอย่างสามสาวที่บ้านน้องจิสิค่ะ…50 up กันทุกคน….แล้วยังคงความเป็นสาวอยู่เลย…เป็นเยี่ยงอย่างที่ดีมาก….555555+++
……….ชอบความเป็นธรรมชาติของโลกมากกว่าสิ่งที่สร้างขึ้นจากวัตถุ….ให้น้องจิเลือกระหว่างอยู่ในป่าไม่มีแสงสีใดๆ กับอยู่กรุงเทพฯ…น้องจิเลือกที่จะไปอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ…ดังนั้นจึงชอบไปเที่ยวที่เป็นป่า เขา ลำธารมากๆค่ะ….
……….งานอดิเรกที่ชอบทำมากที่สุดและขาดไม่ได้ในชีวิตก็คือ…การปีนต้นไม้นี่แหละค่ะ…เห็นแล้วมันกระตุกหัวใจ แข่งขาขยับไปหมด….เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้มีฉายาว่า ลิง นี่แหละค่ะ….อิอิ….
………..ส่วนโก๊ะจิจังนั้น…ลุงสุดที่รักเป็นคนตั้งให้…เนื่องจากนิสัยเหมือนลิง เอ๊ย โก๊ะ…เริ่มจากการที่หลังคาบ้านเพื่อนอยู่ดีๆ ก็เดินเอาหัวไปชนให้หลังคาพังซะงั้น….ลุงเอกก็เลยตั้งชื่อให้เป็น ” โก๊ะจิจัง” อิอิ….หน้าตาดีเหมือนลุงเอกอีกต่างหาก 55555++ ปฏิเสธไม่ได้เพราะหลักฐานมัดแน่นหนา
……….เจ้าเป็นไผ…สูตรน้องจิก็จบด้วยประการฉะนี้ค่ะ….ถ้าท่านใดจะเสริมความเป็นน้องจิอีกก็เสริมได้เลยนะค่ะ….เพราะทุกคนไม่อาจมองตัวเองหมดทุกส่วน…ช่วยเป็นกระจกให้น้องจิด้วยนะค่ะ อิอิ ขอบคุณค่ะ
« « Prev : เรียนรู้ข้ามจังหวัด…กับมรดกอันล้ำค่าของไทย
Next : ประสบการณ์..เคยสวย(นิดหนึ่ง) » »
22 ความคิดเห็น
โอย อ่านไปลุ้นไป
ตะลึงกับความเข้มแข็งที่หนูมีเลยนะ ขอบอก
จิตใจที่งดงาม และคิด ทำแต่สิ่งดี ๆ จะเป็นสะพานให้มีแต่คนดี ๆ และเกิดแต่สิ่งดี ๆ ในชีวิตหนูนะ
“รัก” น้องจิด้วยคน
ได้ป่าวจ๊ะ
อิอิ
(^___________^)
โห วิ๊ดวิ๊วววววว… มาคนแรกเลยเน้อ….รักนะ จุ๊บๆ
[...] ” การบ้าน ” [...]
ส่งแล้วค่ะ อิอิ
สัลลสูตร
อิอิ อาคอนจ๋า เอาหลักธรรมมาให้อ่านก่อนนอนนี่ฝันดีแน่เลยค่ะ ขอบคุณค่ะ คิดถึงนะค่ะ ….ซูกัสหมดยังค่ะอา อิอิ
น้องจิเอ๊ย…
น้าหนิงอายจัง
แว๊บบบบบ หลบก่อนดีกั่ว
นี่แหละหลานแห่งชาติ
กดปุบได้ปั๊บ
มีเรื่องอยู่ในหัว ในใจ ในใบหน้า และแววตา อยู่เสมอ
พร้อมที่จะกระจายฮาทุกรูปแบบ
อยากให้เติมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพี่ป้าน่าอา แช่เฮ อีกหน่อย เช่น ไปภูเก๊ต ไปเชียงราย
ถ้าไม่เอ่ยถึงเลย พวกพี่ป้าจะไม่ให้ไปกระบี่
เรื่องชาวปูนฯที่อยากได้ บอกก๊อล์ปไปแล้ว นะน้า
เมื่อหนูอายุได้ 6 เดือน…พ่อกับแม่พาหนูมาอยู่บ้านที่สุพรรณบุรี…
ก่อนมาสุพรรณ หนูอยู่ที่ไหน น่าจะเขียนบอกด้วย..
อิอิ น้าหนิงจ๋า คิดถึงเน้อ อิอิ
ต้องรีบเติมเลยค่ะพ่อ..เดี๋ยวอดไปกระบี่ อิอิ
ช่วยเติมเรื่องร้องเพลงอีแซว รักษาวัฒนธรรมเพลงพ้นบ้าน รางวัลที่ได้รับ เป็นหัวโจกสอนน้อง ฯลฯ
เรียบร้อยค่ะพ่อจ๋า
หลานสาวที่แสนซน….
ไม่เสียทีสาวอักษรเลย พับแผ่……
มาช้าไปหน่อย แต่ก็พร้อมกอดแน่นๆด้วยความภูมิใจหลานสาวคนนี้จ้ะ ^ ^
ลุงภูคาจ๋า คิดถึงจังฮู้
ลุงอัยการจ๋า….พับแผ่ แปลว่าอะไรหรอค่ะ กอดๆๆ
น้าเบิร์ดคนสวย….จุ๊บๆ
ไหนบอกว่าปวดท้องไง นี่ขึ้นบันทึกซะดึกเลย
ปวดแล้วขึ้นบ่ได้หรือ