กิจกรรมนอกลานโรงเรียน

โดย maeyai เมื่อ 12 มีนาคม 2011 เวลา 5:43 (เช้า) ในหมวดหมู่ ชีวิตกับโรงเรียน #
อ่าน: 1629

เขียนชื่อบล็อกไว้ว่า “ลานโรงเรียน”   แต่จริงๆแล้ว ชีวิตแม่ใหญ่ ในแต่ละวัน   ก็จะออกนอกลานไปไม่น้อยเหมือนกัน    ตัวอย่างเช่นวันนี้  กลายเป็นนักจิตวิทยา  กึ่งนักบำบัด  ไปหาเพื่อนคนหนึ่งซึ่งกำลังหมดอาลัยในชีวิต เนื่องจากเศร้าเสียใจที่สูญสียบุตรชายไปกับอุบัติเหตุอย่างกระทันหัน    เวลาผ่านไปสามเดือนแล้ว   แต่ยังทำใจไม่ได้    เธอปล่อยตัวปล่อยใจให้อยู่กับความทุกข์    กินไม่ได้นอนไม่หลับ อ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปทุกวัน

ปกติเธอเป็นคนร่าเริง แจ่มใส   จิตใจดี ชอบช่วยเหลือคนอื่น  เป็นผู้หญิงเก่ง   เป็นนักธุรกิจระดับแนวหน้าของจังหวัด  แต่ที่แม่ใหญ่ไปพบเธอ วันนี้  มันช่างตรงกันข้ามกับสิ่งที่บรรยายมาทั้งหมด  เธอกลายเป็นคนท้อแท้สิ้นหวัง  ไม่มีแรงจะลุกขึ้นสู้ชีวิต พูดอยู่คำเดียวว่า ไม่ไหว  ไม่ไหวจริงๆ  เธอบอกว่า มองทุกอย่างรอบตัวมันดูมืดมนไปหมด   หมดกำลังใจที่จะทำงาน  ไม่แม้แต่จะนึกอยากทานอาหาร

 แม่ใหญ่ ไปพบเธอ ในฐานะเพื่อนเก่า  เพื่อจะ ลองไปแนะหนทาง ทำใจและให้กำลังใจตัวเอง  โดยเอาประสบการณ์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง   แม่ใหญ่เอา ระฆังธิเบตแบบที่ท่านติช นัท  ฮันท์  ใช้เคาะเรียกสติในหมู่บ้านพลัม ไปให้เธอ และลองเคาะให้เธอหลับตาตามเสียงไปให้ไกลที่สุด   บอกเธอว่า ให้ลองทำทุกวันวันละสักสิบครั้ง   เสียงอันกังวาลหวาน  ของระฆังอาจจะชำแรกแทรกเข้าไปในความเจ็บปวดที่หัวใจ  เหมือนมีน้ำเย็นมาชะโลม และจะทำให้เราหยุดคิดเรื่องเศร้าๆได้บ้าง  แม้จะเป็นเพียงวินาทีเดียวก็ยังดี    เธอลองทำตาม แต่บอกว่าเสียงระฆังยังไม่ช่วยมากนัก เธอตามเสียงไปได้สั้นมาก เพราะจิตมันจะคอยว่อกแว่กออกมานึกถึงเรื่องเศร้าๆอยู่ตลอดเวลา   ก็ปลอบใจและให้กำลังใจเธอไปว่า    ให้ทำบ่อยๆ เพราะทุกอย่างมันต้องค่อยเป็นค่อยไป

นอกจากนี้ยังชวนให้เธอทำ Body Scan  ซึ่งแม่ใหญ่เคยฝึกกับ อาจารย์ประชา หุตานุวัตร  ในการเข้า workshop ด้านจิตตปัญญา  วิธีการก็คือให้นำความรู้สึก  ไปไว้ตามส่วนต่างๆของร่างกาย ไล่ตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมาจนถึง สมองส่วนหน้า  ใส่โปรแกรมลงไปด้วยการพูดว่า สมองส่วนหน้าเย็นและโปร่ง แล้วก็ย้ายความรู้สึกมาที่ใจ โดยบอกกับตัวเองว่า กายและใจ สงบลงๆๆ  วิธีนี้ตัวแม่ใหญ่ชอบมาก  รู้สึกว่าถูกกับจริต     ชอบมากกว่าการให้ท่องคำว่า พุทโธ    ยุบหมอพองหนอ  หรือการตามลมหายใจเข้าออก  เพราะวิธีต่างๆเหล่านั้น    มันทำให้จิตหลุดออกมาจากคำบริกรรม  ได้ง่ายกว่า   มันก็คงเป็นอุบายหนึ่งที่จะทำให้จิตสงบและได้พัก จากบาดแผลทางใจที่ต้องการเยียวยาต่อไป     เมื่อลองทำไปพร้อมๆกับเธอ เธอบอกว่า ใจมันยังไม่ยอมสงบ    ก็บอกว่าไม่เป็นไร ของแบบนี้ จริตใคร จริตมัน  ผลที่แต่ละคนได้ ไม่เหมือนกัน   เธอบอกว่าอยากร้องไห้   เพราะแต่ตั้งแต่เกิดเหตุ น้ำตามันไม่เคยไหล  มันตกใน  เธอคิดว่า ถ้าได้ร้องไห้ ได้  มันคงทำให้สิ่งที่อัดอั้นนั้น ถูกปลดปล่อยออกไปได้บ้าง   เป็นการบ้านให้แม่ใหญ่กลับมาคิดว่า   จะหาวิธีใดอีก   ไปแนะนำให้เธอได้ลองค้นหาวิธีที่เธอจะกลับมาเป็นคนเดิม       ตั้งใจว่าจะไปเยี่ยมเธอบ่อยๆ  และหาวิธีอีกหลายๆวิธี ไปช่วยบำบัดให้เธอ ให้กลับมาเป็นคนเดิมให้ได้      หวังว่าจะมีวิธีไหนที่เธอจะปิ๊ง เข้าสักวิธีหนึ่งหรอกน่า

 นึกไปถึงเพลง Live  and Learn ที่มีเนื้อเพลงว่า

เมื่อวันที่ชีวิต เดินเข้ามาถึงจุดเปลี่ยน จนบางครั้งคนเราไม่ทันได้ตระเตรียมหัวใจ
ความสุขความทุกข์ ไม่มีใครรู้ว่าจะมาเมื่อไหร่ จะยอมรับความจริงที่เจอได้แค่ไหน

เพราะชีวิตคือชีวิต เมื่อมีเข้ามาก็มีเลิกไป
มีสุขสมมีผิดหวัง หัวเราะหรือหวั่นไหว เกิดขึ้นได้ทุกวัน

อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

สุขก็เตรียมไว้ ว่าความทุกข์คงตามมาอีกไม่ไกล จะได้รับความจริงเมื่อต้องเจ็บปวดไหว

เพราะชีวิตคือชีวิต เมื่อมีเข้ามาก็มีเลิกไป
มีสุขสมมีผิดหวัง หัวเราะหรือหวั่นไหว เกิดขึ้นได้ทุกวัน

อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด  

จะลองเอาเพลงนี้ไปเปิดให้เธอฟัง เธออาจจะรู้สึกดีขึ้นบ้างก็ได้นะ

« « Prev : เปลี่ยนบทบาท

Next : วันจบการศึกษา » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

2 ความคิดเห็น

  • #1 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 12 มีนาคม 2011 เวลา 3:06 (เย็น)

    ตระกูลหุตานุวัตรนั้นผมรู้จักพี่ท่านประชาคือ ดร.ณรงค์ หุตานุวัตร คณะเกษตร มข.ย้ายไป ม.อุบล และเกษียณที่นั่น น้องชายท่านประชาคือ ชาตรี หุตานุวัตร เรียนแพทย์ มช. เราทำกิจกรรมสมัย ตุลา ด้วยกัน สมัยนั้นท่านประชาบวช น่าจะพร้อมๆกับพระไพศาล วิสาโล ด้วยแนวคิด อหิสา ตามท่านมหาตมคานธี เป็นปัญญาชนที่น่าสนใจครับ หลังจากสึกจากพระท่านก็ทำงานด้านจิตวิญญาณมากทีเดียว เป็นคนร่วมยุคมัยเดียวกันครับแม่ใหญ่  ไม่ได้พบกันมานานแล้ว

    พี่ชายใหญ่ของตระกูลนี้คืออดีตเสี่ยใหญ่ของแก่นคนหนึ่ง แต่ถูกลอบยิงเสียชีวิตไปก่อน

  • #2 maeyai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 13 มีนาคม 2011 เวลา 5:17 (เช้า)

    แม่ใหญ่ก็เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยขอนแก่นรุ่นเดียวกับ ดร.ณรงค์ค่ะ คุ้นเคยกันดี   ลูกๆของท่านก็มาเรียนที่พัฒนาเด็กตอนเปิดใหม่ๆ  อาจารย์ประชา เพิ่งได้มาเจอกันในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ตอนที่แม่ใหญ่เริ่มสนใจจิตตปัญญา  แต่นับถืออาจารย์มาก  เพราะมีแง่มุมในการใช้ชีวิต และมีคำตอบต่างๆที่เราสงสัย  ง่ายๆเข้าใจได้   ท่านมาจัดวงพูดสนทนา  เกี่ยวกับจิตตปัญญาที่ขอนแก่นบ่อยๆค่ะ ได้ยินว่าเดือนเมษายนนี้ก็จะมาอีก


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.041538953781128 sec
Sidebar: 0.059063911437988 sec