เยี่ยมสองโรงเรียนที่แตกต่าง

ไม่มีความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 24 สิงหาคม 2011 เวลา 6:19 (เย็น) ในหมวดหมู่ ชีวิตกับโรงเรียน #
อ่าน: 1717

ในช่วงสามวันที่ผ่านมา มีกิจกรรมต่อเนื่องกับเทศบาลนครขอนแก่น  คือการไปเยี่ยมโรงเรียนเทศบาลบ้านศรีฐาน  กับโรงเรียนเทศบาลสวนสนุก   และไปเป็นกรรมการเลือกรองผู้อำนวยการให้โรงเรียน 10 คน ตามที่ได้ เขียนบันทึกไปแล้ว  วันนี้จะขอเขียนถึงโรงเรียนสองโรงที่เป็นเทศบาลเหมือนกัน    อยู่ห่างกันไม่ถึง 10 กิโลเมตร   แต่มีความแตกต่างกัน จนอยากจะนำเอาสองโรงเรียน มารวมกันแล้วหารสอง    คงจะลงตัวได้พอดี

ตามข้อมูลที่แสดงให้เห็นต่อไปนี้ คงพอทำความเข้าใจได้ว่า   ทำไมแม่ใหญ่จึงพูดเช่นนั้น

 โรงเรียนเทศบาลศรีฐาน

เนื้อที่  10 ไร่เศษ    มีห้องเรียนเหลือใช้  บริเวณที่เล่นกลางแจ้ง    มากมาย      

ขนาดห้องเรียนต่อเด็ก    ห้อง 7*9 เด็ก 30  คน ครู 1 คน

นักเรียนทั้งโรงเรียน   591  คน    ครูทั้งโรงเรียน   32  คน

นักเรียนเฉพาะระดับอนุบาล   4 ห้อง  120 คน     ครูเฉพาะระดับอนุบาล   5 คน    อัตราส่วนครูต่อเด็ก   1 ต่อ 24

การเรียนการสอน    ลื่นไหล   บูรณาการ       กิจกรรมเสริม    ภาษาอังกฤษ   ดนตรี

บุคลิกครู   ผ่อนคลายแม้งานค่อนข้างหนัก

บุคลิกผู้บริหาร     มีความเชื่อมั่นในตนเองสูง  และมีความตั้งใจในการทำงานตามระบบมาก    เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่ สมศ.จะมาตรวจรอบที่สาม

บุคลิกเด็ก    เป็นธรรมชาติ  ไม่เป็นระเบียบนัก แต่ก็เชื่อฟังครู

 

โรงเรียนเทศบาลสวนสนุก

เนื้อที่   5 ไร่   ห้องเรียนจำกัด   บริเวณที่เล่นกลางแจ้ง   จำกัดมาก

ขนาดห้องเรียนต่อเด็ก    ห้อง 7*9 เด็ก 42-45 คน ครู 2 คน

นักเรียนทั้งโรงเรียน 3069 คน   ครูทั้งโรงเรียน  155 คน

นักเรียนเฉพาะระดับอนุบาล   8 ห้อง  320  คน   ครูเฉพาะระดับอนุบาล   16 คน    อัตราส่วนครูต่อเด็ก   1 ต่อ 20

การเรียนการสอน    ครูสอนเน้นอ่านออกเขียนได้     กิจกรรมเสริม   ภาษาอังกฤษ   ดนตรี   เกมส์การศึกษา

 บุคลิกครู   เคร่งเครียด ไม่ค่อยยิ้มแย้ม

บุคลิกผู้บริหาร    ไม่ได้พบเพราะผู้อำนวยการไปประชุม   แต่ดูจากสภาพโรงเรียนแสดงให้เห็นว่ามีการจัดการทรัพยากรที่มีอยู่จำกัด ได้อย่างเป็นประโยชน์ทุกตารางเมตร

บุคลิกเด็ก   ตั้งใจเรียน เรียบร้อย เชื่อฟังครูมาก   ไม่ค่อยซุกซน นั่งเรียนกับโต๊ะอย่างมีระเบียบ

 

ข้อมูลของทั้งสองโรงเรียน      นี้มิได้มีวัตถุประสงค์จะแสดงว่า โรงเรียนใด ดีกว่าหรือด้อยกว่า  เพียงแต่ต้องการให้เห็นภาพ  ของทั้งสองโรงเรียนนี้เท่านั้น   ว่าแตกต่างกันมากมายเหลือเกิน   แม่ใหญ่มีความเห็นว่า  โรงเรียนเทศบาลทั้ง 8 โรงที่ไปเยี่ยมมา ล้วนแล้วแต่มีข้อเด่น ข้อด้อยต่างกัน   และมีข้อจำกัดในการดำเนินงานต่างกัน   มีบริบทของแต่ละโรงเรียนไม่เหมือนกัน   แต่ก็มีแนวทางใกล้เคียงกัน  กับโรงเรียนอนุบาลบ้านศรีฐาน  มีโรงเรียนสวนสนุกนี้เท่านั้น ที่ดูจะแปลกจากโรงเรียนอื่น  แต่ก็เป็นโรงเรียนที่มีลักษณะเฉพาะตัว  และมีการบริหารจัดการที่เป็นระบบมากๆ และข้อสำคัญคือ ได้รับความนิยมจากผู้ปกครอง

โรงเรียนเทศบาลบ้านศรีฐานถือว่าโชคดี  ที่ได้ครูจบทางปฐมวัยโดยตรงถึง 3 คน  ดังนั้นการจัดกิจกรรมจึงค่อนข้างลื่นไหล  บูรณาการ     เป็นไปตามแนวเตรียมความพร้อมทั้งด้านร่างกายอารมณ์ สังคม และสติปัญญา  ปัญหาก็มีเพียงอาคารที่เปิดกว้างต่อเนื่องถึงกันทั้งสี่ห้อง  ทำให้การเรียนการสอนที่ต้องการให้เด็กมีสมาธิเป็นไปได้ยาก     เนื่องจากมีสิ่งเร้ารอบๆข้างมากเกินไป   แต่คุณครูก็พยายามแก้ไขด้วยการปรึกษาหารือกัน   ในการจัดกิจรรมเพื่อไปในทิศทางเดียวกัน      เพื่อไม่ให้เสียงจากกลุ่มหนึ่งไปรบกวนอีกกลุ่มหนึ่ง    ทราบว่าปีหน้าจะได้ตึกใหม่ ก็ขอแสดงความยินดีด้วย

 ส่วนโรงเรียนสวนสนุกถือเป็นโรงเรียนใหญ่ที่สุดในจำนวนโรงเรียนเทศบาลทั้งหมด    ผู้ปกครองนิยมส่งลูกมาเรียนมากที่สุด  เพราะเน้นเรื่อง อ่านออกเขียนได้  เตรียมเด็กเข้าชั้นป.1  ซึ่งเป็นรูปธรรมที่มองเห็นได้ง่าย  นอกจากนี้ ยังมีครูที่เด่นและเก่งเฉพาะด้านที่จะส่งเสริมเด็กเก่งให้ไปได้รางวัลต่างๆ  ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ  สร้างชื่อเสียงให้โรงเรียนได้ทุกปี  คุณครูท่านหนึ่งได้เล่าให้ฟังอย่างภาคภูมิใจว่าสามารถเตรียมความพร้อมจนเด็กได้ไปชนะการประกวดแฟนต้ายุวทูต  ได้ไปทัศนศึกษาถึงอเมริกาโน่นทีเดียว 

นอกจากนี้  โรงเรียนยังมีแผนกEP หรือ English Program เพื่อรองรับผู้ปกครองที่ต้องการให้เด็กได้เรียนภาษาอังกฤษกับครูชาวต่างชาติ โดยตรง    ซึ่งก็เห็นมีครูชาวฟิลิปปินส์สอนคู่กับครูไทยอยู่สองห้อง  ดังนั้นบริบทของโรงเรียนนี้คือ  สอนให้เด็กเป็นคนเก่ง ทางด้านวิชาการ ตามที่ผู้ปกครองต้องการ

อาจารย์สงกรานต์  หัวหน้าสาย  ได้ทำ powerpoint   เพื่อแสดงกิจกรรมเด่นๆที่เด็กได้เรียนรู้ในแต่ละวัน  เพราะการมาเยี่ยมชมเพียงวันเดียว  อาจจะไม่ได้เห็นกระบวนการต่างๆอย่างครบถ้วน     มีกิจกรรมหลากหลาย  ที่แสดงให้เห็นว่าครูที่แผนกนี้ได้ผ่านการอบรมมามากมาย และได้นำกิจกรรมที่มีความคิดรวบยอดที่ลึกซึ้งมาใช้    ไม่ใช่เป็นกิจกรรมพื้นๆที่ใช้กันในโรงเรียนอนุบาลทั่วๆไป   หัวหน้าสายเล่าว่า โรงเรียนได้รับเลือกให้เป็นโรงเรียนนำร่องของกระทรวงศึกษาธิการ  โดยให้นำแนวทาง  Brain based learning หรือการเรียนรู้โดยคำนึงถึงสมองของเด็กเป็นฐานมาใช้อย่างเต็มรูปแบบ   แม่ใหญ่ก็ได้ขอเพิ่มเติมความรู้เรื่องนี้  ไปให้คุณครูเล็กน้อย  ในฐานะที่ใช้ BBL มานานแล้วว่า  มันไม่ใช่รูปแบบการศึกษา  แต่ BBL คือเครื่องมือในการจัดสภาพสมองให้เหมาะกับการเรียนรู้  และได้มีคนคิดออกมาเป็นกิจกรรมต่างๆ  อาทิเช่นการออกกำลังสมอง (Brain gym )  เพื่อให้สมองหายเหนื่อยล้าหลังจากเรียนเรื่องหนักๆหรือนั่งนานๆ  การใช้เพลงประกอบเพื่อให้คลื่นสมอง อยู่ในสภาวะที่เรียนรู้ได้ดี  การสร้างสื่อที่น่าสนใจที่จะกระตุ้นให้เด็กรับเนื้อหาเข้าไปสู่ส่วนที่ลึกที่สุดของสมอง  และไม่ลืม      จิตตปัญญาศึกษาที่คณะผู้บริหารเทศบาลนำเข้ามาเผยแพร่กับคณะครูและผู้บริหารในโรงเรียนเทศบาล  ก็เป็น BBL เหมือนกัน

นักเรียนสวนสนุกมีลักษณะไม่ซน ว่าง่าย พูดจาฉะฉาน   เขียนตัวพยัญชนะสวย    เดินแถวเป็นระเบียบ   แสดงว่าถูกฝึกมาเป็นอย่างดี   แต่ดูคุณครูไม่ค่อยยิ้มแย้มแจ่มใสนัก   เหมือนไม่ค่อยมีความสุข ( ต้องขอบอกว่านี่เป็นความรู้สึกส่วนตัวจริงๆ ซึ่งอาจจะผิดก็ได้)  คุณครูอาจจะเครียดที่เรามาเยี่ยมชม  หรือจะนึกว่า เรามาตรวจมาตรฐานแบบ สมศ.  ซึ่งประธานสุทธิก็ได้ชี้แจงว่า เรามาแนะนำหรือสะท้อนความคิดเห็นแบบกัลยาณมิตรมากกว่า


กระบวนการนอกกรอบ

ไม่มีความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 23 สิงหาคม 2011 เวลา 5:57 (เย็น) ในหมวดหมู่ งานอดิเรก, ชีวิตกับโรงเรียน #
อ่าน: 1638

วันนี้ได้ไปช่วยงานเทศบาลนครขอนแก่น อีกงานหนึ่ง (รู้สึกว่าหมู่นี้ เทศบาลใช้งาน ค่อนข้างถี่)  แต่แม่ใหญ่ก็เต็มใจไปช่วยในฐานะภาคประชาชน   งานที่ไปคือการไปเป็นกรรมการสรรหารองผู้อำนวยการ โรงเรียนเทศบาล 10 โรง  คณะกรรมการประกอบด้วยเจ้าหน้าที่สำนักการศึกษา 2-3 ท่าน คณะข้าราชการการเมือง เช่น  ที่ปรึกษานายกเทศมนตรี   รองนายกเทศมนตรี  นายกสภาเทศบาล และสมาชิกเทศมนตรี  4-5 ท่าน  มีแม่ใหญ่เป็นคนนอก สังกัดเอกชนตนเอง  หลุดรอดเข้าไปแค่คนเดียว ก็ภูมิใจนะที่เขาอุตส่าห์เลือกไปใช้งาน

ขั้นตอนการเลือกครั้งนี้กินเวลายาวนานถึง 11 เดือน   เพิ่งมาเสร็จสิ้นในวันนี้   แรกๆมีคนมาสมัครเข้ากระบวนการยี่สิบกว่าคน   แต่หลังจากผ่านกระบวนการ อันหลากหลายตลอดเวลา 11 เดือน   ก็ค่อยๆมีคนถอยออกไป  จนวันนี้มีเหลือ  ให้เลือกแค่ 13 คนเท่านั้น   และตำแหน่งก็มีตั้ง 10 ตำแหน่ง  ดังนั้นจะมีคนไม่ผ่านการสรรหาเพียง สามคนเท่านั้นเอง  เป็นการแข่งขันที่ไม่น่ากลัวเลย  แต่ก็แปลกที่คนสมัครทำไมถึงน้อย!!!!!

ถ้าแม่ใหญ่สาธยายกระบวนการฯ  ให้ฟังคนอ่านก็จะถึงบางอ้อ  ว่าทำไมคนจึงไม่ค่อยอยากจะสมัครเข้ามา   เพราะมันไม่ใช่แค่เข้ามาสอบข้อเขียน  สัมภาษณ์แล้วก็ผ่านเข้าไปเป็นรอง ตามระบบเดิมๆที่ทำกัน    ผู้สมัครทั้งหมด จะต้องเข้าไปเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้  5  เรื่องด้วยกัน คือ

  1. อบรมเรื่องจิตตปัญญาศึกษา  กับอาจารย์วิศิษฐ์ วังวิญญู  ประมาณ 5 วัน  
  2.  เข้าอบรมเรื่องการลดอัตตากับอาจารย์ประชา หุตานุวัตร  อีกราวๆ 5 วัน 
  3. ไปนอน,ไปกิน,ไปอยู่  ล้างชาม   กับสติที่หมู่บ้านพลัมอีก 1 คืน 1 วัน
  4. ไปเรียนรู้ที่โรงเรียนนอกกะลาของอาจารย์ วิเชียร ไชยบัง ที่ลำปลายมาศอีก  3 วัน    
  5.  ไปเรียนรู้การโค้ชชิ่งเพื่อนครู   ที่โรงเรียนรุ่งอรุณ     และหลังจากนั้น   ให้กลับมาทำวิจัยส่งให้กับอาจารย์ที่สอนเรื่องโค้ชชิ่ง อีกคนละ 1 เล่ม

ดังนั้น   ใครใจไม่ถึง  ไม่เสียสละเวลาขนาดนี้  ก็คงจะไม่สมัครเข้ามา

นายกเทศมนตรี  คุณพีระพล พัฒนะพีระเดช  เป็นคนหนุ่ม รุ่นใหม่ ไฟแรง  มีนโยบายชัดเจนว่า  การจะเข้าสู่ตำแหน่งใดใด ต้องเป็นการเข้ามาด้วยธรรมาภิบาล  ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง  และเปิดโอกาสให้กับผู้มีสิทธิทุกคน    แต่ต้อง ผ่านการอบรมเพื่อพัฒนา มิใช่มาด้วยเส้นสาย  หรือต้องเสียเงินซื้อตำแหน่ง  อย่างที่เราเคยได้ยินกัน  แต่จับไม่ได้ไล่ไม่ทันสักที   ท่านนายกฯ  ทำแบบนี้มาเป็นครั้งที่ หก แล้ว    ใช้งบประมาณกับกระบวนการนี้ ไม่น้อยเลย    เพื่อหวังจะได้คนดีดีเข้ามา บริหารโรงเรียน  แม้จะถูกนินทาและคัดค้านเงียบๆ จาก หลายๆเสียงที่ไม่ชอบผ่านกระบวนการนี้  (แต่อยากเป็นรองฯ) ท่านก็ไม่หวั่นไหว  ยังเดินหน้าต่อไป โดยไม่หวั่นไหว ด้วยความเชื่อที่ว่า  กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่ได้พัฒนาคน  และมีความยุติธรรม

คณะกรรมการมาจากหลายส่วน  กลุ่มที่แม่ใหญ่เกี่ยวข้องเรียกว่า  กรรมการสรรหา  มีสิทธิให้คะแนน   40%    อาจารย์ผู้ดูแลการวิจัย  30 % ผู้ให้การอบรมจาก  แหล่งเรียนรู้   20 %   คะแนนสังคมมิติ  คือผู้เข้ากระบวนการให้กันเอง  อีก 10 %  รวมเป็น 100 %

ด้วยการที่คะแนนมาจากหลากหลายแหล่ง  และจากผู้ไม่ได้มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องนี่เอง  จึงเป็นที่มั่นใจได้ว่า   จะไม่มีเด็กฝากของใครคนใดคนหนึ่ง  ก้าวเข้ามาได้โดยง่าย 

วันนี้เราสรรหาไปได้แล้ว 10 คน  เราก็จะส่งคนที่เราเลือกได้ทั้ง 10 คน  ไปเข้ากระบวนการสอบคัดเลือก ตามระบบราชการอีกครั้ง  โดยมีการสอบข้อเขียน และการสอบสัมภาษณ์   ตามปกติ   กรรมการสอบคัดเลือกของจังหวัด   ก็จะมี กรรมการสรรหาฯ ของกลุ่มเรา คือ ท่านปลัดเทศบาล   ท่านผู้อำนวยการสำนักการศึกษา   และรองฯ เข้าไปนั่งอยู่ด้วย    ดังนั้นก็เชื่อได้ว่า  คนกลุ่มนี้  คงจะผ่านการสอบคัดเลือก เข้ามาโดยไม่มีการพลิกล็อคใดใด   แต่ใครจะได้ลำดับที่เท่าไหร่  ก็คงจะไปดูกันที่ คะแนนการสอบข้อเขียน และสัมภาษณ์อีกครั้ง

แม่ใหญ่รู้สึกโล่งใจที่กระบวนการสรรหาของเราผ่านไปอีกรุ่นหนึ่ง    กลับมาถึงโรงเรียน เจอหน้าผู้อำนวยการโรงเรียน  โดนกระเซ้าว่า  ไปทำงานให้เทศบาลเสร็จแล้วเหรอ  หมู่นี้ชักไปบ่อยนะ   สัปดาห์นี้ ก็สามวันซ้อน  ทั้งเลือก รองฯ และเยี่ยมโรงเรียน  แม่ใหญ่ก็เลยบอกไปว่า นี่แหละเอาไว้อวดเวลา สมศ. มาตรวจโรงเรียนไง ว่า ได้ส่ง แม่ใหญ่ไปมีสัมพันธ์กับชุมชน ในนามโรงเรียน   ตามมาตรฐานที่ระบุไว้ เรียบร้อยแล้ว


เยี่ยมชมอนุบาลโรงเรียนเทศบาลบ้านโนนทัน

ไม่มีความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 19 สิงหาคม 2011 เวลา 3:09 (เย็น) ในหมวดหมู่ ชีวิตกับโรงเรียน, เด็กไร้เดียงสา #
อ่าน: 1728

 

 

วันนี้ ไปเยี่ยมแผนกอนุบาลของโรงเรียนเทศบาลบ้านโนนทัน  ฝนฟ้าตกตามเคย  เลยไม่ได้เห็นเด็กๆออกมาเล่นสนุกสนานที่สนาม  เด็กต้องอยู่ในห้องกับครูตลอดทั้งช่วงเช้า     เด็กนักเรียนมี 90 คน  ครู  4 คน  มีครูแป๋วเป็นหัวหน้าสาย  ครูแป๋วมีลักษณะเป็นผู้นำชัดเจน   สอนชั้น อนุบาลสอง มีครูใหม่ซึ่งจบสาขานาฏศิลป์เป็นผู้ช่วย เพราะมีเด็กถึง 42 คน             ครูแป๋วดูจะคล่องแคล่วในการจัดกิจกรรมให้เด็กได้ดี    มีจังหวะจะโคนในการสอน  และเด็กก็เชื่อฟังมีระเบียบวินัยดี  มีสมาธิในการเรียน     ครูผู้ช่วยก็ดูจะทำงานเข้ากันได้ไม่ติดขัด       มีครูจวงที่คร่ำหวอดกับชั้นอนุบาลมากว่า สามสิบปี  อยู่ที่โรงเรียนนี้มาตั้งแต่  แรกเริ่ม  มีลูกศิษย์ที่โตจนส่งลูกเข้ามาเรียนกับคุณครูแล้ว     คุณครูมีลักษณะเป็นคนอ่อนโยน  นุ่มนวล  และรักเด็ก  ทราบว่าขณะนี้พักอยู่ในโรงเรียนด้วย    โรงเรียนจึงเป็นเหมือนบ้านของครูจวง อย่างแท้จริง    ครูจวงสอนห้องอนุบาล  3/2   มีเด็กที่ยังไม่ค่อยนิ่ง  เพราะย้ายมาจากที่อื่น อยู่เกือบครึ่งห้อง   แต่ด้วยความใจเย็น  คุณครูก็กำลังค่อยๆปรับพฤติกรรมเด็กอยู่อย่างเงียบๆด้วยกิจกรรมต่างๆ    ส่วนครูอีกท่าน คือครูแอ  สอนอนุบาล 3 อีกห้องหนึ่ง   คนนี้ท่าทางกระฉับกระเฉงว่องไว  เสียงดังฟังชัด  ทราบว่าเคยสอน ป  1 มาก่อน เพิ่งผันตัวเองมาอยู่ อนุบาลได้เพียงสองปีเท่านั้น  ดูเป็นคนสนุกสนาน  และบุคลิกนี้  ก็ไปปรากฎในเด็กของคุณครูด้วย   เด็กห้องนี้กล้าแสดงออก ทักทาย ยิ้มแย้ม ไม่ตื่นคนแปลกหน้า  เวลาทำกิจกรรม  ก็ตั้งใจทำกิจกรรมและ เชื่อฟังครูแอเป็น อย่างดี

สิ่งที่แม่ใหญ่ชื่นชมโรงเรียนนี้ก็คือ  ทุกห้องมีมุมหนังสือที่มีหนังสือมากพอๆกับจำนวนเด็ก    ได้แนะนำเพิ่มเติมไปว่า  อยากให้คุณครูใช้มุมนี้เป็นมุมที่กระตุ้นให้เด็กรักการอ่าน ด้วยการให้มีช่วงอ่านหนังสือคนเดียวเงียบๆ  สัก 5-10 นาที ทุกวัน   และคุณครูก็ต้อง ทำท่าอ่านให้เด็กเห็นเป็นรูปแบบด้วย   ไม่ต้องห่วงเรื่องที่เด็กยังอ่านไม่ออก หรืออ่านไม่เป็น  การรักที่จะเปิดหนังสือขึ้นดู เงียบๆคนเดียว  แม้จะเป็นการดูรูป  ก็เป็นการสร้างนิสัยรักการอ่านได้แล้ว

อีกเรื่องที่แม่ใหญ่ชม ก็คือเรื่อง ที่คุณครูแป๋วเล่าว่า  ได้ตกลงกันระหว่างครูทั้ง 4 คนว่า  จะตามเด็กขึ้นไปตามระดับชั้นจากอนุบาลสองขึ้นไปอนุบาลสาม    เพราะเห็นว่าครูจะได้รู้จักและได้พัฒนาเด็กอย่างต่อเนื่อง  แม้จะเป็นเวลาเพียงสองปีก็ตาม      คุณครูบอกว่าเพิ่งลองทำได้ปีหนึ่งแล้ว และคิดว่าดี   จะทำต่อไป ซึ่งแม่ใหญ่ก็เห็นดีด้วย

ส่วนการเสนอแนะจากแม่ใหญ่    ก็มีเพียงเรื่องการใช้สื่อรอบๆห้องให้เป็นประโยชน์ต่อการสอนประจำวันมากขึ้น     เช่น สื่อปฏิทินประจำวัน  ให้ครูนำมาไว้ใกล้ๆตัว และนำมาสอนได้ทุกวัน     สามารถจะบูรณาการการสอนเด็กได้หลายวิชา ไม่ว่าจะเป็นคณิตศาสตร์ สังคม หรือภาษาไทย

สื่อเรื่องสภาวะอากาศของแต่ละวัน  ให้เด็กออกมาเลือกป้ายสภาวะอากาศว่าวันนี้ ร้อน หนาว หรือฝนตก ประการใด  เป็นการหัดให้เด็กได้รู้จักสังเกตด้วย   และการนำสื่อเรื่องข้อตกลง กฎกติกาประจำห้องมาอ่าน ให้เด็กฟังบ่อยๆ     แล้วถามเชิงบวก ว่าวันนี้ใครทำถูกกฎข้อไหนบ้าง ชื่นชมคนที่ทำดี  แต่ไม่ต้องถามว่าวันนี้ใครทำผิดกฎข้อไหน  ให้เขาได้รู้สึกเอง   ต่างๆเหล่านี้  ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ทำได้ในช่วงต้นของวันทั้งสิ้น

คุณสุทธิ ประธานโครงการ  พูดว่า แผนกอนุบาลที่นี่พัฒนาขึ้นมากจาก 4 ปีที่แล้ว   และเติมเรื่อง  ให้เด็กรับผิดชอบเซ็นชื่อตัวเองเมื่อมาถึงโรงเรียน      บอกว่าแทนการให้ผู้ปกครองมาเซ็นชื่อ    จัดที่ให้เด็กได้เซ็นชื่อตัวเองทุกวัน  แม้จะยังเขียนได้ไม่ถูกต้อง  ก็จะเป็นการเริ่มการเขียนและการรับผิดชอบต่อหน้าที่เบื้องต้นในแต่ละวันได้ด้วย เรียกว่ายิงนกนัดเดียวได้หลายตัว

แม่ใหญ่ไม่ได้เขียนถึงสถานที่ เพราะไม่ได้เป็นประเด็นใหญ่  เป็นเรื่องของผู้บริหารโรงเรียนและผู้บริหารเทศบาลที่จะปรับปรุงกันต่อไปตามสมควร    แต่สิ่งที่ประทับใจกับโรงเรียนนี้ คือการได้เห็นแววตากระตือรือร้นของครูทั้งครูสาวและครูแก่  ว่าเป็นครูที่มีหัวใจเป็นครูอย่างแท้จริง  ซึ่งแค่นี้ก็เป็นการการันตีได้ว่า เด็กที่นี่จะได้เรียนรู้อย่างมีความสุข ในอุ้งมือครูที่มีเมตตา  และรวยน้ำใจ  ลงมีครูดีเสียอย่าง   เรื่องอะไรต่างๆ ก็ถือเป็นเรื่องรอง

 


เป็นโค้ชให้ครูในโรงเรียนพัฒนาเด็ก

ไม่มีความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 18 สิงหาคม 2011 เวลา 11:49 (เช้า) ในหมวดหมู่ ชีวิตกับโรงเรียน #
อ่าน: 1801

เที่ยวไปเยี่ยมโรงเรียนเทศบาลมาหกโรงเรียนแล้ว  จริงๆเดือนนี้เป็นเดือนที่แม่ใหญ่จะต้องลงเป็นโค้ช ให้ครูของโรงเรียนพัฒนาเด็ก  ตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม     แต่เนื่องจากรับปากคณะเทศบาลไว้แล้ว  จึงเริ่มต้น โรงเรียนตัวเองช้าไปหน่อย  วันนี้ เริ่มต้นเข้าห้อง ครูดี้ เป็นห้องแรก    ครูดี้ขอให้แม่ใหญ่ช่วยไปโค้ชเรื่อง “การใช้คำพูด สื่อสารกับเด็ก”  เพราะคุณครูคงจะรู้ตัวว่าบางครั้งคุณครูสื่อสารไม่ค่อยชัด      พูดไปแล้วคนไม่ค่อยเข้าใจ จนโดนเพื่อนๆ และ ผ.อ.  ล้อเลียนบ่อยๆว่า คนเมืองเลยพูดไม่รู้เรื่อง  เสียหายไปถึงจังหวัดเลยด้วย   ดังนั้นวันนี้ครูดี้ จึงตั้งใจแสดงให้แม่ใหญ่เห็นว่า คนเมืองเลยอย่างครูดี้ก็สื่อสารกับเด็กรู้เรื่องเหมือนกัน

คุณครูเลือกให้แม่ใหญ่เข้าไปโค้ชเวลา 9.30-10.00 น.  ซึ่งแม่ใหญ่ก็เข้าไปนั่งเงียบๆที่มุมหนึ่งซึ่งไม่รบกวนเด็ก  และเขียนบันทึกการเป็นโค้ชไว้  แล้วส่งไปให้ครูดี้ได้รับทราบ

สรุปได้ว่าวันนี้ ครูดี้  ผ่านฉลุยเลยค่ะ  กิจกรรมดีมาก ลื่นไหล  บูรณาการครบถ้วน   ใช้น้ำเสียงเบาๆ เป็นมิตร  ใช้คำพูดง่ายๆที่เด็กเข้าใจ    และเด็กโต้ตอบเป็นอย่างดี    ให้โอกาสเด็กที่ไม่พูดให้ลุกขึ้นมาพูด   ใช้สื่อประกอบกับทุกกิจกรรม   รอบๆห้องมีร่องรอยของการเรียนรู้ของเด็กๆจากโครงการ “ลูกโป่ง”   ที่เด็กเลือกเรียนอยู่   

เห็นแล้วก็ชื่นใจจริงๆที่เห็นครูของเรามีพัฒนาการ  ตลอด 4 ปีที่มาเป็นครูพัฒนาเด็ก   ตอนนี้ เลือดพัฒนาเด็กเข้มข้นอยู่ในตัวแล้วนะคุณครู  สิ้นปี อย่าหนีไปสอบบรรจุตามค่านิยมอีกก็แล้วกันนะจ๊ะ


อาคารอนุบาลที่โนนชัย

2 ความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 15 สิงหาคม 2011 เวลา 6:34 (เย็น) ในหมวดหมู่ ชีวิตกับโรงเรียน, เด็กไร้เดียงสา #
อ่าน: 2927

วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่ได้ไปเยี่ยมโรงเรียนเทศบาลเป็นโรงเรียนที่ ห้าแล้ว     พอก้าวย่างเข้าบริเวณแผนกอนุบาลโรงเรียนเทศบาลโนนชัย     ก็ต้องยืนงง    รีบนำกล้องถ่ายรูปออกมาถ่ายรูปก่อนอย่างอื่น      เพราะแทบไม่เชื่อสายตาว่านี่คือโรงเรียนอนุบาล ที่ต้องเรียกว่าเป็นโรงเรียน “ชายแดน”    ของเทศบาลนครขอนแก่น 

 

  

โรงเรียนเทศบาลโนนชัย   เป็นโรงเรียนที่มีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดมาหลายปีแล้ว     โดยมีโรงเรียนรุ่งอรุณ  จากกรุงเทพ เข้ามาเป็นพี่เลี้ยง     ครูไปดูงาน  ไปกินไปอยู่    และไปเรียนรู้ที่โรงเรียนรุ่งอรุณครั้งละหลายๆวัน   คณะอาจารย์จากรุ่งอรุณเอง     ก็มาติดตามนิเทศน์โรงเรียนโนนชัยอย่างต่อเนื่อง     ด้วยนโยบายที่นำเอาชุมชนเข้ามามีส่วนในการจัดการศึกษาร่วมกับทางโรงเรียน   และ  การดำเนินกิจกรรมต่างๆของโรงเรียนเทศบาล โนนชัย    ก็เป็นกิจกรรมที่แทบจะลอกแบบมาจากโรงเรียนรุ่งอรุณ         จนเป็นที่เลื่องลือกันในขอนแก่นว่าเป็นโรงเรียนทางเลือก    ที่ประสบความสำเร็จในการจัดการศึกษาได้เป็นอย่างดี  

 ด้วยความตั้งใจที่จะพัฒนาโรงเรียนนี้  ให้เข้าสู่มาตรฐาน โรงเรียนทางเลือกของนครขอนแก่น       ทางคณะเทศมนตรีก็ใจป้ำ  จัดงบประมาณประมาณ 10 ล้านบาท   เพื่อสร้างอาคารชุดนี้       บริษัทที่ออกแบบเป็นบริษัทที่ทางโรงเรียนรุ่งอรุณแนะนำมา  ก็ได้มาออกแบบอาคารอนุบาลตามที่เห็นในรูปนี้      ซึ่งเป็นแนวคิดเดียวกับโรงเรียนอนุบาลของรุ่งอรุณ  คือ  มีลักษณะเป็นบ้าน  ระดับชั้นหนึ่งก็อยู่ในบ้านหลังหนึ่ง  ซึ่งมีเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆอยู่ในบ้านหลังเดียว    ตึกนี้ เพิ่งได้เปิดใช้ไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2553  ที่ผ่านมานี่เอง   

 

ต้องยอมรับว่า อาคารทันสมัย ทั้ง สามหลัง   ที่ใช้เป็นอาคารเรียน ชั้นอนุบาล1  อนุบาล 2  และอนุบาล 3   อย่างละหลังนี้  ช่างสวยงามน่าประทับใจจริงๆ  

ผู้อำนวยการ ประดิษฐ์   สะเดา  ได้มาต้อนรับ  คณะกรรมการที่มาเยี่ยมชมด้วยตนเอง พร้อมกับคุณครู เนื่องนิตย์  พาลี  รักษาการณ์รองผู้อำนวยการ  ผู้อำนวยการ มีความภาคภูมิใจในอาคารหลังใหม่มากๆ  และได้ทำการปรับปรุงสนามและสิ่งแวดล้อมอย่างสวยงามเข้ากับตัวตึก    คณะครูอนุบาลมีทั้งหมด 6 คนเป็นครูประจำชั้น  สอนหกห้อง     ระดับละสองห้อง  นั่นคือ คุณครูสองคนจะต้องดูแลตึกคนละหลัง ซึ่งมีห้องที่ใช้ประโยชน์ได้ 4 ห้อง  แต่มีสองห้องเรียน สองห้องประกอบ ต่อตึกหนึ่งหลัง       และมีเด็กห้องละ 30 คน  ที่ขาดคือไม่มีครูพี่เลี้ยง  และไม่มีพนักงานช่วยเหลือเลย  ห้องน้ำอยู่นอกห้องเรียน แม้จะไม่ไกล  แต่ครูก็ไม่สามารถติดตามมาดูแลได้เมื่อเด็กออกจากห้องมา     ต้องจัดว่าคุณครูประจำชั้นมีความชำนาญการสอนและจัดกิจกรรมได้ดีพอสมควร    จึงพอเรียกความสนใจให้เด็กทั้ง 30 คนเรียนรู้ ได้     แต่ก็รู้สึกว่าจะเป็นงานหนักมากสำหรับครู  ที่ต้องรับผิดชอบอาคารทั้งหลัง และดูแลเด็กอีกห้องละ 30 คน  ตลอดทั้งวัน

ในช่วงสรุปความคิดเห็น  คณะกรรมการส่วนใหญ่ แสดงความชื่นชม  กับอาคารสถานที่  มากกว่าที่จะวิจารณ์ ด้านการเรียนการสอน   มีกรรมการท่านหนึ่งที่บอกกว่าอยากเห็นโรงเรียนเทศบาลโนนชัย  มีเอกลักษณ์ของตัวเองมากกว่าจะเป็นแบบพิมพ์เขียวมาจากโรงเรียนรุ่งอรุณ    และท่านประธานสุทธิ  ได้ติงคณะครูว่า  ให้ใส่ใจกับสมาธิของเด็ก ที่จะเรียนรู้ให้มากกว่าที่เป็นอยู่  แม่ใหญ่เองพูดเป็นคนสุดท้าย      บอกความรู้สึกว่า  เมื่อก้าวเข้ามาในโรงเรียน     แม้จะตื่นตาตื่นใจกับอาคารหลังงาม  แต่ยังมีความรู้สึกว่าบรรยากาศมันไม่ค่อยนุ่มนวล    แบบโรงเรียนอนุบาลทั่วไป      ดูมันแข็งๆอย่างไรพิกล  (อาจจะเป็นด้วย เครื่องแบบข้าราชการสีกากี  ที่ผู้อำนวยการและครูทุกคนใส่  ซึ่งเป็นระเบียบที่โรงเรียนนี้จะแต่งชุดข้าราชการในวันจันทร์ก็คงมีส่วนด้วย ที่ทำให้ความสดชื่นลดไปพอสมควร)    นอกจากนี้   สื่อทุกชนิดที่ติดอยู่ตามหน้าต่าง ประตู     ก็เป็นประเภทโปสเตอร์สำเร็จรูปที่ซื้อหามาติดไว้  แทบทั้งนั้น     ไม่เห็นสื่อจากฝีมือครูเลย      รู้สึกเหมือนครูจะกลัวว่าถ้าทำสื่ออะไรขึ้นมา      อาจจะ ไม่เข้ากับอาคารที่สวยงาม อยู่แล้วก็เป็นได้   บรรยากาศและสื่อ อุปกรณ์   รอบๆห้องเรียน   ยังไม่เอื้อต่อการเรียนรู้ของเด็กเท่าที่ควร  พูดได้ว่าถูกความงามของตัวอาคารแย่งซีนความเป็นห้องเรียนที่อบอุ่นไปเสียไม่น้อย

แต่อย่างไรก็ตาม แม่ใหญ่ก็ต้องบอกว่าดีใจที่เด็กในชุมชนโนนชัยได้อาคารเรียนที่สวยงาม มา เป็นที่เรียน    ซึ่งถือเป็นความจำเป็นพื้นฐาน      และด้วยสิ่งแวดล้อมที่ดีเช่นนี้      ถ้าครูจะเติมเต็มด้วยการจัดกิจกรรมเรียนรู้ที่หลากหลาย   เด็กก็จะได้เรียนรู้และพัฒนาศักยภาพ ต่อไปอย่างเหมาะสม



Main: 0.26271891593933 sec
Sidebar: 0.19189119338989 sec