สติ สมาธิ - การออกกำลังใจ 3

โดย จอมป่วน เมื่อ 7 มกราคม 2010 เวลา 12:11 ในหมวดหมู่ จอมป่วน #
อ่าน: 1686

ต้องออกตัวก่อนนะครับว่าไม่ใช่เป็นผู้เชี่ยวชาญ  เพียงแต่อยากเล่าประสบการณ์เล็กๆน้อยๆ  เป็นการแลกเปลี่ยนกันครับ

การฝึกสมาธิ  การฝึกฝนให้มีสติ  มีหลายวิธี  ขยันค้นคว้า  สอบถามกันหน่อยแล้วกันนะครับ  ชอบวิธีไหนก็ตามสดวก  ตามจริตของแต่ละคนครับ  ที่สำคัญคือต้องปฏิบัติครับ

ถ้าเริ่มปฏิบัติแล้ว  อย่างน้อยก็จะเกิดสิ่งที่ดีๆขึ้นกับชีวิต  การทำงานก็จะสำเร็จลุล่วงเพราะมีสมาธิ  มุ่งมั่นที่จะทำให้สำเร็จ  มีสติ  รู้ตัว  ทำให้ไม่ค่อยจี๊ดๆจ๊าดๆ  ไม่ค่อยโกรธ  ไม่ค่อยโมโห  ไม่ค่อยโลภ ฯลฯ  หรือถ้าจะมีบ้างก็จะไม่รุนแรง  หายเร็ว  ไม่ทำอะไรด้วยอารมณ์โกรธ  โมโห  หรือโลภ

ฝึกแค่นี้ก็ยากโขอยู่นะครับ  แต่ค่อยๆปฏิบัติไปก็จะมีความก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ

ถ้าฝึกจนรู้จักสมาธิ  รู้จักสติก็เริ่มฝึกต่อไปครับ  เริ่มทบทวน  เริ่มใคร่ครวญถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา  จนรู้ความจริง  รู้ธรรมชาติ  ก็จะเริ่มเกิดปัญญา  เป็นปัญญาปฏิบัติ

แค่นี้ก่อนครับ  โปรดติดตามตอนต่อไป  อิอิ

อ่านแล้วช่วยต่อยอดด้วยนะครับ

Post to Facebook Facebook

« « Prev : สมาธิ สติ - ออกกำลังใจตอนที่ 2

Next : การออกกำลังใจ ตอนจบ » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

7 ความคิดเห็น

  • #1 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 7 มกราคม 2010 เวลา 13:16

    เมื่อวานรถผมถูกชนครับ ฝนตกถนนลื่น มีรถแซงซ้ายลงไหล่ทางซึ่งเป็นโคลน ปัดมาชนรถผมในเลนซ้าย แล้วก็หมุนไปขึ้นเกาะกลาง จอดอยู่หน้าเสาไฟฟ้าแต่ไม่ชนเสา ผมควรจะโกรธที่อยู่ดีๆ ก็ถูกชน แต่ก็ไม่ได้โกรธเพราะรู้ว่าประกันของผมจัดการให้หมด เสียเวลานิดหน่อย ดีเหมือนกันได้ตากฝน แต่รถอีกคันหนึ่ง ออกอาการโกรธเกรี้ยว “มีเหตุผล” ต่างๆ มาอ้างมากมาย คงเขินมั๊งครับ ไม่รู้จะโกรธไปทำไม เรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว เค้าผิดด้วย เมื่อดูคนโกรธ รู้สึกสมเพชครับ

    ช่วงนี้ผมคุยกับคนมีความรู้ อาจจะเรียกว่าเป็นกลุ่มหัวก้าวหน้าก็ได้ คืออยากเข้าใจว่ามันอะไรกันนักหนา ทำไมถึงทำเรื่องวุ่นวายโดยไม่สนใจใคร; มีข้อสังเกตหลายอย่างนะครับ (1) ถ้าผมไม่คุยด้วย จะเข้าความคิดเขาได้อย่างไร ซึ่งมันคงไ่มแฟร์อย่างยิ่ง ที่จะไปตัดสินเขาว่าเป็นยุง (พวกก่อความเดือดร้อนรำคาญ) โดยไม่เข้าใจว่าเขายืนอยู่บนอะไร คับข้องใจเรื่องอะไร มี “ปัญหา” อะไร (2) คนกลุ่มนี้ คุยกันเอง จึงรับข้อมูลด้านเดียว จับผิด-จับถูก ที่ออกลักษณะค่อนขอดกระทบกระแทกแดกดัน อาการนี้ เกิดจากความคิดและอคติ เป็นการเติมเชื้อไฟให้กันเอง (3) ถ้าไม่รู้จักวิธีระบายความเครียดออก อาจจะนำสู่ความรุนแรง (4) มักตัดสินคนอื่นโดยหยุดที่ผลของการตัดสินที่ถูกใจตน ไม่ย้อนไปไกลกว่านั้น แถมรู้สึกว่าตัวมีเหตุผลแล้ว (5) ถ้าใครไม่ทำตามใจเขา คนพวกนั้น “ผิด” (6)  ตัวเขาเป็นผู้สูงส่ง พยายามชี้ทางออกให้กับสังคมแล้ว แต่ตัวเองก็ไม่ได้ทำอะไร แล้วใครไม่ทำตามที่เขาคิด ก็เป็น “อีกพวกหนึ่ง” (7) คนสมัยนี้มีความอดทนต่ำ อาจจะเป็นเพราะสังคมมีปัญหาซึ่งสร้างความกดดันได้มาก คนที่ควรจะไว้ใจได้ กลับทำให้ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีก ทำให้โกรธเกรี้ยวอาละวาดไปทั่ว (8) ถ้าไม่คุยกันเรื่องที่มีอคติอยู่ คุยกันได้ครับ เขาเป็นคนธรรมดา (9) เขาเลือกคบกับกลุ่มที่มีความคิดคล้ายกัน เพื่อต้องการข้อมูลมายืนยันว่าความคิดเขาถูกต้องแล้ว เป็นการหาพวก คบคนเช่นใดย่อมเป็นเช่นนั้น (10) อัตตาแรงมาก เพราะความเชื่อและไว้ใจว่าความคิดของเขาถูก(เสมอ) เหมือนเด็กคิดเลข แม้จะตอบผิด เด็กก็คิดว่าตอบมาถูกแล้ว (11) คิดกันแบบสมการเชิงเส้น ตัวแปรเดียว เพราะ x จึง y เพราะ y จึง z

    คนเรามักคิดว่ารู้จักตัวเองดี อยู่กับตัวนี้มาตั้งแต่เกิด แต่คนที่รู้จักตัวเองดีนั้น น่าจะรู้จักอารมณ์ของตัวเองด้วย เมื่อรู้อารมณ์ของตัวเอง จึงจะระงับความพลุ่งพล่านวูบวาบได้ (ระงับผลที่เหตุ) ตราบใดที่สิ่งต่างๆ เป็นไปโดยอัตโนเมติก ไม่รู้ตัว ก็ตกเป็นทาสของอารมณ์ ขาดสติ แยกแยะความคิดกับความจริงไม่ออก แล้วยิ่งไปคิดเรื่องที่ตัวไม่รู้ลึกด้วย ยิ่งไปกันใหญ่ครับ

  • #2 จอมป่วน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 7 มกราคม 2010 เวลา 14:36
    ขอบคุณมากครับที่มาช่วยต่อยอด  แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน

    เคยคุยกับพรรคพวกที่อายุยังน้อย(ยังไม่แก่)   เค้าบอกว่าตอนหนุ่มๆผมเป็นยิ่งกว่าเขา  พออายุมากก็จะค่อยๆดีขึ้นเอง(แก่แล้วคงดีขึ้นเองเพราะอายุมาก)  เค้าก็รอว่า  ถ้าเค้าอายุมากขึ้นก็จะดีขึ้นเอง  ซตพ.  อิอิ

  • #3 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 7 มกราคม 2010 เวลา 17:16

    ขอโทษที่เม้นท์ยาวไปหน่อยนะครับ ยาวกว่าบันทึกเสียอีก

    การทำจิตให้สงบ คำสอนของพระโพธิญาณ (หลวงปู่ชา สุภทฺโท)

    เมื่อผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ ก็มีโอกาส “เอ๊ะ” ได้เยอะครับ เอ๊ะคือสติ อ๋อคือสัมปชัญญะ ดังนั้นคนอายุมาก จึงมีโอกาสที่จะค่อยๆ ดีขึ้น เพราะมีแนวโน้มที่จะเคยเอ๊ะมาบ่อยกว่า ยิ่งเอ๊ะมากก็ยิ่งฉุกคิดได้มาก แต่ถ้าที่ผ่านมาไม่ค่อยได้เอ๊ะ บางทีอายุก็ไม่ได้ช่วยอะไรนะครับ

  • #4 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 7 มกราคม 2010 เวลา 21:00

    เขาบอกว่าจิตเราเหมือนลิงทะโมน  ไม่อยู่นิ่ง วอกแวก อยู่ไม่สุข เดี๋ยวคิดโน่น คิดนี่ คนที่มีธุรกิจก็ห่วงธุรกิจของตัวเอง ทำไมคนนั้นไม่เป็นอย่างนี้ ทำไมคนนี้ไม่เป็นอย่างนั้น  นักบริหารก็ เฝ้าหาความรู้มาส่งมอบให้คนใต้บังคับบัญชาได้เป็นอย่างที่ใจนึก  แต่ก็ไม่ได้สักที 

    ปรากฏการณ์เหล่านี้เป็นเรื่องปกติทางโลกที่เราคุ้นชิน และเอาวิชาการเข้ามาศึกษา และแก้ไขกัน เอาระเบียบ กฏเกณฑ์ตั้งขึ้นมาบังคับให้คนต้องอยู่ในร่องรอยที่กำหนด  ต่อมามีขึ้นบอกว่าต้องมีส่วนร่วม ให้ทุกคนช่วยกันออกแบบกติกาการทำงาน ก็ดีขึ้น แต่คนในสังคมก็ยังดีดดิ้นไปตามวิสัย เบ้าหลอม และความหลากหลายของส่วนลึกที่เป็นเรื่องภายใน…..

    เมื่อผมเข้าบวชที่สำนักวิปัสนาไทรงาม รอยต่ออ่างทอง-สุพรรณบุรี 1 พรรษา พระอาจารย์บอกว่าเวลาบวชมีน้อย ไม่ต้องเอาตำราใดๆมา ไม่ต้องไปสวด ท่องบ่นตามพระปกติที่บวชมานาน เธอมาใช้เวลาทั้งพรรษาที่น้อยนิดนี้ฝึกอย่างเดียว  ท่านก็เมตตาสอน นั่ง เดิน ยืน นอน ด้วยหลัก มหาสติปัฐฐาน 4 นั่งสมาธิด้วยการคู้แขน คล้ายของหลวงพ่อเทียน ที่พระอาจารย์ไพศาล วิสาโลท่านปฏิบัติอยู่ นั่นไปนั่นมาเมื่อยก็เดินจงกรมรอบวัด  ปวารนาตนเองว่าจะไม่สนทนากับใครทั้งวันทั้งตืนยกเว้นช่วงที่พระอาจารย์มา “สอบอารมณ์”

    โห…..ไอ้ที่ว่าจิดเราเหมือนลิงนั้น  มันชัดเจน ตัวนั่งอยู่ที่วัด ใจลอยไปสะเมิง เชียงใหม่ ไปบ้าน ไปหาที่รัก ไปโน่นไปนี่…..อ้าวรู้ตัวก็กลับมาที่การคู้แขน ซ้ายขวา ช้าๆ จับความรู้สึกที่เกิดขึ้น คลายกล้ามเนื้อ ไม่เกร็งใดๆ เหมือนก้อนเนื้อกองอยู่เฉยๆ ปล่อยลมหายใจช้ายาวๆ จับความรู้สึกที่การคู้แขน  เดี๋ยวเดียวเท่านั้น ไปอีกแล้ว นึกถึงความสุขที่เคยเสพ  นึกถึงปัญหาที่เคยเผชิญ นึกถึงพ่อแม่ที่แก่เฒ่า นึกถึงอนาคตตัวเองจะไปอย่างไร…ฯลฯ ไปไกลสุดกู่..  อ้าวไปอีกแล้ว  ดึงกลับมาใหม่อีก จับความรู้สึกที่การคู้แขน…..

    วนเวียนเช่นนี้นานเป็นสัปดาห์  กว่าจิตจะสงบลงมา นิ่งลงมา ไม่วอกแวก…มากเท่าช่วงที่บวชใหม่ๆ
    ……
    เมื่อสึกออกมาผมก็นิ่งลงมาก
    เมื่้อกลับเข้ามาสู่วงจรชีวิตที่ห่างไกลการปฏิบัติ จิตที่เคยฝึกมาก็เริ่มเป็นลิงไปอีก…

    เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้แหละท่านจอมป่วน

  • #5 นักการหนิง ให้ความคิดเห็นเมื่อ 8 มกราคม 2010 เวลา 8:38

    ตามดูจิต ทันทีที่ได้ยินจอมป่วนเล่าให้ฟังว่าเหมาะกับคนแสลงบาลี ซึ่งทำได้ในชีวิตประจำวัน..

    วันนี้กดน้ำร้อนจากกระติกแบบใจลอยๆ น้ำร้อนลวกมือ วินาทีนั้น รู้ว่า..เหม่อ..เห็น..ตกใจ..ร้อน.. โทสะ.. ร้อน ..โทสะ.. ดับ..

  • #6 ครูสุ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 8 มกราคม 2010 เวลา 12:10

    วาทะประจำวัน…
    “เอ๊ะคือสติ อ๋อคือสัมปชัญญะ”

    ขอบคุณท่านรอกอดค่ะ
    จะพยายามเอ๊ะให้บ่อยขึ้น เพราะอายุมากแล้ว
    อิอิ

  • #7 reviewzone ให้ความคิดเห็นเมื่อ 15 มกราคม 2010 เวลา 10:52

    ขอบคุณที่แวะไปอ่าน ลานรีวิวนะค่ะ

    อ่านแล้วได้สติ สมาธิ กำลังใจไปมากโข 5555
    แล้วจะแวะมาอีกค่ะ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.80406808853149 sec
Sidebar: 0.24494409561157 sec