ปล่อยวางหรือโยนทิ้งดี
อ่าน: 2064ไม่ได้เขียนในแนวธรรมะนะ เพราะสารภาพเลยว่าไม่ชอบเข้าวัด สวด ท่องบาลีไม่ได้เลย ไม่เคยนั่งสมาธิเป็นเรื่องเป็นราว แต่เป็นการพิจารณาการใช้คำง่ายๆอธิบายอะไรบางอย่าง ให้คนบางคนฟังอาจจะเข้าใจได้ง่ายกว่า ?
ในการพัฒนาตัวเอง คงต้องฝึกปฏิบัติอะไรๆมากมายควบคู่ไปกับการเรียนรู้ทฤษฎี เพื่อให้เข้าใจพื้นฐานและขั้นตอนของการปฏิบัติ
หลังจากที่เริ่มเข้าใจว่าการพัฒนาตัวเอง (ซึ่งในการพัฒนาทีมงานก็มาเริ่มที่พัฒนาตัวเองเหมือนกัน) ก็เริ่มสนใจเรียนรู้เรื่องของตัวเองมากขึ้น เมื่อก่อนก็พยายามหาวิชาไปเปลี่ยนคนอื่น ไปพิชิตผู้อื่น ต้องเตะขี้หมา(ก็เหม็นเท้าตัวเอง……อันนี้ขอยืมที่ครูบาสอนไว้) ต้องเอาหัวโขกกำแพง จนหัวน่วม ปวดไปหมด แต่กำแพงก็ไม่ยักพัง สงสัยแข็งเหมือนกำแพงบ้านน้องมิม (อันนี้ก็ครูบาสอนไว้)
พอเริ่มสนใจตรงนี้เพราะเอะใจว่าเราน่าจะดับทุกข์ผิดทาง ก็เริ่มศึกษาควบคู่กับการปฏิบัติ ที่ทำอยู่ก็แค่ฝึกให้มีสมาธิ หัดตามดูจิตตามที่หลวงพ่ออำนาจสอน (ชอบแนวของ อ. วรภัทร์ ด้วย) ก็อ่านไป ปฏิบัติไป ได้มั่ง ไม่ได้ซะละมากกว่า อิอิ ช่วงนี้ก็เลยดูคลิปน้อยลง เอ๊ย ค้นเรื่องธรรมะมาอ่านมากขึ้น เพราะบางทีทำไปก็ติดขัดไป
……..
เข้าเรื่องสักที
……
ที่นำเรื่องปล่อยวางมาคุยกันเพราะเป็นคำที่เจอบ่อย คนที่ขี้โมโห ขี้น้อยใจ ฯลฯ ชอบบอกว่าปล่อยวางแล้ว แต่เผลอแป๊บเดียวหยิบขึ้นมาอีกแล้ว
บางคนใช้คำว่าทนได้แล้ว ยังไงๆก็ต้องทน แบบว่าศรีทนได้ในโฆษณาสีทาบ้าน แต่พอทนไม่ไหวก็ระเบิดเลย แถมคิดดอกเบี้ยทบต้นซะอีก
พูดคุยกับบางท่าน ท่านก็บอกว่าการที่รู้สึกโกรธแล้วระงับไว้ได้ก็เป็นการฝึกเอาศิลาไปทับหินไว้ รู้จักข่ม รู้จักระงับความโกรธไว้ ก็เป็นขั้นตอนแรกๆของการฝึกฝนตัวเอง แต่การระงับดังกล่าวอาจเป็นเพราะต้องทน มีความจำเป็นเพราะรักเขามาก เพราะกลัวผู้มีอำนาจ ฯลฯ ก็ดีกว่าไม่รู้จักระงับ ปล่อยให้ระเบิดออกมา ด่าว่าผู้อื่นหรือถึงขั้นลงไม้ลงมือ
บางคนก็คิดว่าทำได้แค่นี้ก็ถือว่าปล่อยวางได้แล้ว แต่พร้อมจะหยิบขึ้นมาอีก เพราะวางไว้เฉยๆ วางไว้ใกล้ตัวหยิบฉวยได้ง่าย
เลยคิดว่าน่าจะใช้คำว่า โยนทิ้งไปเลยแทนคำว่าปล่อยวาง เพราะถ้าโยนทิ้งไปเลย เวลาจะหยิบขึ้นมาใหม่น่าจะหาไม่เจอ หรือหายากกว่าวางไว้เฉยๆ วางไว้ข้างตัว
การโยนทิ้งไปเลย คงหมายถึงโยนเหตุการณ์ดังกล่าวทิ้งไปเลย ลืมไปเลย แต่ก่อนโยนทิ้งถ้ามีสติ นำมาไตร่ตรองจนเกิดปัญญา ก็จะโยนทิ้งไปทั้งอารมณ์เลยน่าจะดีกว่านะ
แต่ก็อย่างว่า พูดง่ายแต่ทำยาก แต่ถ้าเข้าใจ ฝึกปฏิบัติ สักวันคงทำได้ แต่ถ้ารู้แต่ไม่ทำ เมื่อไหร่ๆก็ทำไม่ได้เพราะไม่ได้ทำ
……….
จบยังไงดีนะ จบไม่ลง จบดื้อๆยังงี้แหละ…………
« « Prev : ที่ว่าปฏิบัตินั้นทำอย่างไร ?
6 ความคิดเห็น
เห็นด้วยนะคะว่า ก่อนโยนทิ้งก็ควรไตร่ตรองอย่างที่นั่นแหล่ะค่ะ
และไตร่ตรองเพิ่มอีกหน่อยว่า โยนที่ไหนดี
บางทีการโยนทิ้งแบบไม่ได้ตั้งใจโยน มันก็อาจจะกลับมาสะดุดทีหลัง
ถ้าโยนแบบเจตนาโยน โยนแล้วยังมองเห็นแล้วพิจารณาในแต่ละครั้งที่เห็นว่า รู้สึกอย่างไร ยังเป็นเรื่องที่กวนใจอยู่ไหม
พอเจอปัญหาคล้ายๆกัน ก่อนจะเกิดอารมณ์โกรธ ตัวเห็นมันจะมาช่วยได้ว่า มาอีกแล้วนะ มาอีกแล้วนะ ไอ้สิ่งที่โยนไป แล้วก็จะรู้ทัน
ที่พูดนี้ไม่ได้หมายความว่าอุ้ยเก่งหรือทำสำเร็จทุกครั้งนะคะ เป็นวิธีการที่ลองใช้เท่านั้นเองค่ะ
อ้าวสีมันจาง ลงอีกรอบ ลบอันบนออกนะขอรับ
แหมหมอละก็ เอ๊ะอะก็จะโยน จะโยนๆๆๆๆๆ
สต๊าฟไว้ดูดีกว่า จะได้เป็นอนุสรณ์เตือนใจ
เรื่องเตะขี้หมานี่ แก่ตัวมาผมเพิ่งสำนึกได้
ตอนนี้เปลี่ยนเป็นเก็บขี้หมามาขุดหลุมใส่ต้นไม้
เปลี่ยนจากขี้เหม็นมาเป็นปุ๋ยให้ต้นไม้ผลิดอกไม้หอม
ผมก็โง่ๆเซ่อๆไปอย่างนั้นเอง อย่าเผลอตามนะครับ คิคิ
มันเป็นแค่อุปมาอุปมัย…… ตั้งใจวาง ตั้งใจโยนมันก็ยังไม่จบ คงต้องให้มีปัญญาแล้วมันวางเอง โยนเองรึเปล่า ?
เห็นเค้าว่าต้องมีความเพียรมากๆ หมั่นปฏิบัติ
พระภิกษุยังต้องหมั่นฝึกหมั่นปฏิบัติ แล้วเราๆล่ะ? ไม่ฝึกไม่ปฏิบัติแล้วจะเป็นอย่างไร ?
#2 ครูบาครับ
เรื่องเตะขี้หมากับเรื่องเอาหัวโขกกำแพง ครูบาพูดให้ฟังที่ร้านอาหารที่พิษณุโลกนานแล้ว แต่ยังจำได้ไม่ลืม
เผลอๆก็ยังเตะอยู่บ้าง ขาดสติก็เอาเอาหัวโขกกำแพงบ้าง นานๆที อิอิ
กว่าจะเข้าเรื่องได้ ก็อารัมภบทตั้งนาน
กว่าจะจบได้ก็หาที่จบไม่ลง
ควรจะอ่านต่อดี หรือโยนทิ้งดีละเนี่ย..เอิ้กๆๆ
อ่านมาก็มาก(และไม่จำ)
ดูมาก็เยอะ(แต่ไม่เห็น…ทาง)
ตอนนี้ก็ปฏิบัติดีกว่า
เผื่อว่าจะไปเจอกับที่อ่านมาแล้วนำมาให้เห็นทาง…ก็เป็นได้
….
โยนคนอ่านแล้วมากวน…ทิ้ง น่าจะเข้าท่ากว่านะครับ เอิ๊กๆๆๆๆๆ
#5 น้าอึ่งอ๊อบ
…..ตอนนี้ก็ปฏิบัติดีกว่า…..
วันหลังขอไปนั่งถกวิธีปฏิบัติหน่อยนะครับ