ภูหินร่องกล้า - เราเรียนรู้อะไร ?
อ่าน: 3888
เสาร์อาทิตย์นี้ ยกทีมไปช่วยโรงพยาบาลรวมแพทย์ พิษณุโลกพัฒนาบุคคลากร มีนักการอิ่มกับนักการเมี่ยงไปช่วย การอบรมก็ได้ผลระดับหนึ่งเป็นที่พอใจ แต่ก็ต้องกลับไปพัฒนาต่อไปอีกอย่างต่อเนื่อง ได้คุยกับผู้บริหารกับทีมงานพัฒนาบุคคลากรเรียบร้อยแล้ว
ไม่ค่อยอยากเล่าเรื่องการพัฒนาบุคลากรเท่าไหร่ แต่อยากเขียนเรื่องเกี่ยวกับภูหินร่องกล้ามากกว่าครับ
คงไม่มานั่งเล่าความเป็นมาหรอกนะครับ แต่การที่ได้ขึ้นไปบนภูหินร่องกล้าอีกครั้ง ได้ไปเดินเล่นที่ลานหินแตก ไปโรงเรียนการเมืองการทหาร เห็นบ้านพักสหายหลายๆคน ไปดูที่หลบภัยทางอากาศ โรงสีกังหันน้ำ เสียดายไม่ได้ไปเดินลานหินปุ่มกับผาชูธง เพราะฝนตกก่อน
พอได้มาเดินเล่นที่ภูหินร่องกล้า ได้เจอบรรยากาศที่นี่ ก็หวนระลึกถึงเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองขณะนี้ นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นตั้งแต่จำความได้ จนถึงปัจจุบัน ไม่ได้ไปไกลถึงเรื่องราวที่เป็นประวัติศาสตร์ไปแล้วหรอกนะ เอาที่ตัวละครยังเหลืออยู่เป็นตัวเป็นๆ ได้เจอในโทรทัศน์ เจอตัวจริงเสียงจริง ได้กอด ได้คุย
ก็เลยสงสัยในใจขึ้นมาว่า
เราเรียนรู้อะไรบ้างกับเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นในบ้านเมืองเรา?
ทำไมถึงเกิดซ้ำๆซากๆ
เราไม่เอะใจกันมั่งหรือ ?
จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ?
ลูกหลานเราจะต้องมาเจออย่างนี้อีกใช่ไหม ?
บ่นไปยังงั้นเอง ไม่ต้องการคำตอบหรอกครับ เพราะคิดว่าคนที่จะให้คำตอบ ก็คงไม่แน่ใจเหมือนกัน ? ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ? ลูกหลานเราต้องเจออีกใช่ไหม ? ควรทำอย่างไรกันดี ?
ถ้าแน่ใจจริงๆ จะชี้แนะก็ดีนะครับ แต่ถ้าไม่แน่ใจก็อ่านเฉยๆครับ เอาไปคิดเล่นๆแล้วกัน อิอิ
« « Prev : กำหนดการ ป่วนเมืองสองแคว
Next : มีไหมเอ่ย ครูอกหัก ขอสักคน » »
12 ความคิดเห็น
อิอิ……อยากชี้แนะกลัวไม่รับฟัง ……ฮ่าๆๆๆๆๆ
นั่นซินะ ทำไมเรื่องราวจึงต้องซ้ำรอย ย่ำเท้ารอยเก่ากันอยู่ได้ ทั้งๆย่ำใหม่ก็ได้ เอะใจเหมือนกันแหละเฮียจ๋า
คงต้องรออีกสักหน่อยกว่าจะเข้าที่มั๊งคะ
#2 หมอเจ๊
#3 Sasinand
ดักคอหน่อยเดียว ไม่กล้าชี้แนะเลยนะครับ
ล้อเล่นน่ะครับ เครียดไปได้ อิอิ
เชิญๆๆๆๆๆๆ ครับ
แหม คันมือๆ
ไม่ใช่การชี้แนะ แต่อยากจะป่วนเขียนได้มั้ยคะ ^ ^
มีความเห็นอย่างเดียวว่าสังคมเปลี่ยนไปมาก อย่างรูปแบบที่เราเห็นในความขัดแย้งโครมๆที่อยู่บนจอและชีวิตจริงในขณะนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของความขัดแย้งเดิมๆที่เคยชินมา 1. เป็นความขัดแย้งที่มีเหตุผลเบื้องหลังมากกว่าที่เห็นและแอบแฝงด้วยผลประโยชน์ 2. เป็นความขัดแย้งที่อยู่ระหว่างประชาชนและประชาชน 3. เป็นความขัดแย้งที่ไม่รู้ว่าจะหาข้อยุติตรงไหน ยังไม่มีคนกลางที่จะไกล่เกลี่ยได้ และต่างฝ่ายต่างมีเงื่อนไขในการเจรจา
แม้นจะเหนื่อยใจแต่ก็เห็นว่าในภาวะที่ฝุ่นตลบแบบนี้ ยังทำให้เราเห็นความหวังและแนวทางที่จะเดินต่อ เนื่องเพราะสังคมที่ซับซ้อนและไร้ระเบียบเป็นห้วงเวลาที่ทุกคนสามารถเป็นผู้นำได้ ผู้นำในที่นี้คือผู้นำชีวิต ผู้นำในการตัดสินใจเพื่อสิ่งดีๆ ทางเลือกที่ดีและเหมาะสมด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องตามใครค่ะ ดังนั้นภาวะไร้ระเบียบจะก่อเกิดผู้นำ แนวทางใหม่ๆได้มากมายโดยไม่จำเป็นต้องมีเพียงทางเลือกที่มีคนเสนอให้เท่านั้น
ภาวะวุ่นวายแบบนี้มีข้อดี เพราะเตือนให้เราใช้ความคิด ใช้การพิจารณา ใช้จิต ปัญญาในการไตร่ตรอง และมองให้กว้างกว่ากลุ่มก้อนฝ่ายที่แบ่งๆกันอยู่ในขณะนี้
เราเห็นหน่ออ่อนของสังคมที่เค้าสนใจการเมือง เราเห็นการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ถือได้ว่าท่ามกลางภาวะฝุ่นตลบ เรายังมีความหวังอยู่หลังกลุ่มฝุ่นเหล่านั้น คุณหมอเคยพูดว่ากลุ่มคนในสังคมมี 3 กลุ่ม กลุ่มแรกคือข้าราชการ กลุ่มที่ 2 คือนักการเมือง และกลุ่มที่ 3 คือประชาชน ถ้าเราทำให้กลุ่มที่ 1 และ 3 เข้มแข็งมีทางเลือก กลุ่มที่ 2 ก็จะเปลี่ยนแปลง หน้าที่ของเราและความหวังของเราก็อยู่ในมือเราทุกคนแล้วนี่คะว่าจะ ” ลงมือ ” ทำในส่วนที่เกี่ยวข้องและทำได้ เพื่ออนาคตที่ดีของสังคมและเลิกเล่นการเมืองแบบพวกมากลากไปหรือไม่พอใจอะไรก็ประท้วงกันได้เสียทีหรือยัง
ภาพฝันที่เราเห็นเราควรมีความกล้าและศรัทธาในการทำตามภาพฝันนั้นๆนะคะ เบิร์ดเห็นว่าการก้าวออกจากวังวนและความไร้ระเบียบที่กำลังฟอร์มตัวใหม่แบบนี้เราควรมีทั้งจินตนาการที่ยิ่งใหญ่เพื่อสร้างภาพฝันที่เราอยากเห็นและกล้า+ศรัทธาในภาพฝันนั้น ร่วมกับจิตที่กว้างขวางเพื่อกล้าที่จะอภัยกับทุกสิ่งที่ทำให้เราหมองใจ หรือยกย่องในคุณความดีต่างๆที่มีคนทำเพื่อสังคมแม้นจะเป็นสิ่งเล็กน้อยก็ตาม
การดูแลสิ่งใด..ใจเราต้องใหญ่พอไม่ใช่เหรอคะ
สังคมไร้ระเบียบ และซับซ้อนเป็นการบอกว่าการใช้ลักษณะเดิมๆเช่น command and order นั้นไม่ได้ผลแล้ว นี่จึงเป็นโอกาสของการใช้ความคิด จิตใจ และปัญญาในการไตร่ตรองและร่วมสร้างทางเดินใหม่ด้วยจินตนาการที่ยิ่งใหญ่และจิตใจที่กว้างขวางของเราทุกๆคน เพราะภาวะที่ฝุ่นคลุ้งเป็นสัญญาณบอกว่าเราทุกคนต่างเป็นผู้นำด้วยตนเองได้ทั้งนั้น และเป็นภาวะเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงเพื่อเข้าสู่ความเป็นระเบียบใหม่ที่เราอยากเห็นได้ถ้าเรากล้าและลงมือทำร่วมกันค่ะ
นี่คาใจ จนต้องมาใช้เน็ตโรงแรมเข้าให้หายคันมือเลยนะคะเนี่ย อิอิ
แหม คันปาก ๆ
ในฐานะเป็นศิลปินครูเพื่อชีวิต…. ก็ระบบการศึกษาของไทยยังตามความคิดของคนไม่ทันนะสิครับ เวลาเขาเดินล้ำหน้าไป ก็จับเขามาขังกรงเหล็กที่ชื่อว่า หลักสูตร ..แค่นี้ สมองก็โดนดองไปครึ่งประเทศแล้ว หลายสิบปีที่ผ่านมาเราจึงมีผลผลิตทางปัญญาของชาติ ที่เป็นคนเก่ง ดี มีสุข ดังนี้
คนเก่ง หมายถึง ผู้ที่จดจำข้อมูลได้มาก สอบได้คะแนนมากกว่าคนอื่น มีกำลังมากกว่าคนอื่น
คนดี หมายถึง ผู้ที่สยบยอม นั่งนิ่งเชื่อฟังครูทุกประการ ทำตามที่ครูสั่งได้ถูกใจครู
คนมีความสุข หมายถึง มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบ มีเงิน มีอำนาจ
บัดนี้ผู้คนเหล่านี้ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในบ้านในเมือง เขาจึงกำหนดคุณภาพของเด็กไทย โดยใช้ตัวเขาเองเป็นเกณฑ์ เขาจึงหงุดหงิดที่เห็นเด็กกล้าติดกล้าแสดงออก กลัวว่าการศึกษาประวัติศาสตร์จากบาดแผลในอดีตจะทำให้เด็กฉลาดขึ้น แล้วมาขัดขวางกระบวนการประชาธิปไตยแบบพวกมากลากไป ของเขา
นายกบาลเบา ได้จัดทำหลักสูตร e.q. ขึ้นใช้ โดยกำหนดคุณภาพของผู้เรียน ดังนี้
คนเก่ง คือ คนที่รู้จักตนเอง ทั้งความชอบ ความสนใจ ความสามารถของตนเอง
คนดี คือ คนที่รู้จักรักผู้อื่น รักบ้านเมือง เสียสละ มีคุณธรรม
มีสุข คือ มีความพึงพอใจในตนเอง รู้จักพอ รู้จักให้ รู้จักอภัย
แต่มีนักวิชาการจากหลักสูตรเก่า บอกว่า คุณใช้แนวคิดของใคร ของนักการศึกษาคนใด พอผมตอบเขาว่าก็คิดเองสิครับ เขาก็หัวเราะซะงอหงายเลย..เขาบอกว่า คุณทำไปเรื่อย ต้องอ้างทฤษฏี ต้องอ้างหลักการ ต้องอ้างนักการศึกษา นักจิตวิทยา..คุณเป็นใคร…คุณคิดเองได้อย่างไร..??????????????????????????????
ผมอึ้ง…..ไม่มีคำพูดใดใดหลุดออกจากปากนายกบาลเบา..แม้เพียงในใจก็เงียบ.เช่นเดียวกัน…..
นี่คือจุดเริ่มต้นของที่มา……ขบถวิชาการ….
เหนื่อยเน้อ หมู่เฮา
มาถึงรังนกกระจอกใกล้ๆ5ทุ่ม ยังอิ่มจากร้านเรือนไม้ ขอบคุณหลาย เจ้าภาพจงเจริญครับ ฝากคิดฮอดทุกคน อิอิ
ขำๆๆๆ คนสอนบอกไม่ได้สอน คนเรียนบอกไม่ได้เรียน คนชี้แนะก็บอกว่าแค่ป่วน ฮ่าๆๆๆๆๆๆ
……คุณหมอเคยพูดว่ากลุ่มคนในสังคมมี 3 กลุ่ม กลุ่มแรกคือข้าราชการ กลุ่มที่ 2 คือนักการเมือง และกลุ่มที่ 3 คือประชาชน ถ้าเราทำให้กลุ่มที่ 1 และ 3 เข้มแข็งมีทางเลือก กลุ่มที่ 2 ก็จะเปลี่ยนแปลง ……
จริงๆแล้ว กลุ่มที่เข้มแข็งที่สุดน่าจะเป็นกลุ่มข้าราชการ อิอิ
รองลงมาน่าจะเป็นกลุ่มการเมือง ประชาชนจะอ่อนแอที่สุด
ต้องพัฒนาให้เข้มแข็ง แข็งแรงพอๆกันสั้งสามกลุ่มเพื่อคานและตรวจสอบซึ่งกันและกัน
ตัวเล็ก ใจใหญ่ใช้ได้ ไม่เหมือนคนแรก #1 สิทธิรักษ์
…..อิอิ……อยากชี้แนะกลัวไม่รับฟัง ……ฮ่าๆๆๆๆๆ
อำหน่อยเดียว กลัวไปได้ อิอิ
จาก Chaos Theory
ระบบราชการ ซึ่งเป็นแบบ Ortrolic Organization ( Order+ Control ) มุ่งให้คนเหมือนกัน แต่งเครื่องแบบเหมือนกัน ต้องทำอะไรๆ เหมือนๆกัน แถมพยายามใหคิดเหมือนกัน มันจึงพัฒนายาก ไม่มีความคิดสร้างสรร ( Innovation )
ไม่รู้จักนวัตกรรม อิอิ
อิ๊ดบะเห้ย…..
พักผ่อนมากๆนะครับ อิอิ
สวัสดีครับคุณหมอ
สบายดีไหมครับ คิดถึงนะครับผม
จริงๆ เรื่องซ้ำๆซากๆ เป็นเรื่องธรรมดาครับ คนสวยจะแกงไตปลายังต้องตำพริกขี้หนู พริกไทย กระเทียม ขมิ้น เกลือ ซ้ำๆกว่าจะรวมกันเป็นเครื่องแกงไตปลาได้ครับ ตำจนซ้ำๆ ไม่เหลือซาก อิๆ
กว่าข้อมูลดิบจะเข้าสู่ขมองเรา กว่าจะคัดกรองข้อมูลดิบ กรองข้อมูลเน่าๆออก จนแปลงเป็นข้อมูลจริงๆ ได้กว่าจะแปลงเป็นสารสนเทศได้ กว่าจะเป็นความรู้ที่จุติในสมองได้ ก็ยังต้องการการคิดประมวลผลแบบซ้ำๆซากๆ เช่นกันครับ หากเกิดซ้ำๆ ซากๆ เกิดแล้วเกิดอีก จนไม่ทันที่จะเกิดสิ่งดีๆแบบที่โดนใจโต้ย แสดงว่ายังอยู่ในภาวะการปรับตัวครับ ข้อผิดพลาดจึงเกิดเยอะไปหน่อยครับ กว่าจะปรับค่าพารามิเตอร์ได้ที่มีค่าเหมาะสม ก็ใช้เวลาครับ
เราอาจจะต้องตายเกิดแล้วเกิดอีกซ้ำๆ ซากๆ เพื่อพบเห็นปัญหาเหล่านี้กันต่อไปนะครับ ระบบจะปรับตัวของมันเอง ผมยังไม่เคยเห็นการวิ่งแข่งในสนามกีฬาไม่มีการแข่งขันประเภท วิ่งจนเหลือคนเดียวเลยครับ แล้วให้คนนั้นเป็นรางวัลที่หนึ่งเลยครับ แต่ท้ายที่สุดเกมส์ก็ยุติเช่นกัน แล้วเกมส์ใหม่ก็จะเกิดในวาระถัดไป
ทางออกของสังคมไทยเรา คือ เราไม่รู้จักสันดานไทยและสันดานตัวตนเรามากพอครับ หากเรารู้จักตัวเราพอ แล้วมองสังคมรวมเป็นเป้าหมายที่จะเดินร่วม ทางออกก็จะเกิด แต่หากเราปรับสันดานเสียให้เป็นสันดานดีไม่ได้ ผมว่าเราก็ต้องเจอภาวะเวียนบังเกิดนี่ล่ะครับ ซ้ำๆ ซากๆ กันต่อไปจนกว่าจะนิ่งครับ
มีใครไหมครับที่กล้าจะมาจับใจของแต่ละฝ่ายมานั่งคุยกัน ยิ้มให้กัน คุยไปยิ้มไป คุยกันได้ไหมครับ หากคนเรามีปากแล้วพยายามคุยกันแล้วด้วยภาษาเดียวกันไม่ได้ เราก็ไม่สมควรจะเรียกตนเองว่ามนุษย์นะครับ คุณหมอว่าไหมครับ….
อิๆๆ ส่งท้าย นานๆ มาทีนะครับ มาคราวนี้สันดานผมแรงไปหน่อยครับ แต่อย่าแบกครับ ผมเชื่อว่าวันหนึ่งหลายๆ อย่างจะดีขึ้น ตอนนี้ อาจจะอยู่ในภาวะนิ่งบ้างไม่นิ่งบ้างครับ รัฐบาลเองก็ทำได้หากจะเชิญคนทุกฝ่ายมานั่งคุยเพื่อปรึกษาหารือ
ข้าราชการ มีเยอะ หากเราทำในหน้าที่ที่ตรงกับความหมาย อย่างน้อยอะไรดีๆ ก็เกิดขึ้นได้ครับ
นักการเมืองในสภา ก็คือข้าราชการ
ประชาชนไทย ก็คือ เจ้านายของข้าราชการ
รักษาสุขภาพนะครับ ระวังน้ำตาลขึ้นสูงนะครับ
ขอบพระคุณมากครับ
เม้งครับ
จอมป่วนก็พยายามทำงานกับด้านใน ( จิตใจ ) ของตัวเองให้มากขึ้น ช่วยคนอื่นพัฒนาด้านนี้บ้างตามกำลังและโอกาสครับ
สำหรับบางคนบางกลุ่ม คุยเรื่องนี้แล้วยังหัวเราะแบบที่ อ. มิติ เจอ คงลำบากนะครับ
ขอบคุณมากครับที่แวะมานั่งคุยด้วย อิอิ