มหาชีวาลัยอิสาน 25-28 กรกฎาคม 2552

อ่าน: 3265

ไปสวนป่าครั้งนี้ (25-28 กค 52) นับเป็นครั้งที่สี่ในรอบระยะหนึ่งปี
ครั้งแรก (15-17 มีนาคม 2551) ไปเมื่ออาจารย์แฮนดี้พานักศึกษาไปอบรมครูพันธ์ใหม่
และเป็นครั้งที่ถอยเก้าอี้ไปนั่งหลังอาจารย์แสวง…เพราะกลัวอาจารย์แสวงมองเห็นแล้วจะมาถามว่า พหุปัญญาแปลว่าอะไร
ครั้งนั้นไปด้วยเครื่องบิน จากเชียงใหม่ไปกรุงเทพฯ และจากกรุงเทพฯไปขอนแก่นโดยมีครูอึ่งไปรอรับมี่สนามบินขอนแก่น
ไปครั้งแรก..ไปเพื่อสังเกตการอบรมครูพันธ์ใหม่ ได้ตามครูพันธ์ใหม่ไปเรียนจากพ่อไลย์ และประทับใจกับคำของครูบาในปัจฉิมนิเทศที่ว่า

“พ่อไลย์ไม่ได้เป็นคนพันธุ์พิเศษเพราะว่ามีใครมาบอกว่าให้เป็น แต่พ่อไลย์ลงมือทำด้วยตัวเองจนได้รับการยอมรับว่ามีความพิเศษ เราเองก็ควรทำตัวปฏิบัติให้ถูกต้องและเป็นตัวอย่างให้เป็นที่ยอมรับแล้วก็จะเป็นคนพันธุ์พิเศษจากการกระทำที่แสดงออกของเราเอง”

คำพูคของครูบาคราวนั้นทำให้ได้หันมาทบทวนตัวเองว่าทุกวันนี้ทำตัว “พิเศษ” หรือว่า “เป็นคนปกติที่ทำเรื่องธรรมดาๆให้พิเศษ”??

ครั้งที่สอง (15-17 พค 51)  เป็นการไปแบบก้วยเจ๋งเรียนวิชา ตอนนั้นนับเป็นเฮ5 คุณหมอจอมป่วนเชิญทีมจากวงน้ำชาของเชียงราย ลูกศิษย์ท่านอาจารย์วิศิษฐ์ วังวิญญู ไปเป็นวิทยากรร่วมกับทีมกระบวนกรของเทศบาลนครพิษณุโลก ไปคราวนั้นเป็นไข้ตลอดเวลาที่อยู่ที่สวนป่า และเป็นครั้งที่ได้เรียนรู้จักตัวเองผ่านกิจกรรมต่างๆ อย่างสนุกสนานดี ได้ฟังขลุ่ยเทวดากับกีต้าร์ชั้นเทพบรรเลงอย่างสุดยอดของจิตวิญญาณ… การไปคราวนั้นได้เรียนรู้ว่า กระบวนการ “เพลงยุทธ์ไร้ข้อจำกัด” จากท่านครูบา ด้วยการพาเดินป่าและพูดคุยอย่างสุนทรียสนทนาก็เสริมสร้างพลังของการมีชีวิตร่วมกันและนอบน้อมกับธรรมชาติ อย่างมีคุณค่ามหาศาล และการ”ออกจากไข่แดง” อย่างธรรมชาติต่างจากการออกแบบจัดวางได้อย่างไร 

ครั้งที่สาม (27กพ -1 มีค. 52) เป็นการไปร่วมกิจกรรม ตีแตกอิสาน กับชาวคณะ สสสส1 หลักสูตรที่ครูบาไปเป็นนักเรียน ก็สนุกสนานมาก เพราะว่าคุ้นเคยกับหลายๆท่านที่ไปร่วมกิจกรรม สัมผัสได้ถึงพลังของใจที่ทุ่มเทเพื่อผู้อื่นว่ายิ่งใหญ่และไม่ต้องมี “ใบสั่ง” และได้เห็นความเป็นญาติ ความเมตตา ซึ่งเป็นรากเหง้าวัฒนธรรมไทยที่กำลังจะเลือนหายหากคนไทยทุกคนไม่ร่วมกันปฏิบัติ

สวนป่าครั้งที่สามได้เรียนรู้ว่า ความรักความเข้าใจกันของคนไทยเหือดหายไปกับความยั่วยุของสังคมบริโภค การจ้องจับผิดกันด้วย”สิ่งที่ขัดใจ” มีการเอาชนะกันด้วยเงื่อนไขเพียงความไม่เพียงพอของใจคน และการเอาชนะกันด้วยสำนวนโวหารน้ำลายและลมปาก แทนที่จะลงมือปฏิบัติเพื่อการพัฒนาไปข้างหน้าร่วมกัน คนไทยจำนวนมากกลับมีวิสัยทัศน์ต่อประเทศแค่รอบรอยเท้าและเงาของตัวเอง

สวนป่าครั้งที่สี่ นับเป็นครั้งที่ตั้งใจไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ หรือจะว่าแล้วคือการตัดสินใจไปเมื่อมีเวลาพอสำหรับการนั่งรถทางไกลถึงสิบสามชั่วโมง และไปเพื่อเยี่ยมเยือนครูบา แม่หวี และเดิมทีคิดว่าจะไปเยี่ยมน้าปิ๋ว แต่ด้วยเวลาอันจำกัดก็ทำให้กิจกรรมอยู่ที่สวนป่าทั้งหมด

คราวนี้ได้เรียนรู้ว่าสุนทรียสนทนา เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ การสนทนากันในภาวะที่ตระหนักรู้ตัวเอง จะทำให้เกิดความเข้าใจในวิถีของคนอื่น เกิดความร่วมมือกันในการทำงานสิ่งที่ยากให้ง่ายได้ และการได้เรียนรู้ว่าใจที่คิดเพื่อผู้อื่นนั้นยิ่งใหญ่และมีพลังมากกว่าใจที่คิดจะเอาเปรียบหรือเอาชนะคนอื่นด้วยคำพูดหรือด้วยเล่ห์กล

 การคุยกันบางครั้ง…ผ่านด้วยคลื่นของความเข้าใจ โดยไม่จำเป็นต้องแสดงออกทางคำพูดเสมอไป ….และใจที่คารวะกับธรรมชาติก็จะรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดของคนที่ต้องการคนเข้าใจ  รับรู้ถึงความทุกข์ของคนที่กำลังมองหาหนทางออกที่ก้นถ้ำ ….และรวมถึงใจของคนที่ยินดีอยู่กับความทุกข์อย่างรู้เท่าทันในทุกข์นั้น…

การไปสวนป่าครั้งนี้มีโอกาสได้ฟังความเห็นของครูบาต่อการปลูกต้นไม้การทำรายได้จากการปลูกป่า และการใช้พื้นที่ในปลูกต้นไม้ชนิดต่างๆ และมีอีกหลายเรื่องที่ได้มีโอกาสคุยกับครูบา อย่างเรื่องการศึกษาพยาบาลในยุคใหม่ การจัดการศึกษาอย่างไรให้คนมีความสุขและทำได้ทำเป็นคิดเป็น การคิดโจทย์วิจัยที่มาจากใจรักจะเรียนรู้ฯลฯ

ไปสวนป่าแต่ละครั้งมักจะถ่ายรูปไว้ค่อนข้างมากแต่ครั้งที่สี่นี้กลับแทบไม่ได้จับกล้องเลย ในใจรู้สึกว่ากล้องไม่สามารถถ่ายทอดเสียงลมพัดกิ่งไม้เสียดสีล้อเลียนกันเบาๆ ไม่สามารถเก็บภาพความลึกซึ้งของพลังใจที่อ่อนโยนและเมตตาต่อผู้อื่น ภาพของความเข้าใจเห็นใจต่อภาระกิจแก้โจทย์สังคมที่หนักหน้าตรงหน้า

“ใจ” จึงทำหน้าที่แทนกล้องที่เก็บเกี่ยวความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้

ตั้งใจว่าคราวหน้า…อาจจะประมาณสองเดือนหน้าจะหาโอกาสไปสวนป่าอีก ยังมีอีกหลายเรื่องที่ตั้งใจไปสนทนากับครูบา และจะได้ติดตามดูต้นมะรุมที่ร่วมกันปลูกกับครูอึ่ง ครูอาราม ป้าสอน…มีอีกหลายการเรียนรู้กับธรรมชาติที่สวนป่า

 ชีวิตคนเราจะต้องการอะไรมากไปกว่าการที่จะมีกัลยาณมิตร…และการมีโอกาสได้เฝ้ามองธรรมชาติอย่างคารวะต่อธรรมชาตินั้นละคะ

มหาชีวาลัยอิสาน 5-9 พ.ค. 2553: 3. ปั้นพระองค์แรกในชีวิต...มหาชีวาลัยอิสาน 5-9 พ.ค. 2553: 2.เรียนรู้อย่างมีชีวิตชีวา...มหาชีวาลัยอิสาน 5-9 พ.ค. 2553: 1. ปิติยินดี...มหาชีวาลัยอิสาน 5-9 พ.ค. 2553: 4. วงสนทนาใต้ร่มมะขาม...

« « Prev : ตีแตกอิสาน (3): ความเมตตา

Next : คำเมือง: อู้หื้อเปิ้นฮัก ยากนักจักหวัง” » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

175 ความคิดเห็น


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 3.5420589447021 sec
Sidebar: 0.054917097091675 sec