ความหยาบจากเมืองจีน

4 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 28 มีนาคม 2009 เวลา 9:54 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1130

   ไม่ใช่หยาบคายครับ แต่เป็นเรื่องความประณีตเรียบร้อยของงาน  ผมเก็บภาพถ่ายไว้นานแต่ไม่เคยได้แสดงความคิดเห็นเรื่องนี้ไว้ที่ไหน  จนกระทั่งได้มาตามอ่านเรื่องชุดสิบสองพันนาของท่านพี่บู๊ท บางทราย  ก็เลยไปร่วมแจมไว้  ก็ขอนำมาฉายซ้ำให้เห็นกันชัดๆที่ตรงนี้อีกรอบ

     ดูภาพและความคิดเห็นได้เลยครับ

    ผมเห็นชัดว่างานของจีนมักจะหยาบๆ  โดยเฉพาะถ้าเทียบกับญี่ปุ่น .. ต่างกันลิบลับ ดูได้จากผลิตภัณฑ์ทั้งหลาย  ส่วนที่เห็นในภาพนี้  เป็นงานไฟฟ้าในอาคารครับ (ภาพเล็ก ขวาบน และ ล่างซ้าย) .. ทางเทคนิคก็คงสอบผ่าน ขนาดของสายไฟ และ Spec. ของอุปกรณ์คงไม่มีปัญหา  แต่เรื่องความเป็นระเบียบเรียบร้อย และความปลอดภัย ยังดูไม่จืดอยู่นะครับ .. เกิดเด็กซนๆเดินไปจับโน่นจับนี่ใต้บันได  มีสิทธิ์ตายได้ง่ายๆ

 
      ในภาพนี้ก็อีกตัวอย่างหนึ่งครับ … ดูเขาทำ


ตาไม่ค่อยดี .. ช่วยดูที .. ผมอยู่ตรงไหน ในรูป

3 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 20 มีนาคม 2009 เวลา 1:12 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1193

   หลายเดือนมาแล้ว  สื่อสารทาง Skype กับเพื่อนซี้ อ.สุนทร  ชัยชนะ ผอ.สำนักวิทยบริการ มรภ.สกลนคร  ได้ลองส่งรูปถ่ายเก่าๆสมัยเรียน ปกศ.สูง ที่ วค.สงขลามาให้ เป็นภาพหมู่ ถ่ายร่วมกับอาจารย์ โดยมี ผอ.สมบุญ  ศรียาภัย มาร่วมถ่ายภาพด้วย

    รูปนี้ครับ

                         

         ดูแล้วชักตาลาย .. ตูข้าอยู่ตรงไหนหว่า .. ใครมองหาเจอช่วยบอกที .. มีรางวัลด้วย  มีตัวช่วยนะครับ  อยากดูรูปใหญ่ให้คลิกบนรูปข้างบน


เรื่องโรคกลัวความรู้ จากมุมมองของผม

ไม่มีความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 16 มีนาคม 2009 เวลา 2:18 (เช้า) ในหมวดหมู่ การจัดการความรู้ #
อ่าน: 1469

       นานมาแล้ว “ลุงแหวง” แกกังวลใจ เรื่องคนไทยออกอาการ “กลัวความรู้” กล่าวคือ สนใจแต่เรื่อง “ไร้”สาระบันเทิง มากเสียจนไม่มีช่องว่างให้กับการเรียนรู้สิ่งที่เป็นประโยชน์  ดังมีรายละเอียดอยู่ใน บันทึกนี้  บันทึกดังกล่าวมีพาดพิงถึงผมเล็กน้อยว่า …

ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของอาจารย์ “แฮนดี้” ที่ว่า “ จะรู้ไปทำไม (วะ) ??? ”

เหตุเพราะถูกพาดพิง ผมเลยไปบรรเลงความคิด ความเชื่อท้ายบันทึกดังกล่าวไว้ว่า …

  • ในฐานะถูกพาดพิง ก็ขอบอกว่าเห็นจริงตามบันทึกนี้
  • โรคนี้นอกจากสังเกตได้จากการเลือกบริโภคข่าวสาร สารสนเทศแล้ว ยังมีอาการอื่นๆอีกครับ เช่น …
  • เมื่อจะนั่งลงคุยกัน เพื่อแสวงหาทางออกในเรื่องใดๆ ที่คิดจะร่วมกันสร้าง ร่วมกันทำ เพื่อเป้าหมายเดียวกัน มักจะเห็นการพูดกันไม่รู้เรื่อง พูดกันนานๆ แต่ก็ไม่ได้ข้อสรุป ที่เคยพบก็เหมือนต่างฝ่ายต่าง กลัวความรู้ อายที่จะยอมรับว่า ตัวเองยังไม่รู้ เป็นชาล้นถ้วยกัน ทั้งที่ล้นฝ่ายเดียว และล้นทั้งสองฝ่ายครับ
  • รู้อะไร ทำอะไรได้แล้ว ก็หลงปลื้มอยู่ว่า “นี่แหละ สุดยอด” เป็น “อมตะ นิรันดร์กาล” ปฏิเสธการเรียนรู้สิ่งใหม่ เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม ถ้าความรู้เป็นปลาที่ซื้อมาจากตลาด จะเน่าเฟะ เหม็นคลุ้งอย่างไรก็ไม่ได้กลิ่น ยึดมั่นเหนียวแน่น ว่าที่เคยทำสำเร็จในอดีต พรุ่งนี้ก็จะต้องสำเร็จได้ด้วยวิธีเดิมๆ .. ในแวดวงวิชาการนี่แหละ ตัวดี
  • ฯลฯ
  • สำหรับยาแก้ คิดไม่ออกครับ แต่ถ้าเป็นวัคซีนล่ะก็คิดว่าพอมี นั่นคือจะต้องฉีดยา ชื่อ “สัมมาทิฐิ” ในเรื่องการศึกษา การเรียนรู้ การเลี้ยงดูบุตรหลาน เข้าไปสู่ ว่าที่ พ่อ-แม่ ให้หนักๆ ทุกรูปแบบที่ทำได้ ในหนัง ละคร สื่อมวลชนทุกแขนง ปลุกระดมให้เกิดความละอาย ที่จะจมอยู่กับเรื่องไร้สาระ จนเกินพอดี เอาให้ถึงขั้นที่ท่านอาจารย์พุทธทาสพร่ำสอนว่าเกิด ” อตัมยตา” ให้ได้ คือ ฉลาดมองจนเห็นความไร้สาระชัดแจ้ง และตะโกนบอกตัวเอง เงียบๆในใจ แต่เสมือนสนั่นหวั่นไหว ว่า ” กรู ไม่เอากับ มรึง แล้ว (โว้ย) ” .. พูดคำหยาบกับตัวเอง ดีครับ ไม่บาป จะได้สะดุ้ง และกล้าเปลี่ยนแปลง
  • วัคซีนเข็มนี้ ต้องไม่ลืมฉีดให้ คุณครู ทุกระดับ อาจารย์มหาวิทยาลัย ไม่ว่าจบมาระดับไหน ต้องบังคับฉีดทุกคน เพื่อความปลอดภัยของชาติครับ .. ไม่เว้นแม้แต่ พระสงฆ์ และนักบวชในทุกศาสนา .. ฉีดปัญญาให้ท่าน ไม่ต้องกลัวบาปครับ

ลุงแหวงยังมาแซวปิดท้ายอีกด้วยว่า …

ขอบคุณครับ

ว่าจะพาดและพิงอีกหลายเรื่องเลยครับ

และกำลังรอสายต่อไมค์อยู่ครับ ( งานนี้ คืออุปกรณ์ดัดแปลงเพื่อทำ Tele-lecture อย่างประหยัดครับ ผมเบี้ยวอยู่นาน แต่จัดการให้ไปแล้วเรียบร้อย )
อิ อิ ( ของลุงแหวง ไม่ใช่ของผม )

ของแท้ของผมต้อง 3 ครับ …… อิ อิ อิ


ลูกหยอด จากนักศึกษา ที่ส่งมาทาง e-mail .. ( เป็น Furniture ประกอบเจ้าเป็นไผ ได้บ้างกระมัง )

3 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 15 มีนาคม 2009 เวลา 9:10 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1186

  สวัสดีครับ

     อยากรวบรวมอะไรๆที่เกี่ยวกับตัวเราที่กระจัดกระจายอยู่ตามที่ต่างๆ  แล้วจับมาวางให้อยู่ใกล้ๆกันในลานแห่งนี้  วันนี้ไปค้นๆดูก็พบเรื่องที่คนเขาพูดถึงเรา ส่งมาทาง e-mail .. ไม่ใช่บ้ายอ  แต่ก็ยอมรับว่าเกิดกำลังใจอยู่ไม่น้อยครับ  สาระจากบันทึกนั้นมีดังนี้ …

    นั่งตรวจงานนักศึกษาที่ส่งมาทาง e-mail ครับ .. กลุ่มนี้เป็นผู้บริหารสถานศึกษา ที่เรียนหลักสูตรพิเศษ ป.บัณฑิตการบริหารการศึกษา รุ่น 5 ครับ นอกจากพิจารณาจากสิ่งที่ท่านเหล่านั้นทำส่งมาแล้ว  หลายฉบับ พบว่า มีลูกหยอด ให้กำลังใจอยู่เป็นระยะ .. อ่านไปก็ทำใจให้เห็น “เช่นนั้นเอง” ไม่หวั่นไหวในโลกธรรม ๘ มากนัก .. แต่พอดูๆไป มันก็พอจะช่วยให้เราประเมินตัวเองได้บ้างเหมือนกัน  ไม่ได้หวังอะไรมากครับ .. แค่ได้พบว่าตัวเอง น่าได้จะทำอะไร ถูกต้อง ถูกทาง แล้วก็รับความ “พอใจ” อยู่เงียบๆ ด้วยความหวังว่าจะทำสิ่ง “ถูกต้อง” เหล่านั้นให้ยิ่งขึ้นไปในแต่ละวัน ในโลกแห่งการงานใบนี้

   เขาหยอดมาดังนี้ครับ ….

…..  ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสได้มาเรียนกับท่านอาจารย์  ซึ่งกระผมได้ประจักษ์แล้วว่าท่านอาจารย์มีประสบการณ์ทางด้าน IT อย่างมากมาย  นับว่าเป็นความโชคดีของกระผมเป็นอย่างยิ่ง

…..  ถึงแม้จะเผลอเรียกตัวเองว่า ส.ว. บ่อย ๆแต่แววตาของอาจารย์มิได้เป็นไปตามนั้นเลยค่ะ แต่กลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและตื่นตัวกับองค์ความรู้ใหม่ ๆ

…… ขอขอบคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงที่ให้ความเมตตา สนทนาพูดคุยขณะทำการสอน ด้วยความเอื้ออาทร เป็นกันเอง

…… รักษาสุขภาพเพื่อสร้างสรรค์ผลงานต่อไปนะคะ

…..  ดิฉันประทับใจในการสอนของอาจารย์เกี่ยวกับการพยายามสอดแทรกคุณธรรมจริยธรรมตลอดเวลา สอนให้รู้จักการให้ ให้รู้จักการเสียสละ เผื่อแผ่ให้กับคนอื่น สอนให้มีมารยาท สอนให้เอาใจเขามาใส่ใจเรา อาจารย์มีความป็นครูสูงมาก ดิฉันจะยึดถือเป็นแบบอย่างในการอบรมลูกศิษย์ต่อไป

…..  ชื่นชมและประทับใจมากที่ได้เรียนกับอาจารย์ อาจารย์สอนเข้าใจง่าย  แต่ลูกศิษย์ สว.เกินไปจึงจำไม่ค่อยจะได้ทั้งๆที่จดทุกขั้นตอนเลยค่ะ

…..  คำตอบจากอาจารย์เปรียบเสมือนสายฝนที่เย็นชื่นฉ่ำ รู้ว่าตอนที่โทรศัพท์หาอาจารย์นั้น อาจารย์กำลังยุ่งงานมาก และคงจะเหนื่อย (ฟังจากเสียงอาจารย์ทางโทรศัพท์) แต่อาจารย์ก็ยังให้กำลังใจและให้คำแนะนำในการทำงาน โดยอาจารย์บอกว่า ” ไม่ต้องกังวลเรื่องคะแนน…

……  ขอกราบขอบพระคุณ ในความรู้ต่าง ๆ ที่ได้รับ จะพยายามไม่หลงทาง ทุกกรณีค่ะ

…… ขอให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรง ร้องเพลงเพราะตลอดกาล ผมคงได้สัมผัสความรู้สึกดี ๆ ของอาจารย์อีกครั้งใน Trip Vietnam - Chaina  22 - 26 April 2008

        ปล. ขอสัญญาว่าจะไม่เหลิงครับ  …. อิ อิ อิ.


ไปนครนายก

7 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 15 มีนาคม 2009 เวลา 6:32 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1957

     ความจริงเขียนเล่าไว้หน่อยนึงแล้ว ที่นี่ ตั้งแต่ออกเดินทางมา เขียนและส่งในรถตู้ครับ เช้านี้ตื่นมานั่งจัดการกับรูปแบบเร่งๆทำ และว่าจะเขียนบันทึกใหม่ใส่รูปเยอะ ทำนองเล่าเรื่องด้วยภาพ คิดแล้วมาที่ลานแห่งนี้ดีกว่า เพราะ Upload ภาพได้มากและเร็วกว่าครับ

     รอหน่อยครับ จะลองนำรูปขึ้น แล้วค่อยมาเล่าต่อ … Net ผ่าน GPRS แถวนางรองตอนนี้ ช้าเหลือประมาณ .. ไว้ค่อยมาเพิ่มเติมข้อมูลครับ

     และแล้วก็เรียบร้อยครับ คัดเลือกรูปจากกล้องตัวเล็ก LUMIX DMC-LC70 ของผม จัดเป็นชุดลงในกรอบ ด้วย Photoscape แบบเร่งรีบ ได้มา 20 ชิ้น .. 6 โมงกว่า พี่สาวคือ ผศ.วรางคณา นาคพนม มาเคาะประตูบอกว่ารีบอาบน้ำ รถกลับจะออกตอน 8 โมงตรง เลยมาสั่ง Upload อาบน้ำเสร็จสักพักก็เรียบร้อยครับ Net ช้าก็ทนเอาหน่อย คอยดูใจไม่ให้เผลอไปหงุดหงิด

      ขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่างานนี้ จัดที่รีสอร์ทสวยใกล้น้ำตกนางรอง ชื่อว่า อิงธารรีสอร์ท บรรยากาศดี ที่พักใหม่ สะอาด สบาย และมีห้องสำหรับจัดประชุมหรือจัดเลี้ยงหลายขนาด ให้สอดคล้องกับขนาดของกลุ่มครับ เป็นการพบปะของผู้บริหารโรงเรียนที่เรียนจบหลักสูตร ป.บัณฑิตการบริหารการศึกษารุ่น 5 และเขาเตรียมมาแจกประกาศนียบัตรแบบไม่ค่อยเป็นทางการด้วย

     น่าเสียดายว่าสมาชิกติดภารกิจเสียมาก มาร่วมได้ประมาณ 30 คนเท่านั้น ส่วนหนึ่งเป็นปัญหาการประสานงานที่ต้องทำในระยะเวลาที่จำกัด และเป็นช่วงที่หลายๆคนมีภารกิจมากที่โรงเรียน   เมื่อไม่ค่อยเป็นทางการ ผมเลยสวมบทบาทเป็นตากล้องให้เสียเลย ถ่ายภาพบรรยากาศทั่วไปของงานและตอนที่แต่ละคนขึ้นรับใบประกาศจากท่านอดีตคณบดี ผศ.จำรัส มีกุศล ที่ผมเพิงจะได้ร่วมมอบดอกไม้ให้ท่านในงานเลี้ยงเล็กๆที่คณะ และบอกกล่าวขณะที่ส่งดอกไม้ให้ ด้วยข้อความสั้นๆ้ว่า ” ผมรักพี่จำรัส .. ทำงานกับพี่เหมือนทำงานกับพี่สาว ” ผมได้เคยช่วยทำงานในตำแหน่งรองคณบดีให้ท่า่นอยู่ช่วงหนึ่ง จนกระทั่งลาออกจากราชการเมื่อปีที่แล้ว

      ท่านอดีตคณบดีกล่าวให้โอวาทจบแล้ว ยังโยนไมค์ให้พวกเราอีก 4 คน คือ รศ.มัณฑรา ธรรมบุษย์ ผศ.วรางคณา นาคพนม ตัวผม และ ผศ.ชนม์นิภา วรกวิน ได้ขึ้นไปกล่าวอะไรแก่ผู้จบการศึกษาด้วยตามลำดับ แบบไม่ได้นัดหมายกันล่วงหน้าแต่ประการใด

      ถึงคิวผม ผมก็ก้าวขึ้นเวที ขอโทษที่แต่งตัวไม่ค่อยเรียบร้อย และบอกพวกเขาว่าผมมาวันนี้เพราะรู้สึกผูกพัน การได้สอน ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้มันมีความหมายมากเพราะท่านเหล่านี้คือผู้บริหาร และว่าที่ผู้บริหารโรงเรียน ซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้กุมอนาคตของชาติ เพราะเรื่องจะปฏิรูป ปฏิวัติอะไรทางการศึกษานั้น ผู้บริหารที่มีคุณภาพ มีวิสัยทัศน์ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้สำเร็จหรือล้มเหลว เรื่องความรู้ด้านหลักการ และทฤษฎีทั้งหลาย ผมว่าต่างก็รู้กันมากเกินพอแล้ว สิ่งที่ห่วงก็คือจะนำไปปรับใช้สู่การปฏิบัติหรือไม่ อย่างไรเท่านั้น หากทำอะไรได้ผลหรือสำเร็จก็อย่าประมาท สิ่งสำคัญที่อยากให้รักษาและทำให้ขยายกว้างขึ้นคือเครือข่าย และไม่ได้หมายถึงเฉพาะในกลุ่มผู้เรียนเท่านั้น ผมยืนยันหนักแน่นว่ายังมีคนคิดเหมือนท่าน ประเภท คอเดียวกัน หรือหันหน้าไปทางเดียวกันอยู่อีกมากมายทั่วแผ่นดิน หากใช้ ICT เช่น Blog มาเป็นเครื่องเชื่อม ก็จะเกิดพลังมหาศาล ใช่ว่าจะเป็นเพียง Virtual World แต่จะสามารถพบปะกันจริงๆ ช่วยเหลือเกื้อกูลกันจริงๆได้ พร้อมกับยกตัวอย่าง ครูโย่ง และ ครูปู ของเรา ว่ารุดหน้าไปกว่าที่ผมคาดคิดมากมายแค่ไหน .. ฯลฯ

      ปิดท้ายด้วยการปวราณาตัวว่า ผมลาออกจากราชการแล้ว แต่ผมไม่ใช่คนว่างงาน ยินดีที่จะไปทุกที่หากเห็นว่ายังมีอะไรจะให้ร่วมคิด ร่วมทำได้ เพื่องานด้านการศึกษา งานพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของชาติ  ให้ติดต่อไปได้แบบไม่ต้องเกรงใจ และอวยพรให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดีทั้งกายและจิต เพื่อร่วมกันทำหน้าที่อันยิ่งใหญ่ให้สำเร็จและก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป …. จำไม่ค่อยได้แล้วครับ พูดจากใจแบบไม่มีโพยนี่ครับ .. แต่แบบนี้แหละดี ไม่ต้องปรุงแต่ง ธรรมชาติดี

     จบพิธีการแล้วก็ทานอาหารเย็น พร้อมของที่ขาดไม่ได้คือคาราโอเกะ ดีครับที่มีนักดนตรีมาช่วยควบคุม เพิ่มเติมสีสันให้กับดนตรี เช่นใส่ Effect เสียงประกอบเข้ามาช่วยด้วย ทำให้ไม่แห้งแล้งแบบปล่อยให้คอมพิวเตอร์บรรเลงเองล้วนๆ บรรยากาศเต็มไปด้วยความครึกครื้น สนุกสนาน เป็นกันเองเหมือนพี่น้อง ว่ากันไปยัน 5 ทุ่มจึงกลับที่พักเข้านอน ของผมเป็นเรือนพักทรงไทยน่ารัก ขนาดกระทัดรัด ชื่อ สะบันงา ครับ

      ตอนเช้าหลังอาหารเช้าก็ต่างแยกย้ายกันกลับ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปร่วมกัน และร่ำลากันอยู่นานด้วยรอยยิ้มและความหวังว่าจะต้องได้มีโอกาสแบบนี้อีก

      รถตู้พาพวกเรามาจอดหน้าคณะศึกษาศาสตร์ มรภ.จันทรเกษมตั้งแต่ก่อน 11 โมงครับ ผมเข้าบ้านและ มานั่งพิมพ์ต่อเติมเรื่องราวท่อนหลังนี้จากที่บ้านแล้วครับ

                                                                    

                                                                    

                                                                    

                                                                    

                                                                     

 

                                                                      

 

                                                                     

 

                                                                     

 

                                                                      

 

                                                                     

 


เรื่องไม่ลับ แต่ไม่ค่อยได้บอกใครของผม .. (ใช้ประกอบเจ้าเป็นไผบ้างก็ได้นะ .. ขอบอก)

ไม่มีความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 14 มีนาคม 2009 เวลา 6:09 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1374

   สมัยที่ Tag กันไปกันมา ผมจำได้ว่าเคยปลดปล่อยความจริงที่เคยซ่อนๆไว้ออกมาแล้วเล็กน้อยดังนี้ …

    ความลับที่ไม่ค่อยลับสักเท่าไร 5 ข้อของผมมีดังนี้

1. ภาษาอังกฤษของผมเริ่มด้วย  DDT แล้วอีกนานนับปีจึงรู้จักตัว A

      ก็เรามันชอบอะไรที่เป็นเครื่องยนต์กลไกแทบทุกอย่าง   เห็นเจ้าหน้าที่อนามัยมาพ่นยาปราบยุง ก็เดินตามดู ครั้นเห็นเขาเขียนตัวอักษรประหลาดตามเสาบ้านว่า  DDT-2502 เลยถามดูก็รู้ว่าเป็นภาษาอังกฤษ และอ่านว่า ดี ดี ที จึงขอเอานิ้วจุ่มสีเขียนดูบ้าง เลยได้ทั้ง Reading และ  Writing ในวันนั้นเอง  ตอนนั้นก็ประมาณ ป.3 ป.4  กว่าจะรู้จัก  A B ก็เมื่อได้เข้าเรียนป.5 ที่โรงเรียนใหม่ พุทธนิคม ครับ

2. ตอนเป็นเด็กผมเห็นงานอาชีพที่ยิ่งใหญ่ และโตขึ้นจะต้องเป็นให้ได้คือ  คนขับรถไฟ ครับผม     เดินเท้าเปล่าตามแม่ไปตลาดไชยาเป็นครั้งแรก  ข้ามสะพานไม้ยาวมากที่ทอดข้ามพรุใกล้เชิงเขา  ผ่านลำห้วยที่มีน้ำตลอดปี 3 แห่ง  ผ่านเนินเขาสองลูก และ  ข้ามคลองอีก  4 ครั้ง  ระยะทางราว 9 กม. เพื่อไปดูรถไฟจริงๆเป็นครั้งแรกในชีวิต  เห็นแต่ในรูปมานานแล้ว 
     ที่สถานีไชยาผมยืนดูหัวรถจักรไอน้ำ  เห็นก้านสูบ  ข้อเหวี่ยง ขยับตัวเข้า-ออก ระคนกับเสียงไอน้ำที่เขาปล่อยระบายพ่นออกมาเป็นควันขาว  บวกเสียงกระชึ่กกระชั่กอันเร้าใจของเครื่องยนต์ไอน้ำ  ตื่นเต้นเป็นที่สุด  พลันคิดไปว่าคนขับและควบคุมหัวรถไฟได้ต้องไม่ธรรมดา  โตขึ้นมาคอยดู จะพยายามเป็น คนขับรถไฟ ให้ได้  ผมฝันและหวังเอาไว้มาก  แล้วฝันก็ไม่ได้เป็นจริง   แต่ก็ไม่รู้สึกผิดหวังหรอกนะครับ 

3. ตอนเป็นเด็กวัดเคยนอนหลับกลางวัน แล้วละเมอ+ฝัน วิ่งไปโรงฉัน  นึกว่านอนตื่นสายในตอนเช้า        อายนะครับแต่ก็ยินดีเล่า  ไม่น่าเชื่อว่าหลับตอนบ่าย แต่หลับลึกและตื่นมารู้สึกตกใจมาก  คิดว่าสายและสว่างขนาดนี้จะไปเดินปิ่นโตทันได้อย่างไร  ลุกขึ้นได้รีบวิ่งไปยังโรงฉัน  เห็นกาละมังใส่ข้าว และเถาปิ่นโตใส่กับข้าว วางเรียงรายก็เลยรู้ว่า ตูข้าฝันไป  วิ่งมาได้ยังไงตั้งไกลโดยไม่รู้ว่านี่มันบ่ายแล้ว

4. เคยเขียนชื่อตัวเองเป็นภาษาอังกฤษว่า “PINIJ”
 
     ใช้อยู่หลายปีก่อนเปลี่ยนเป็น “PINIT” ตอนนั้นภูมิใจมากที่ผสมคำได้ตรงภาษาไทยเป๊ะ จ.จาน มันก็ต้อง J สิ  แม้แต่วิทยุหรือเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ที่สร้างขึ้นก็ยังเขียนข้อความติดด้วยความภูมิใจว่า
 ”PINIJ  ELECTRONICS“เลย ..มาสังเกตเอาภายหลังว่า “แม่กด” ที่สะกดด้วยตัว J ไม่เคยเห็นมีในภาษาอังกฤษ  พร้อมกับรู้สึกเขินย้อนหลังเอามากๆทีเดียว

5. ตอน ปกศ.สูง ราวกับเป็นเทวดาอยู่สวรรค์ในเอกอังกฤษ  แต่วิชาโทคือ คณิต มันคือ นรก ชัดๆ      เรื่องมีอยู่ว่าผมเลือกเอกภาษาอังกฤษ เพราะชอบ  และตอน ปกศ.ต้น ก็ได้  A หมดทุกตัว เรียนสนุกและ  สบาย  เรียกว่าเพื่อนกลัว  อาจารย์เกรงใจก็แล้วกัน เกรดวิชาเอกเกือบ 4.00 คัดเลือกเรียนปริญญาตรีได้อันดับหนึ่ง โดยไม่ต้องสอบให้เมื่อย  ชอบวิทย์-คณิตมากด้วยจึงเลือกเป็นโททั้งสองวิชา  แต่ขอโทษครับ คณิตศาสตร์วิชาโท ได้  A 1 ตัว  B 1 ตัว  ที่เหลืออีก 5 วิชาผมได้ D หมดทุกตัวไม่มีเกรดใดมาแทรกอีกเลย  ซ้ำร้ายตัวสุดท้าย เทอมสุดท้าย ได้ D ลบ ครับท่าน 
     ผมไม่โกรธอาจารย์ท่านนั้นหรอก  แต่รู้ชัดแจ้งในหัวใจว่าท่านเป็นผู้ทำให้ผมเปลี่ยนจาก รัก มาเป็น เกลียดชัง คณิตศาสตร์  ท่านทำให้ผมรู้จักกับ D ตัวแรกในชีวิต  ยิ่งถาม ยิ่งตอบ ยิ่งงง เลยพาลไม่ทำการบ้านอีกเลย  วิชาสุดท้ายที่ได้  D- ตัวแรกและตัวเดียวในชีวิตก็อาจารย์ท่านเดียวกันนั่นแหละมาสอนผมอีก

 


แค่สลับสายไฟเส้นเดียว .. หมูโดนเคี้ยวไปแล้วไม่รู้เท่าไหร่ ?

6 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 13 มีนาคม 2009 เวลา 7:19 (เย็น) ในหมวดหมู่ เครื่องเสียง #
อ่าน: 1393

   ขอนับหนึ่งด้วยเรื่องนี้ครับ .. เพราะที่ผ่านมาไม่ได้แสดงให้เห็นเลยว่า หญ้าปากคอก อยู่ตรงไหน .. ใช้พื้นที่ตอบโจทย์ เจ้าเป็นไผ เสียหลายตอน

   ขอนิยามให้ชัดๆไว้ตรงนี้ว่า หญ้าปากคอก ในที่นี้ ผมหมายรวมทุกเรื่องที่เราท่านทั่วไปควรรู้  แต่กลับไม่ค่อยรู้  ทั้งเรื่องทางโลกและทางธรรม .. ดังนั้นเรื่องใดที่ผม คาดเดา ว่าเข้าข่ายก็จะได้นำมาวางให้อ่านกัน และก็คงไม่พ้นการ เอามะพร้าวห้าวมาขายสวน บ่อยๆด้วยเป็นแน่ .. ทนๆเอาหน่อยก็แล้วกันครับ .. เชื่อว่าคงจะมีบ้างหรอกน่า ที่สวนของท่านเป็นสวนทุเรียน .. เอามะพร้าวมาขายจึงพอรับฟังได้ว่าสมเหตุสมผลอยู่นิ

     เรื่องแรกนี้จะว่าด้วยเรื่องใกล้ตัว คือความรู้เกี่ยวกับการต่อสายลำโพงเครื่องเสียงครับ .. เชิญสดับได้ ณ บัดนี้ …. อิ อิ อิ

  • อันว่าลำโพงนั้นมี 2 ขั้วให้ต่อ และเขามีขั้ว + และ - ด้วยนะ
  • ลองต่อถ่านไฟฉาย 1 ก้อน เข้าลำโพงดู อย่าต่อนาน  ต่อๆ ตัดๆ แล้วสังเกตดูอาการ จะเห็นกรวยกระดาษลำโพงขยับขึ้น ลง พร้อมมีเสียง แกรกๆ ให้ได้ยินด้วย ( ใช้ถ่านไฟฉายตรวจสอบลำโพง จึงทำได้ง่ายๆ  ไม่ต้องหาอะไรให้ยุ่งยาก )
  • สลับขั้วบวกลบของถ่านแล้วลองดูใหม่ คราวนี้จะเห็นการขยับตัวของกรวย  ตรงกันข้ามกับครั้งแรก  การผลักออก  และดึงเข้า จะเปลี่ยนไปตามขั้ว +/- ของไฟฟ้าที่ต่อเข้าขั้วของลำโพง
  • ทิศทางการไหลของกระแสไฟฟ้า เป็นตัวกำหนดขั้ว เหนือ - ใต้ ของแม่เหล็ก จึงทำให้  แม่เหล็กไฟฟ้า อันเกิดจากขดลวด Voice Coil ของลำโพง ดูด - ผลักกับแรงของ แม่เหล็กถาวร ที่อยู่ในตัวลำโพงและมีขั้ว เหนือ - ใต้คงที่
  • ถ้าต่อลำโพงตัว 1 ตัวกับเครื่องเสียง  ต่อขั้ว + /- อย่างไรก็ได้  ไม่มีปัญหาเรื่องคุณภาพเสียง  เพราะยังไงๆ ก็มีการสั่น หรือการเคลื่อนตัวเข้าออกของกรวยกระดาษ ( Diaphram ) เพียงชุดเดียว  ตัวเดียวเท่านั้น  ไม่มีใครมาคอยแข่งขัน หักล้าง หรือเปรียบเทียบ
  • ต่อลำโพง 2 ตัวขึ้นไป ไม่ว่ากับระบบเสียง Mono หรือ Stereo พึงระวังให้มาก 
  • ถ้าลำโพง 1 คู่ อยู่ใกล้กัน ปกติต้องต่อให้ขั้ว + /- ถูกต้องเหมือนกัน  กรวยลำโพงจะได้สปริงตัว เข้า-ออก พร้อมกัน ไปในทิศทางเดียวกัน  เสียง หรือคลื่นอากาศที่ได้ออกมาบริเวณหน้าลำโพงนั้นจึงหนักแน่น  ชัดเจน เป็นกลุ่มเป็นก้อน  ไม่หักล้างกันเอง
  • ถ้าลำโพงแต่ละตัวที่ต่อไว้ไปอยู่คนละที่ คนละห้อง โดยคลื่นอากาศไม่กระทบ รบกวนกัน  จะต่อขั้ว +/- เหมือน หรือต่างกันอย่างไรก็ได้  ไม่ต้องแคร์
  • ฝึกดีๆ ฟังมากๆ แค่เดินผ่านหน้าลำโพงคู่หนึ่งที่เขาเปิดให้เสียงดังอยู่  ก็จะบอกได้ทันทีว่า เขาต่อสายถูกหรือผิด โดยไม่ต้องไปดูให้เห็นด้วยตา
  • อันนี้ผมกล้าท้าพิสูจน์ว่าผมทำได้ .. และมีอีกหลายๆคนก็คงทำได้เช่นกัน
  • วิธีแก้ ทำได้ง่ายๆ  ไม่ต้องไปดูว่าตัวใหนต่อ +/- ผิดถูกอย่างไร  แค่สลับขั้วสายเสียใหม่ให้กับลำโพงตัวเดียว ก็แก้ใขได้แล้ว
  • ความลับคือ  การต่อ +/- ถูกต้องทั้งคู่ หรือ  การต่อ +/- ผิดเหมือนกันทั้งคู่ ให้ผลเท่ากัน
  •  แถวตลาดเครื่องเสียงดังข้างถนนหลายแห่งใน กทม. หมูโดนเคี้ยวมาแล้วมากต่อมาก  จ่ายเงินเพิ่มเป็นพัน หรือหลายพัน  เพื่อซื้อชุดเครื่องเสียงที่คนขายบอกว่า  ผลิตจากอเมริกา  ซึ่งให้เสียงดี หนักแน่นกว่า เครื่องอีกชุดที่ ทำจากญี่ปุ่น อย่างเห็นได้ชัด ก็เขาเปรียบเทียบให้เห็น ให้ฟังกันสดๆนี่ครับ 
  • แท้จริงผมบอกได้โดยไม่ต้องไปดู  แค่ฟังก็รู้ว่าเขาแอบต่อลำโพงแบบสลับสาย +/- ไว้เครื่องหนึ่ง … ทั้งๆที่เครื่องทั้งคู่ ต่างก็ Made in China ด้วยกันนั่นเอง
  • ขออภัยหากมาบอกช้าไป และบางท่าน โดน ไปเรียบร้อยแล้ว
  • อย่าคิดมากเลยครับเพราะในสังคมนี้  คนไม่รู้เป็นเหยื่อของคนรู้(มาก) เป็นปกติอยู่แล้ว  ทั้งระดับที่หลอกกันข้างถนน และระดับหลอกลวงคนทั้งชาติครับ

  • Handyman … เจ้าเป็นไผ (๕)

    ไม่มีความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 12 มีนาคม 2009 เวลา 11:13 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
    อ่าน: 1367

    อยากนำเสนอข้อมูลแบบออกแรงน้อย ด้วยข้อจำกัดเรื่องเวลา เพื่อเป็นร่องรอยให้ไปคว้ามาตัดต่อ “เจ้าเป็นไผ” ให้ได้ครบถ้วน มีประโยชน์สมบูรณ์ยิ่งขึ้น สนใจก็ คลิก ตาม Link ไปดูได้ครับ

    - ผมเคยบันทึกงานพิเศษที่คนเขาชวน-เชิญให้ไปทำ แต่เลิกบันทึกไปตั้งแต่ต้นปี 48 ร่องรอยเก่าๆเหล่านั้นพอจะตามดูได้ ที่นี่ ครับ

    - ในงานมหกรรมการศึกษา 2000 ที่เมืองทองธานี เมื่อ 23 – 25 มีนาคม 2543 ผมไปชวนครูอาจารย์คุยเรื่องที่ผมคิดและทำ มีคนลงชื่อจริง และให้ข้อคิดเห็นไว้ ดังนี้

    - ผมเหมือนเป็ด เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง ไม่ค่อยลึกแต่เน้นการนำไปใช้ทำประโยชน์ได้เป็นสำคัญ หนึ่งในหลายๆอย่างนั้นคือชอบเขียนกลอน เคยนำส่วนหนึ่งของบทกลอนที่แต่งไว้ไปวางให้อ่านกัน ตามไปดูได้ ที่นี่ ที่เขียนเล่นขำๆก็มีบ้าง เช่นที่ไปวางไว้ ที่นี่

    กลอนชุดหนึ่งที่ผมชอบ เรียกว่า แต่งเอง อ่านเอง ชอบเอง .. แต่ก็เห็นหลายคน จดจำไปบอกต่อก็มีอยู่ครับ นั่นคือ …

    บทกลอนนี้ ครับ

    - สิ่งที่เคยลองคิดลองทำส่วนหนึ่งมีรูปถ่ายอยู่ ที่นี่ ครับ มี 3 หน้า อย่าลืมคลิก Next Page ตอนล่างของหน้า 1-2 นะครับ

    ……. แล้วจะมาบอกเพิ่มอีกเมื่อมีจังหวะเหมาะๆครับ


    Handyman … เจ้าเป็นไผ (๔)

    1 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 7 มีนาคม 2009 เวลา 4:37 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
    อ่าน: 1323

       ครูผู้ลิขิตชีวิต (ต่อ)

           ความศรัทธาต่อความเป็นช่างภาพของท่านก็มีผลมากเช่นกัน  เมื่อตอนผมเรียนต่อที่วิทยาลัยครู และ มศว.สงขลา  ผมหัดถ่ายรูป ผสมน้ำยา ล้างฟิล์ม อัดรูป ล้างรูปด้วยการศึกษาด้วยตนเอง จากหนังสือของ อาจารย์สนั่น ปัทมะทิน  จนเป็นได้ประธานชมรม และสอนความรู้ดังกล่าวแก่น้องๆ ชักชวนกันถ่ายรูป ล้าง อัด และมาตัดทำบัตร สคส. หาเงิน จัดทำ จัดซื้อโสตทัศนูปกรณ์ ให้มหาวิทยาลัย จนอาจารย์ยอมรับและให้เกียรติเราเป็นอย่างยิ่ง  จำได้ไม่ลืมว่าเคยภูมิใจตัวเองมาก เมื่อครั้ง รศ.ดร.บันลือ  ถิ่นพังงา มาเปรยกับผมว่า ท่านจะสอนได้อย่างไร ในห้องใหญ่ กลุ่มใหญ่ ขนาดนั้น  นักศึกษาอย่างผมรับอาสาช่วยจัดการให้ครับ โดยนั่งรถเมล์ไปหาดใหญ่ หาซื้ออุปกรณ์มาประกอบเป็นเครื่องขยายเสียงทรานซิสเตอร์ขนาด 10 วัตต์ กล่องก็ต่อเองโดยใช้ไม้กระดานฉลุที่ใช้ทำงานฝีมือ และเขียนยี่ห้อเสียโก้ ด้วยปากกาลูกลื่น Bic ว่า Pinit Electronics ลำโพงก็รื้อหาลำโพงแบบ Sound Column เก่าๆ 2 ตู้มาติดตั้งในห้องเรียนขนาดใหญ่นั้น  ส่วนไมโครโฟนก็ใช้ Dynamic Mic. ตัวเล็กๆที่มากับเครื่องบันทึกเสียงแบบ Open Reel ยี่ห้อ AKAI  ทุกอย่างใช้งานได้ดีเรียบร้อย  หลายปีผ่านไป จนผมจบมาสอนที่วิทยาลัยครูจันทรเกษมแล้ว มีโอกาสเจอท่าน ดร.บันลือ อีกครั้ง ท่านยังบอกว่า Pinit Electronics ของคุณยังอยู่นะ .. ปลื้มครับ และก็คิดเสมอว่า ถ้าไม่มีครูสุวรรณ  ผมจะมีโอกาสได้ปลื้มเช่นนั้นได้อย่างไร
         ผมรู้ตัวว่าชอบวิทยาศาสตร์มาก  โดยเฉพาะอิเล็กทรอนิกส์ ปฏิบัติแล้วก็อยากเรียนรู้เหตุผลภาคทฤษฎีให้กว้างและลุ่มลึกยิ่งขึ้น  แต่แล้วผมก็ต้องเลือก เอกภาษาอังกฤษ และโท วิทย์-คณิตฯ เมื่อเรียนในระดับ ปกศ.(สูง)  เหตุคงเพราะตอน ปกศ. ผมได้ A ภาษาอังกฤษทุกวิชา และผมก็ชอบมันมากด้วย เลยเอาเป็นวิชาเอกเสียเลย  และก็เรียนไปแบบสบายๆ ไม่ต้องขยัน เพราะใจมันรัก  คุยได้เต็มปากว่าผลการเรียนวิชาเอกของผมดีเกินคาด คือได้ A เกือบทุกวิชา ถ้าจำไม่ผิด จะมี B+ 2 ตัว และมีเหตุมาจากไปสอบไม่ทัน  และแม้ว่าจะมีรุ่นพี่ ถึง 5 คน ที่ไปอยู่ อเมริกา มาแล้ว 1 ปีด้วยทุน AFS มาเรียนร่วมรุ่น  ผมก็มีคะแนนวิชาเอกนำทุกคน จนได้รับคัดเลือกเป็นอันดับหนึ่งเพื่อเรียนต่อระดับปริญญาตรีโดยไม่ต้องสอบเข้า และยังเป็นที่ยอมรับอย่างสูงในหมู่อาจารย์ และเป็นที่เกรงขามของรุ่นน้อง  ขนาดว่า พอเห็นผมลงทะเบียนเรียนก็ชวนกันถอนวิชานั้นก็มี   ผมยังสร้างปาฏิหาริย์โดยไม่ตั้งใจ เมื่อครั้ง เป็นปี 3 คนเดียวที่ไปลงทะเบียน เรียน Literature กับพี่ปี 4 แล้วดันไปได้ A แถมได้คะแนนสูงสุดของห้องเสียด้วย   ผมตอบได้ไม่ค่อยชัดนักเมื่อมีเพื่อนถามว่า เก่งและชอบอิเล็กทรอนิกส์ แล้วทำไมมาเรียนเอกอังกฤษ จนต้องมาสอนภาษาอังกฤษ .. กระทั่งได้มาทบทวนย้อนหลังว่า แรงขับอะไรหนอทำให้มันเป็นเช่นนั้น  แล้วก็ถึงบางอ้อ เมื่อ ภาพเหตุการณ์ครั้งสำคัญของผมในห้องเรียนภาษาอังกฤษกับครูสุวรรณ ปรากฏขึ้นในความคิดคำนึง
        มันเป็น ความเจ็บปวด  หวาดกลัว  อับอาย และ ได้พลิกกลับเป็นความ สะใจ ยิ่งใหญ่ และ ภาคภูมิใจในตัวเอง อย่างรวดเร็วเหลือประมาณ  เพราะครูสุวรรณอีกนั่นแหละเป็นผู้ช่วยให้เกิดขึ้น และผมเชื่อมั่นอย่างสนิทใจว่ามันคือ แรงขับให้ผมเรียนภาษาอังกฤษด้วยความสนุก และมีผลการเรียนที่ดีเกินคาดคิด  เหตุการณ์มีดังนี้ครับ
        ห้องเรียนของเราเป็นนักเรียนชายล้วน  ผู้หญิงเขาแยกไปเรียนต่างหากที่ สตรีพุทธนิคม   ความเปิ่นๆ เชยๆ ของเด็กบ้านนอกอย่างผมมักจะเป็นเหยื่ออันโอชะให้เพื่อนๆ แหย่ ล้อเล่น หรือหัวเราะเยาะอยู่บ่อยๆ  แต่ก็ไม่มีครั้งใดรุนแรงและมีผลกระทบมากเช่นวันนั้น  วันที่ครูสุวรรณเรียกให้ผมตอบคำถามในวิชาภาษาอังกฤษ ในขณะที่ผมสาละวนอยู่กับการก้มไปพยายามหยิบดินสอ หรือปากกาที่หล่นลงพื้นด้านหลังโต๊ะเรียน  ได้ยินเสียงครูเรียก  ผมก็ยืนตัวตรงพร้อมกับทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่ได้ยินเลยว่าครูถามอะไร  จะถามกลับหรือก็ไม่กล้า ก็ใครๆล้วนกลัวครูกันทั้งนั้น  ยิ่งบ้านนอกอย่างผมก็ยิ่งไปกันใหญ่  เสียงหัวเราะเยาะ และเสียงโห่ ฮาป่าใส่ผมดังขึ้นเรื่อยๆ พร้อมๆกับที่ทุกสายตาจ้องดูผมเหมือนตัวประหลาด  ผมยืนตัวสั่น ด้วยความแค้นเคืองอย่างยิ่ง ในใจนั้นยังคิดกลัวต่อไปอีกว่า ครูจะด่าผมว่าอย่างไรอีก ที่ตอบไม่ได้  มันทรมานอย่างยากที่จะบรรยาย  แทรกแผ่นดินหนีได้ผมคงหนีไปจากที่นั้นอย่างแน่นอน แต่แล้ว ครูสุวรรณกลับบอกให้พวกนั้นหยุดโห่ พร้อมพูดด้วยเสียงเรียบง่ายว่า ไม่ต้องโห่เขาหรอกนะ ภาษาอังกฤษพวกเธอสู้เขาไม่ได้สักคน  ผมเหมือนถูกเหวี่ยงจากโลกนรก ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ ชนิดไม่ทันได้รู้เลยว่าบนโลกมนุษย์นั้นเป็นเช่นไร  จากวันนั้นผมก็มีความเชื่อตามที่ครูบอกว่า ผมเก่งกว่าพวกเวรนั่นทั้งหมด  และยิ่งรักภาษาอังกฤษมากขึ้น เรียนวิชานี้ได้ผลดีมาโดยตลอด ญาติๆเขายังแซวกันอยู่บ่อยๆที่ผมชอบนอนละเมอเป็นภาษาอังกฤษ  
        ผมเขียนถึงผลสำเร็จในการเรียนภาษาอังกฤษของผม ชนิดที่อาจดูน่าเกลียด  เสมือนยกย่องตัวเอง  แต่ผม มีสติ ระลึกรู้ตลอดเวลาที่เขียน  ผมแค่ต้องการจะบอกความจริงว่า แท้จริงแล้ว ครูสุวรรณ คือคนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จเหล่านั้น  ผมเล่าเรื่องนี้ให้ใครต่อใครฟังมามาก แต่ไม่เคยเขียนเผยแพร่  ตั้งใจว่าวันหนึ่งจะหาทางไปเยี่ยมท่านให้ได้เพื่อบอกเล่าความจริงที่เกิดขึ้นกับตัวผมทั้งหมดให้ครูได้รับรู้  เพื่อส่งเสริมกำลังใจให้ท่านในวัยเกิน 80 ของท่าน   แล้วผมก็ไปพบท่านได้จริงๆเมื่อวันที่ 1 พค. 2545 ที่บ้านของท่านเอง เป็นการพบกันครั้งแรกตั้งแต่ผมเรียนจบจากโรงเรียนพุทธนิคม  ซึ่งผ่านไปเกือบ 40 ปีแล้วล่ะครับ
          วันนั้นผมไปกับเพื่อนสุดซี้ (อาจารย์ชัยรัตน์ กันตะวงษ์)   ครั้งแรกก็ตรงไปที่ร้านถ่ายรูป วงศ์สุวรรณ ก่อน แต่ปรากฏว่าเลิกกิจการไปแล้ว แต่ยังเห็นป้ายร้านเดิม เก็บแขวนไว้อย่างดีในบ้าน ทราบว่าครูไปซื้อกิจการของโรงแรมเล็กๆชื่อ อุดมลาภ และพักอาศัยอยู่ที่นั่น  ผมขออนุญาตเข้าไปบันทึกภาพเก่าๆ รวมทั้งรูปถ่ายของครูและครอบครัว  ก่อนที่จะตามไปที่บ้านใหม่เพื่อขอพบท่าน  ที่นั่นทำให้ผมได้พบกับสิ่งเหลือเชื่ออีกแล้วครับ  ครูเดินออกมาพร้อมทักผมว่า พินิจ เหรอ ? อะไรจะขนาดนั้น มันจะ 40 ปีอยู่แล้ว ครูยังจำชื่อผมได้อีก  เท่านั้นยังไม่พอ  ยังพูดต่อว่า เดี๋ยวลองดูซิว่ายังมีรูปอยู่หรือเปล่า  ว่าแล้วก็เดินเข้าไปในห้องของท่านและ ออกมาพร้อมสมุดปกหนา เก่าๆ 5-6 เล่ม  ผมเปิดดูเล่มแรกเห็นมีแต่ ลายมือชื่อนักเรียน  ที่เขียนชื่อตัวเองไว้ให้ครู  ยังไม่มีรูปถ่ายแต่อย่างใด  ผมเดาว่าน่าจะเป็นยุคที่ครูยังไม่มีกล้องถ่ายรูปก็ได้   สะดุดใจมากก็เมื่อมาเจอชื่อ ดช.ทองมาก  มากมี น้าชายที่ ดูแลผมมาเหมือนพ่อคนที่สอง อยู่ในนั้นด้วย  จึงได้รู้ว่าน้าซึ่งเป็นข้าราชการครูเกษียณอายุไปหลายปีแล้ว ก็เป็นศิษย์ครูสุวรรณ ด้วยเหมือนกัน และท่านยังอุตส่าห์เก็บสมุดเล่มนั้นไว้เป็นอย่างดี  ดูไปจนในที่สุดก็ได้พบสมุดรวมรูปตัวผมและเพื่อนร่วมชั้น ป.5 ศิษย์ครูสุวรรณเมื่อปี พศ. 2505  ตื่นเต้นมากที่เห็นรูปของเราทากาวแปะอยู่ในสมุดนั้น  พร้อมลายมือชื่อที่เราเขียนเอง  แต่ลืมไปสนิทแล้วว่าเราไปเขียนเมื่อไร  ลูกชายของครูก็ใจดีมากขี่มอเตอร์ไซค์ไปถ่ายเอกสารให้ฟรี เมื่อผมบอกว่าจะขอไปถ่ายเอกสารไปเก็บไว้ดูและไปอวดเพื่อนๆร่วมรุ่น
         จากการพูดคุยกับครูและเล่าเรื่องสิ่งที่เกิดกับตัวผมให้ท่านฟัง  ผมยังได้เรียนรู้ความจริงอีกหลายอย่างเกี่ยวกับชีวิตของครู  เช่นเรื่องที่ท่านชอบจินตนาการเมื่อเห็นเมฆจากเครื่องบิน และชอบถ่ายรูปเมฆมาก   ผมเองก็มี Collection รูปเมฆที่ผมถ่ายจากเครื่องบินไว้ไม่น้อยเหมือนกัน  ท่านยังเล่าให้ฟังอีกว่า ร้านวงศ์สุวรรณ นั้น วงศ์ คือชื่อ ครูวงศ์ ศรียาภัย ซึ่งเป็นครูของท่าน ตอนแรกจะเข้าหุ้นตั้งร้านถ่ายรูปด้วยกัน  แต่ตอนหลังได้ถอนตัวออกไป โดยที่ครูยังคงชื่อ วงศ์ เอาไว้คู่กับ สุวรรณ  ไม่ยอมเปลี่ยนหรือตัดออก  เพราะเป็นชื่อของครู  ผมฟังแล้ว ซึ้งในความละเอียดอ่อนในใจ ของท่านยิ่งนัก ..
         ความประทับใจหลังสุดยังมีอีกครั้งครับ  เมื่อคราวรุ่นพวกผมเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงรวมรุ่นศิษย์เก่าพุทธนิคมเมื่อ 3-4 ปีก่อน  ผมได้พบและถ่ายภาพกับครูสุวรรณอีกครั้งในงานนั้น และภาพประทับใจสุดท้ายในงานก็คือ  แม้ครูเก่าแก่ที่อยู่ในวัยร่วงโรยต่างทะยอยกลับกันหมดแล้ว ใกล้เที่ยงคืน ครูสุวรรณ ก็ยังคงนั่งอยู่คนเดียวหน้าเวทีกลางแจ้ง ดูกิจกรรมการแสดงต่างๆที่รุ่นลูกรุ่นหลานของพวกเรานำเสนอบนเวที ด้วยใบหน้าที่เจือด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุขตลอดเวลา
           ไม่มีครูสุวรรณ สุวรรณรักษ์  ผมเชื่อสนิทใจว่าผมคงไม่มีวันนี้  ครูครับ .. ใครไม่รู้อาจมองว่าครูไม่ได้ทำอะไร กับผมมากนัก .. แต่เบื้องลึกในหัวใจของผม  ผมสารภาพอยู่ตลอดเวลาว่า ครูคือแบบอย่าง ที่ผมชื่นชม และอยากเป็นเช่นครู และที่สำคัญยิ่ง ครูคือผู้ลิขิตชีวิตผมครับ .


    Handyman … เจ้าเป็นไผ (๓)

    ไม่มีความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 7 มีนาคม 2009 เวลา 4:27 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
    อ่าน: 1317

        ครูผู้ลิขิตชีวิต

          เมื่อผมจบ ป.4 จากโรงเรียนวัดใกล้บ้าน  และทางบ้านกำลังตัดสินใจว่าจะให้เรียนต่อหรืออยู่บ้านช่วยพ่อแม่ และพี่ๆทำนาทำไร่ดี  ครูใหญ่ และครูที่โรงเรียนต่างบอกพ่อ แม่ ว่าควรให้ผมเรียนต่อ เพราะผมเรียนดี สอบได้ที่ 1 ได้คะแนน 89 % พ่อและแม่ก็เลยเห็นด้วยตามนั้น  จึงเป็นโอกาสให้ผมได้เรียนต่อ เป็น นักเรียน ป.5 รุ่นแรก ที่โรงเรียนพุทธนิคม อ.ไชยา จ. สุราษฎร์ธานี โดยพ่อได้ตัดสินใจให้ไปอยู่ วัดชยาราม กับท่านอาจารย์ พระครูสุธนธรรมสาร ผู้ที่ท่าน อาจารย์พุทธทาส บอกว่าคือ เพื่อนตาย ของท่าน  ความจริงผมมีบ้านพี่ชาย น้าชาย และญาติอีกหลายคนที่จะให้ไปอยู่ด้วยได้ แต่พ่อคงเห็นว่า วัดชยาราม น่าจะเหมาะกับลูกคนสุดท้องอย่างผม มากกว่าก็เป็นได้  ผมจึงได้ไปเป็น เด็กวัด และยอมรับว่าที่นั่นท่านอาจารย์พระครูสุธนธรรมสาร  ได้กลายเป็นครูที่มีอิทธิพลต่อชีวิตผมเป็นอย่างมาก ( รายละเอียดได้กล่าวถึงไว้บ้างแล้วใน บันทึกนี้ )  แต่ก็ไม่มาก และหลากหลายเท่ากับสิ่งที่ครูในดวงใจที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้มีต่อผม 
        ก่อนเข้าโรงเรียนใหม่ ผมจำเป็นต้องเข้าร้านถ่ายรูปเป็นครั้งแรก เพื่อถ่ายรูปติดเอกสาร  ในตลาดไชยาตอนนั้นร้านถ่ายรูปมีอยู่ 2 ร้าน คือร้าน ศิลป์ฟ้า และร้าน วงศ์สุวรรณ  ผมตัดสินใจใช้บริการของร้านที่สองครับ   และด้วยเหตุที่ผมเป็นเด็กบ้านนอกที่บ้าเรื่องช่าง เรื่องเทคโนโลยีมาก เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว  พอได้เห็นกล้องใหญ่ในร้าน เห็นช่างภาพ ถอด-ใส่แผ่นฟิล์มเข้ากล้อง กดปุ่มให้ไฟแฟลชทำงาน ก็ให้รู้สึกตื่นเต้น อยากเป็นช่างภาพ และถ่ายรูปเก่งแบบนั้นบ้าง  ยิ่งตอนเดินลงบันไดจากชั้นสองลงมาและได้เห็นช่างคนเดิมนั่งใช้พู่กันบรรจงแต่งฟิล์ม อย่างใจเย็นอยู่ที่โต๊ะข้างบันได ก็ยิ่งนึกศรัทธาเพิ่มมากขึ้น อยากเป็นเช่นที่ช่างภาพคนนั้นเป็นเหลือเกิน  เป็นไปได้ใคร่อยากเป็นลูกศิษย์ให้ช่วยสอน
         และแล้วผมก็ได้เข้าเรียนเป็นนักเรียน ป.5/1 ในโรงเรียนใหม่สมความตั้งใจ  แต่ที่เหลือเชื่อก็คือผมได้ครูประจำชั้นชื่อ นายสุวรรณ  สุวรรณรักษ์  ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน  ช่างภาพเจ้าของร้าน วงศ์สุวรรณ ที่ได้กล่าวถึงมาแล้วนั่นเอง 
        ผมนั้นนอกจากเรื่องเทคโนโลยี เครื่องยนต์กลไกแล้ว ผมรู้สึกชอบภาษาอังกฤษไม่น้อย แต่ก็ไม่เคยเรียนมาก่อน  อักษร 3 ตัวแรกที่ผมรู้จักก่อนเข้าเรียนป.5 คือ D D T ส่วน A B C เพิ่งมารู้จักทีหลัง จากครูสุวรรณ ครูประจำชั้นของผมนั่นเอง  เพราะท่านสอนวิชาภาษาอังกฤษและทำหน้าที่ครูประจำชั้นของพวกเราด้วย  ผมรู้สึกสนุกมาก และเล่นกับภาษาอังกฤษด้วยความชื่นชอบ จากหนังสือแบบเรียนอังกฤษเล่มแรกในชีวิต ชื่อ The Oxford English Course for Thailand ที่มีรูปพระปรางค์วัดอรุณฯ อยู่บนปกหน้า  โดยมีครูสุวรรณที่ผมศรัทธา เป็นผู้สอน  จำได้ดีว่าครู เป็นคน พูดน้อย  ยิ้มง่าย  ใจเย็น  และที่แน่ๆ เป็นช่างภาพมืออาชีพ  ที่สนใจเรื่องเทคโนโลยี และยังสอนวิชาภาษาอังกฤษที่ผมรัก อีกด้วย
         อยู่มาวันหนึ่งครูสุวรรณได้ทำให้ผมตื่นเต้นมากอีกแล้วครับ  ขณะที่พักกลางวันและเพื่อนๆกำลังออกไปทานข้าว  ผมเห็นครูทำอะไรบางอย่างกับสิ่งแปลกใหม่ของครู  มันคือวิทยุขนาดจิ๋ว กล่องสีแสดๆ ที่ เล็กขนาดว่าพกใส่กระเป๋าเสื้อได้เลยทีเดียว  ที่ผมเคยเห็นมาแต่เดิมนั้นวิทยุล้วนเครื่องใหญ่ต้องวางบนหิ้งบนชั้น เป็นเครื่องที่ใช้หลอดสุญญากาศ และใช้ถ่านไฟฉายก้อนใหญ่ถึง 72 ก้อน ลังถ่านที่อยู่ภายนอกเครื่อง โตกว่าตัวเครื่องรับวิทยุเสียอีก (ดู บันทึกนี้ เพิ่มเติมได้ครับ)  ที่ทันสมัยที่สุดก็เครื่อง Philips ใช้ Transistor เครื่องแรกของครูใหญ่โรงเรียนเก่า ที่ใช้ถ่านเพียง 6 ก้อนเท่านั้น ก็ใช้งานได้แล้ว  และที่ทำให้ผมงงมากจนต้องยืนดูอยู่ห่างๆ (เพราะกลัวครูเหมือนเด็กทั่วไปในตอนนั้น) คือ ครูสุวรรณ ใส่หูฟัง ( Earphone ) ตัวเล็กนิดเดียวเข้าไปในหูข้างหนึ่ง โดยเราเองไม่ได้ยินเสียงอะไรด้วยเลย  ผมทึ่งและคิดคาดเดาว่าเสียงมันจะเป็นอย่างไรหนอ น่าจะบี้ๆแบนๆ พอฟังรู้เรื่องกระมัง  และก็ยืนดูอยู่ไม่ยอมไปไหน  ครูสุวรรณยิ้มและกวักมือเรียกให้เข้าไปพร้อมกับถอดหูฟังดังกล่าวมาแหย่ในหูผม .. โอ้โฮ มันชัดเหมือนลำโพงใหญ่ๆเลยนี่นา มันทำได้อย่างไร ผมตื่นเต้นและ อยากแกะดูข้างในยิ่งนัก  ผลจากประสบการณ์ที่ ครูใส่ใจให้ความกรุณา แก่ตัวผมคราวนั้น ทำให้เกิดแรงบันดาลใจอยากทำวิทยุเป็น  ถึงขนาดเดินเท้าจากวัดชยารามไปสวนโมกข์ระยะทาง 4-5 กม. ได้บ่อยๆ เพื่อซักถามและเรียนรู้เรื่องวิทยุกับ ท่านจรูญ  พระสวนโมกข์ที่ สนใจและเก่งกาจเรื่องอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีอย่างหาตัวจับได้ยาก  และมีผลให้ผมสามารถสั่งชิ้นส่วนจากบริษัทไทยวิทยุที่กรุงเทพฯมาประกอบเครื่องรับวิทยุขายได้ในขณะที่ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น  หูฟังที่ทำจากตลับยาหม่องตราถ้วยทอง ที่ผมดัดแปลงสร้างขึ้นก็มีเสียงดัง ฟังได้ แม้จะไม่ชัดเจนดีนัก  ครูสุวรรณไม่ได้สอนผมเรื่องดังกล่าว แต่ถ้าไม่มีครูสุวรรณ ผมไม่เชื่อว่าผมจะมีโอกาสทำสิ่งเหล่านั้นได้ในขณะนั้น  ท่าน ไม่ได้สอน แต่ท่านรัก เมตตาและใส่ใจผม สิ่งที่ท่านให้คือแรงขับสำคัญอย่างยิ่ง



    Main: 0.22652411460876 sec
    Sidebar: 0.012495040893555 sec