คำเตือนสำหรับบันทึกนี้ : บันทึกนี้ยาวและมีสาระน้อย หากมีเวลาไม่มากพอ สมาธิยังไม่ตั้งมั่น และเป็นคนที่มีมาตรฐานชีวิตสูง… ไม่ควรอ่าน
////
พระเจ้าไม่ได้สั่งว่าจงทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่
แต่…จงทำเพียงสิ่งเล็ก ๆ
ด้วยความรักในหัวใจที่ยิ่งใหญ่ก็พอ
แม่ชีเทเรซา
///
///เพื่อนเล่าว่าเบื่อเพื่อนร่วมงานที่ชอบเอาเปรียบ งานชิ้นใหญ่ ๆ สำคัญ ๆ ทำเอง งานกระจิ๊บกระจ้อย ไม่มีความสำคัญส่งมาให้เธอทำ…ฯลฯ นั่งฟังไปก็อินไปด้วย ช่วยกันคิดค้นวิธีแก้เผ็ดเพื่อนประเภทนี้ เป็นที่สนุกสนานเฮฮาแกมตลก(ร้าย)
คุยกันจนขนมหมด ได้เวลาต้องกลับบ้าน ก่อนจากกันเพื่อนบอกว่า เธอเปลี่ยนไปนะ ถามว่าเปลี่ยนยังไง เพื่อนบอกว่าถ้าเป็นแต่ก่อนเธอก็จะบอกว่าปล่อยไปเหอะ ใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้น อย่าไปสนใจ ทำเรื่องของเราให้ดีที่สุด… อะไรทำนองนี้ แล้วก็มักจะกลับไปคิดต่อด้วยความรู้สึกว่าตัวเองนี่แย่จัง ใจแคบ คิดลบ กลุ้มใจต่อไปอีก (อ้าว…เป็นงั้นไป)
///ไม่ได้บอกเพื่อนว่า เราไม่ได้เปลี่ยนไปหรอก แต่ตอนนี้เริ่มยอมรับความคิดจริง ๆ ของตัวเอง จะไปมัวหลอกตัวเองว่าเป็นนางเอกอยู่ได้ไงล่ะ คนทุกคนมีภาคทั้งดีและร้ายมากน้อยต่างกันไป แล้วแต่จะโผล่หน้ามาตอนไหน บริบทใด ดังนั้นหากอยากรู้จักภาคที่ไม่เคยเห็นในตัวใคร ต้องอยู่ใน “ภาวะวิกฤต” อันกระทบต่อหน้าตาชื่อเสียงเกียรติยศ พูดง่าย ๆ ก็กระทบกับ “อัตตา” ในตัวเรานั่นแหละ
บางทีนะ จะเห็นหลายภาคเลย ทั้งแม่พระ นางมาร ผู้พิทักษ์ ซาตาน ตัวตลก คนโลภ ผู้มีเมตตา ฯลฯ จนเราอาจตกใจตัวเองก็ได้…(โอ เราหรือนี่)
การเก็บกดภาคร้าย ๆ แย่ ๆ สร้างภาพลักษณ์ดี ๆ ก็เป็นกลไกหนึ่ง (ขี้เกียจอ้างชื่อนักวิชาการทั้งหลาย) เพราะแท้ที่จริงแล้ว เราทุกคนอยากเป็นคนดี อยากให้คนมองว่าเราเป็นคนดี คนเก่ง คนมีความสามารถ ใครลองมาทำให้เราตระหนักรู้ถึงความไม่ดี ความแย่ ความโหล่ยโท่ยของเราแม้เพียงเล็กน้อย เราจะรู้สึกไม่ดีทันที เพราะเกิด “ความขัดแย้ง” ขึ้นในใจระหว่างตัวตนที่แท้(Real self)กับตัวตนที่เราพยายามสร้างขึ้น(Image)
“ความขัดแย้ง” นี้ เป็นตัวสร้างปัญหาให้กับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ยิ่งปกปิดปกป้องไว้ กำแพงก็หนา ปัญหาก็จะเกิดได้บ่อยได้ง่ายขึ้น สร้างความปวดหัวปวดใจปวดอารมณ์ให้กันและกันจนวุ่นวายไปหมด
มีผู้รู้ (จำชื่อไม่ได้) กล่าวไว้ว่า วิธีง่าย ๆ พื้นฐานที่สุดในการปลดปล่อยความขัดแย้งในใจก็คือ “การยอมรับ” ยอมรับอย่างซื่อสัตย์กับความรู้สึก ความคิดของเรา
…หากชอบ…ก็รักษามันไว้
…หากไม่ชอบไม่อยากเป็นเช่นนั้น…ก็เปลี่ยนซะ (แค่นั้นเอง)
…ไม่ต้องไปพบจิตแพทย์ให้เหนื่อยใจทั้งหมอทั้งคนไข้ (จิตแพทย์และเจ้าหน้าที่ด้านจิตเวชก็ทนเจ็บป่วยด้วยอาการทางจิตเวชเยอะแยะเลย)
กล้า ๆ หน่อย ไม่ต้องอายที่จะบอกความรู้สึกจริง ๆ ชอบก็บอกว่าชอบ ไม่ชอบก็บอกว่าไม่ชอบ เกลียดก็บอกเลยว่าเกลียด ยอมรับไม่ได้ รู้สึกดีก็เบิกบานซะให้หนำใจ รู้สึกแย่ก็บ่น ๆ ร้องไห้ให้พอ… (อ้อ…เพียงอย่าให้เดือดร้อนเบียดเบียนคนอื่นมากไปก็แล้วกัน)
คิดไปยาว…ไม่เห็นจะเกี่ยวกับหัวข้อเลย (ฮา ๆ ก็บอกแล้ว ไม่มีเวลาอย่าอ่าน สมาธิไม่พออย่าเสี่ยงกับบันทึกนี้) ก็กำลังจะสรุปอยู่นี่ละว่า เมื่อยอมรับตัวเองได้แล้ว จะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน เราเลือกเอง ไม่มีใครบังคับเราได้ แต่บางทีเราก็ไม่มีทักษะ ไม่เข้มแข็งพอจะเปลี่ยนไปยังสิ่งที่เราต้องการนี่…
ส่วนตัวมีวิธีการง่าย ๆ ก็คือ อย่าหักด้ามพร้าด้วยเข่า ให้ค่อยเป็นค่อยไป เราไม่จำเป็นต้องเป็นนางฟ้า นางเอก พระเอกขี่ม้าขาว ผู้พิทักษ์ตลอดกาล เราค่อยทำสิ่งที่คิดว่าดี เป็นประโยชน์ต่อทั้งตัวเอง คนใกล้ตัว รอบบ้าน รอบชุมชน ทำหลาย ๆ คนเข้า มันจะขยายวงยิ่งใหญ่ไปเอง
ไม่ต้องทำสิ่งยิ่งใหญ่หรอก ทำสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่มุ่งมั่นตั้งใจ คาดหวังน้อย ๆ ทำด้วยใจร่ม ๆ เย็น ๆ…
แล้วมันจะดีเอง… (อย่าเชื่อนะ)
อยู่ได้ไงล