กระทบธรรม

2 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 25 สิงหาคม 2010 เวลา 12:08 (เย็น) ในหมวดหมู่ ปรัชญา แนวคิด ชีวิต #
อ่าน: 2155

:-|

เมื่อทุกข์ (มา) กระทบ

ก็ขอให้ ธรรม กระเทือน

แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต

+++หากเรายอมรับเสียว่า มนุษย์ย่อมถูกกระทบกระแทกด้วย โลกธรรมอยู่ตลอดเวลา มากบ้างน้อยบ้างตามสภาวธรรมที่เกิด ๆ ดับ ๆ

บางที คำ ๆ เดียวได้ยินได้ฟังได้อ่าน ก็ตื้นตัน น้ำตาคลอ

บางครั้ง คำ ๆ เดียว ก็ให้เบิกบาน มีกำลังใจ พร้อมจะตะลุยงานต่ออย่างไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อย

บางครา แค่แวบที่เหลือบไปเห็น ก็ให้หดหู่ใจ หม่นหมอง ทุกข์ไปนานสองนาน (ซะได้)

หลายหน แค่แวบที่เห็น เสี้ยวเสียงที่เราได้ยิน ก็สร้างความเบิกบานผ่องใสไปทั้งวันที่เหลือนั้น

+++เมื่อรู้เมื่อเห็นเช่นนี้เราจะยอมรับและเข้าใจว่า…ห้ามสุข-ทุกข์อันเกิดจากโลกธรรมได้เสียที่ไหนกันเล่า…

+++ อย่ากระนั้นเลย ต้องอย่าขาดทุนชีวิตให้มากนัก เมื่อใด ทุกข์ มากระทบ ต้องตระหนักและไตร่ตรองให้ได้ถึง ธรรม ด้วย

คิดถึงคำสอนสั่งของครูบาอาจารย์ที่ว่า… เห็นทุกข์จึงถึงธรรม

เอาล่ะ…คราวนี้นะ ใครที่มีทุกข์มากระทบบ่อย ๆ ก็โชคดีน่ะสิ

เพราะได้เข้าถึง ธรรม บ่อย ๆ ไงล่ะ

:-D


เวลา-ความคิด

7 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 24 สิงหาคม 2010 เวลา 7:21 (เย็น) ในหมวดหมู่ ปรัชญา แนวคิด ชีวิต #
อ่าน: 2267

!!!!

คนที่มีความสุข ไม่ใช่คนที่ทำสิ่งที่ตัวเองรัก

แต่…เขารักสิ่งที่ตัวเองทำ

!!!!

วันนี้คิดไปถึง ประเด็นที่เคยพูดคุยกับเพื่อนสนิท ซึ่งเจอหน้ากันต้องหาประเด็นมานั่งถกเถียงกันเพื่อหาข้อสรุปทางความคิด (งานอดิเรกสำหรับคนว่างงาน) เป็นประเด็นที่คุยกันไปพร้อมกินขนมแกล้มกาแฟ จึงเป็นการคุยที่ออกรสออกชาติและโปรดปรานของเราทั้งสองอย่างยิ่ง

!!! เพื่อนตั้งประเด็นว่า คนที่มีความสุข ไม่ใช่คนที่ทำสิ่งที่ตัวเองรัก แต่…เขารักสิ่งที่ตัวเองทำ

!!!! ไม่เห็นด้วยอย่างแรง (ในตอนนั้น) ส่วนตัวเชื่อว่า คนจะมีความสุขเมื่อได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก เพราะถ้าเรารักสิ่งที่ทำอย่างสุดจิตสุดใจล่ะก็ อุปสรรคเหนื่อยหนักแค่ไหน เราก็ยินดีและมีแรงผลักดันที่จะทำให้ดีที่สุด แม้จะไม่สำเร็จแต่ก็ได้มีความสุขกับกระบวนการที่ทำสิ่งที่เรารักนั้น

!!!! แต่เพื่อนบอกว่าแล้วในชีวิตจริงน่ะ เราเลือกได้หรือ เลือกแต่สิ่งที่รักที่ชอบได้เท่านั้นหรือ ในโลกของความจริงในชีวิต เราได้ทำสิ่งที่เรารักเพียงไม่กี่อย่างหรอก และบางคนก็อาจไม่โชคดีมากพอที่จะเลือกทำเฉพาะสิ่งที่ตัวเองชอบได้ด้วย ดังนั้นเราควรที่จะต้องเลือกรัก-ชอบในสิ่งที่เป็นหน้าที่ของเรา นั่นคือสิ่งที่เราทำต่างหาก

จำได้ว่าประเด็นนี้ไม่ได้ข้อสรุป เพราะเวลาหมดเสียก่อนและไม่มีโอกาสได้คุยกันอีกเลย…

จนมาเมื่อหลายวันที่ผ่านมา กลับมาคิดถึงประเด็นนี้ ทำให้เกิดความคิดขึ้นมาบางอย่าง ชักจะเห็นด้วยกับความคิดของเพื่อน เพราะมาพิจารณาถึงงานที่ทำ บางงานไม่ได้รักชอบชื่นชมอะไรมาก่อนเลย แต่มีเหตุให้ต้องเข้าไปทำงานนั้น ต่อมากลับพบบางสิ่งบางอย่างที่ถูกกับอุปนิสัยและมีข้อดีบางอย่างที่เรารู้สึกชื่นชมอย่างหมดใจได้เหมือนกัน

เวลาที่เปลี่ยนผ่านทำให้เราได้พบเห็น ประสบกับบางสถานการณ์ บางสิ่งบางเรื่อง ความคิดจึงเปลี่ยนไป

…เวลาเปลี่ยนความคิดเปลี่ยน มันเป็นเช่นนี้เอง

!!!!

เอ๊ะ…แล้วมีไหมนะที่เวลาเปลี่ยน แต่ความคิดไม่เคยเปลี่ยนเลย

คงน่าจะมีบ้างล่ะน่า…

;-)


คลี่-คลาย

ไม่มีความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 20 สิงหาคม 2010 เวลา 10:10 (เช้า) ในหมวดหมู่ เรื่องเรื่อยเปี่อยตามอารมณ์ #
อ่าน: 2220

8-O

คิดอย่างเด็ก ทำอย่างผู้ใหญ่

โชค บุลกุล

@@@@

เรื่องราวที่พบเจอในระยะนี้ ทำให้คิดถึงประสบการณ์บางอย่างในวัยเด็ก ด้วยว่าเป็นลูกที่ไม่เคยถูกพ่อแม่ตี มากที่สุดคือการคาดโทษ พี่ ๆ ชอบล้อว่าก็เป็น ลูกหลง มาในขณะที่พี่ ๆ โตกันหมดแล้ว พ่อแม่เลยรักมากเป็นพิเศษ เป็นเด็กเส้นของพ่อแม่มาตั้งแต่เกิด(จนแก่ป่านนี้) ว่างั้นเถอะ

@@@การเป็นลูกคนเล็กที่หลงมาของครอบครัวนั้น ส่งผลให้นอกจากเป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเองต้องคอยดูว่าพี่ ๆ เขาทำอย่างไร พูดอย่างไร และต้องทำอย่างไรจึงจะทำให้อยู่ได้ในกลุ่มพี่ ๆ ที่โตกว่าและมีความสนใจต่างจากเรา บางทีโลกของ ลูกหลง ก็ว้าเหว่เหมือนกัน เกิดความไม่มั่นใจและต้องการสร้างโลกส่วนตัว จึงกลายไปเป็นหัวหน้าแก็งค์ในเด็กรุ่นเดียวกันในครอบครัว (หลาน ๆ ซึ่งเป็นลูกของพี่คนโต ๆ ที่แต่งงานแล้ว) บทบาทหัวหน้าแก็งค์ต้องเป็นผู้ที่เข้มแข็งและสามารถปกป้อง สรุปรวมเลยทำให้เกิดความรู้สึกแปลกแยกปนสับสน บางทีก็ไม่มั่นใจไปเสียทุกอย่าง แต่บางครั้งก็ห้าวหาญเด็ดขาดอย่างไม่ค่อยมีเหตุมีผล (เลยชอบทะเลาะกับตัวเองเป็นประจำ)

@@@ที่เล่าเช่นนี้เพราะคิด/รู้สึกเองว่าหากเรา ยอมรับตัวเอง (อาจไม่ถูกต้องเพราะเป็นความคิด-ความรู้สึกส่วนตัว) เราจะพัฒนาต่อไปยังเส้นทางที่ควรเป็นได้ ไม่ติดแหง็กอยู่กับ ปมในชีวิต การคลายปมในชีวิตสำคัญมาก และจะว่าไปแล้วก็ไม่ยากจนเกินกำลัง แต่ก็ไม่ง่ายนัก…

@@@เรื่องที่ว่าไม่ยากเพราะ มนุษย์เป็นสัตว์โลกที่มีศักยภาพอันมหัศจรรย์ รู้คิด รู้แก้ รู้กัน ไตร่ตรองใคร่ครวญเป็น หาเหตุผลได้ มีอัตภาพที่เหมาะกับการเรียนรู้และพัฒนาได้ (ต่างจากสัตว์โลกบางชนิดที่ไม่มีอัตภาพในส่วนนี้) นั่นก็คือหากมุ่งมั่นตั้งใจอยากเปลี่ยน อยากพัฒนาก็จะทำได้

@@@ส่วนที่ว่าไม่ง่ายนักเพราะขึ้นชื่อว่ามนุษย์ล้วนวนเวียนอยู่ในโลกธรรม กิเลส ตัณหา อุปทาน อวิชชาที่ครอบคลุมจิตอยู่ ทำให้แม้รู้ แม้เห็น แต่ก็ยังยากที่ ตระหนัก ได้ว่าควรจัดการอย่างไรกับชีวิต

@@@ส่วนตัวเรียนรู้การแก้ ปมชีวิตเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น เพราะมีเพื่อนบอกว่าเป็น คนแปลก เดาใจยาก เข้าถึงยาก ดูเหมือนเข้ากับเพื่อน ๆ ได้ง่าย แต่หลายครั้งก็ปิดตัวเองจนเข้าไม่ถึง การถูกประเมินจากเพื่อน ๆ ทำให้เกิด คำถามกับตัวเอง หากเลือกตอบง่าย ๆ แค่ว่า ก็เราเป็นแบบนี้ชีวิตก็คงเป็นรูปแบบหนึ่ง หากถามต่อว่า ที่เพื่อนพูดนั้นจริงหรือ เพราะอะไร ชีวิตก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่ง

…การตั้งคำถามกับตัวอย่างอย่างมีคุณภาพจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งกับการเป็นไปของชีวิต…

@@@ เคยรังเกียจและไม่ชอบใจกับการเป็น ลูกหลง/ลูกคนเล็ก แต่ความจริงเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว กลับได้เห็นข้อดีอีกมากมาย … อย่างน้อยเราก็ยังคงความเป็นเด็กอยู่ได้แม้ในวัยที่คนอื่นเป็นน้า เป็นป้า เป็นคุณยายคุณย่า (ฮา) และที่ไม่เคยถูกทำโทษใด ๆ จากพ่อแม่เลย ก็ด้วยการเรียนรู้ที่จะ เฉย นิ่ง เงียบ พี่ชายให้นิยามว่าเป็นพวก น้ำเซาะหิน นั่นคือ ไม่เถียงเสียงดัง ไม่เอาชนะคะคานกับใคร แต่ไม่เคยลดละในสิ่งที่ตัวเองคิดและเชื่อ แล้วที่ตลก ๆ ก็คือ ก็มักจะได้ตามที่คิดที่เชื่อนั้นเสียด้วย (พ่อแม่และพี่ ๆ คงเอือมเลยปล่อยมันไป…)

บางทีนะ บางที…หากเราต้องการชนะหรือได้ในสิ่งที่ต้องการ อาจไม่ต้องใช้กำลังใด ๆ มากไปกว่าความมุ่งมั่น (ในสิ่งที่คิดแล้วว่าใช่ว่าถูก) อย่างอ่อนน้อมถ่อมตนให้มากพอ…ก็ได้

๑๑๑

๑๑๑๑การคลี่/การคลายปมในชีวิต เป็นกระบวนการที่ส่วนตัวใช้เป็นประจำเมื่อมีสิ่งที่รู้สึกไม่สบายใจ ไม่พึงพอใจ หรือมีปัญหา และพบว่าเป็นวิธีการที่ใช้ได้ดีสำหรับตัวเอง เราทุกคนจึงน่าจะมี วิธีการส่วนตัวในการจัดการกับ ปมชีวิต ของตัวเอง (แม้ปัญหาเหมือนกัน แต่วิธีการแก้ปัญหาของคนหนึ่งอาจใช้ไม่ได้กับอีกคนหนึ่ง-ไม่มีคำตอบสำเร็จรูปสำหรับใคร ต้องค้นหาที่เหมาะกับเราเอง) การตระหนักเพื่อคลี่และคลายปมชีวิตของตัวเองนี้ ยังส่งผลให้เราได้เข้าใจด้วยว่า คนอื่น ๆ รายรอบตัวเรา ที่บางครั้งเราไม่เข้าใจในความคิด คำพูด และการกระทำของเขาเลยนี่… เขาก็มีปมชีวิตเช่นเดียวกันกับเรา และอาจจะกำลังทำการคลี่และคลายปมชีวิตอยู่เหมือนกัน…ก็เป็นได้

๑๑๑ งั้น…เรามาคิดแบบเด็ก สนุก ๆ ไม่ยากไม่เครียด สร้างสรรค์แบบไม่ติดกรอบ แต่ทำงานและใช้ชีวิตแบบผู้ใหญ่ ที่รู้เหตุ เข้าใจผล รับผิดชอบต่อตัวเองและสังคมคนรอบข้างกันดังที่ คุณโชค บุลกุล กล่าวไว้กันดีกว่านะคะ

๑๑๑

อืม…พอคลี่และคลายปมออกบ้างแล้ว (แม้ยังเหลืออยู่บ้าง)

ชีวิตก็มีความสงบสุข ผ่อนคลายมากขึ้นจริง ๆ

;-)


ว่าด้วย…นิทาน

5 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 18 สิงหาคม 2010 เวลา 7:40 (เย็น) ในหมวดหมู่ ภาษา ร้อยกรอง ความคิด #
อ่าน: 2492

:-D

คำชี้แจง : บันทึกนี้เหมาะสำหรับเด็กและ/หรือผู้ที่มีหัวใจอันอ่อนเยาว์ของเด็กน้อยเท่านั้น

@@@

เอ้า…ล้อมวงเข้ามามีนิทานจะเล่าให้ฟัง…

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว…ณ ดินแดนอันไกลโพ้น (ไม่ทราบอยู่ตรงไหน) มีสาวงามผู้เปี่ยมด้วยความงาม เธอสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์สีสันสดใสสวยงาม ไม่ว่าเธอจะย่างกรายไปที่ใด เธอจะเป็นที่สังเกตเห็นและได้รับความชื่นชอบ ทุกคนมีความสุข สนุกสนาน ล้วนแต่ชื่นชมยินดีในการปรากฏตัวของเธอ

มีหญิงงามอีกคนหนึ่งผู้มีความงามไม่น้อยกว่ากัน แต่เธอยากจนและมีแต่เสื้อผ้าอาภรณ์ที่ทึมทึบไม่สดใส ไม่เคยมีใครใส่ใจต่อเธอเลย

เธอจึงเข้าไปหาหญิงงามผู้เป็นที่รักและชื่นชอบนั้น เธอขอสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์อันงดงามและขอติดตามหญิงงามผู้นั้นไปทุกที่ เธออธิบายว่าแม้ว่าเธอจะไม่มีเสื้อผ้าอาภรณ์อันสดใสสวยงาม แต่เธอก็มีเรื่องราวสำคัญที่อยากบอกเล่าให้กับผู้คนมากมาย  ส่วนหญิงงามผู้มีอาภรณ์งดงามนั้นนอกจากเป็นผู้มีจิตใจอันงดงามแล้วยังมีสติปัญญาด้วย เธอพิจารณาเห็นว่าแม้อีกฝ่ายจะไม่มีเสื้อผ้าสวยงามสวมใส่ แต่เธอผู้นั้นเป็นผู้มีสติปัญญาอันชาญฉลาด เธอจึงตกลงมอบเสื้อผ้าอันงดงามที่เธอมีอยู่มากมายนั้นกับเพื่อนผู้นี้

หญิงงามทั้งสองเดินทางไปด้วยกันในทุกที่ ทุกหนทุกแห่ง เมื่อเธอทั้งสองปรากฏกายก็จะได้รับความใส่ใจ ชื่นชม และห้อมล้อมด้วยความสุขเสมอ ๆ

จากนั้นเป็นต้นมาทั้งสองไม่เคยพรากจากกันอีกเลย เธอทั้งสองจะปรากฏกายพร้อมกันอย่างมีชีวิตชีวาตลอดมา แม้ในปัจจุบันนี้…

หญิงงามผู้ยากจนแต่เปี่ยมสติปัญญา แท้จริงแล้วเธอคือ Truth (สัจธรรม/ความจริงแท้) ส่วนหญิงงามผู้มีอาภรณ์สวยงามคือ Story (เรื่องเล่า/นิทาน)

นิทาน เป็นเรื่องราวที่บรรจุไว้ซึ่ง สัจธรรม/ความจริงของชีวิต ที่บูรณาการไว้ด้วยกันอย่างแยบคาย หากนิทานหรือเรื่องเล่าใดไร้ซึ่งสาระข้อคิดสะกิดใจแล้ว ก็คงไม่สามารถที่จะทรงคุณค่าอย่างมีเสน่ห์และอยู่ยั่งยืนมาได้จนปัจจุบันเป็นแน่แท้

คิดเล่น ๆ ต่อจากนิทานว่า…งั้น ตอนที่เราจะสอนหนังสือ เราต้องตระหนักไว้ว่า สาระเนื้อหาวิชาการที่จะดึงดูดและให้ข้อคิดและเป็นประโยชน์ได้เต็มที่ น่าจะอยู่ในรูปแบบที่ผ่อนคลาย ไม่ยาก ไม่เครียด และสนุกสนาน เฉกเช่นเดียวกันกับการปรากฏกายของหญิงงามทั้งสองที่มีทั้งความสวยงามของเสื้อผ้าอาภรณ์ (รูปล้ักษณ์ภายนอกที่ดึงดูดความสนใจ) และมีเนื้อหาสาระอันเป็นสัจธรรม (เนื้อแท้ภายใน) ที่บูรณาการเป็นองค์รวมไว้อย่างพอดีพองาม

@@@

นี่คือคำตอบที่ว่าทำไมเราจึงชอบ นิทานกันทั้งเด็ก

และผู้ใหญ่ที่มีหัวใจเด็ก

;-)

คำชี้แจงท้ายบันทึก : หากท่านอ่านแล้วยิ้มอย่างมีความสุข นั่นหมายถึงท่านมีอายุไม่เกิน 12 ปี หรือ…เป็นผู้ที่มีความอ่อนเยาว์บรรจุอยู่ในหัวใจ


อยากทำ…ก็ทำเลย

2 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 18 สิงหาคม 2010 เวลา 9:25 (เช้า) ในหมวดหมู่ สังคม ความคิด #
อ่าน: 2401

ขอบคุณภาพประกอบบันทึกจากวิกิพีเดีย

จงทำในสิ่งที่ถูกต้องด้วยหัวใจที่เปี่ยมเต็มด้วยรอยยิ้ม

เพราะถึงอย่างไรไม่ว่าคุณจะทำหรือไม่ทำอะไรก็ตาม

ก็จะมีคนวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของคุณอยู่ดี

++++

Eleanor Roosevelt (1884–1962)

ภริยา Franklin D. Roosevelt

ประธานาธิบดีคนที่ 32 ของสหรัฐอเมริกา


++++

++++อ่านข้อความนี้แล้วชอบเพราะใกล้เคียงกับประสบการณ์ตรงที่ประสบอยู่ การใช้ชีวิตอยู่ในสังคม โดยเฉพาะสังคมของคนทำงาน ซึ่งต้องพบปะกับแรงปะทะอยู่เป็นประจำนี้ ต้องอาศัย ความเชื่อมั่นในตัวเอง(ในทางที่ถูกที่ควรแก่เหตุ) เป็นตัวกำลังในการขับเคลื่อนนาวาชีวิต ชาวพุทธจะคิดถึงคำว่า สติ ซึ่งเป็นหางเสือนำพานาวาชีวิตไม่ให้หลงทิศหลงทางไปตามกระแสแห่งโลกธรรมอันเชี่ยวกรากนั้น

++++ดังนั้นเราควรหมั่นตรวจสอบ ความเชื่อมั่นในตัวเอง และ สติ รวมทั้งคอยพิจารณาให้รู้เท่าทัน กระแสแห่งโลกธรรม อยู่เสมอ ๆ

++++

อยากทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องรอ ไม่ต้องให้ใครมากำหนดให้เรา

ต้องทำนี่ทำนั่นหรอก…

มันเป็นเรื่องที่เราต้องรับผิดชอบเอง

++++

;)

ปล. พิมพ์แล้วก็ยังขำ ๆ ทำไมต้องบอกว่าเป็นคำพูดของ Eleanor Roosevelt ซึ่งเป็นภริยา Franklin D. Roosevelt ด้วยก็ไม่ทราบ หากเธอไม่ได้เป็นภริยาของคนดังระดับประธานาธิบดีคนที่ 32 ของสหรัฐอเมริกาแล้ว เราจะไม่สนใจข้อคิดของเธอหรืออย่างไรกัน (พอดีกว่า…หยุดนิสัยชอบทะเลาะกับตัวเองได้แล้ว…ไม่ดี ๆ)


คิดไปได้…

3 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 17 สิงหาคม 2010 เวลา 9:31 (เย็น) ในหมวดหมู่ สังคม ความคิด #
อ่าน: 2130

:oops:

@@@นั่งรอเพื่อนอยู่ที่โรงอาหารยามบ่าย ๆ กำลังเริ่มเบื่อที่ต้องรอนาน (อยากมาเร็วเองนี่นา) สักพักได้ยินเสียงคุยกระหนุงกระหนิงจากโต๊ะด้านหลัง จับความได้ว่าเป็นนิสิตหนุ่มนิเทศศาสตร์กับสาวครุศาสตร์คุยกัน

หนุ่ม : เราว่านะเลือกแฟนน่ะก็เหมือนเลือกมือถืออ่ะ

สาว : เหรอ เลือกไงเหรอ มีฟังก์ชั่นเยอะ ๆ เดิ้น ๆ เหรอ เสียงหวานเชียวแฮะ

หนุ่ม : ไม่หรอก ก็ทำนองเราต้องเลือกเองน่ะ พ่อแม่เลือกให้เราก็ไม่เอา ต้องดูเอง เลือกเอง คือมันต้องcustomizedเราด้วย จะมือถือจะแฟนก้อ … จริงไหมอ่ะ แอบฟังแล้วคิดตาม เออนะหนุ่มน้อยนี่ฉลาด เข้าใจคิดดี ใช้ได้ ๆ

สาว : เหรอ เออขำ ๆ ดี … เสียงหัวเราะ สงสัยสาวน้อยนี้จะพูด เหรอ เป็นอยู่คำเดียวนี่ล่ะ

หนุ่ม : พอได้มือถือมาใหม่นะ เราก็จะลองเล่นทีละฟังก์ชั่น ไม่เล่นวันเดียวทั้งหมดหรอก ค่อย ๆ ลองไปทีละฟังก์ชั่นทีละวัน เสียงบอกมั่นใจ

สาว : เหอะ ๆ เหมือนเรียนรู้คนเป็นแฟนเหรอ… เสียงหัวเราะต่อ คงไม่รู้จะถามอะไร

หนุ่ม : ใช่สิ เราต้องเลือก ต้องเรียนรู้ รีบไม่ได้หรอกไม่ว่ามือถือหรือว่าแฟน ซื้อแล้วได้มาเป็นแฟนแล้วต้องอยู่กันนาน…ช่างคิดรอบคอบจัง คิดได้ไงกัน พ่อแม่น่าจะภูมิใจไม่ต้องห่วงลูกชายนะนี่

สาว : เหรอ…ว่าแต่ซื้อมือถือใหม่ยัง แล้วแฟนล่ะมีหรือยัง… ฮั่นแน่ คำถามแบบนี้สาว ๆ เขาไม่ถามกันมั้ง ฟังไปอมยิ้มไป

หนุ่ม : ก็ดู ๆ อยู่…เสียงเบาลงไป สงสัยจะบอกรัก ขอเป็นแฟนกันเสียละมั้ง

สาว : เหรอ(อีกแล้ว) แหมใครได้เป็นแฟนเธอนี่โชคดีเนอะ คนแอบฟังอมยิ้มอีก ดี ๆ เปิดเผยดี

หนุ่ม : คนโชคดีน่ะ ไม่รู้จะรู้ตัวมั๊ย… เสียงตอบกลับเบาลงไปหน่อยหนึ่ง เริ่มเข้าสู่โหมดนิยายรักหวานแหววแล้ว

สาว : คงไม่รู้ตัวมั้ง… เสียงยังหัวเราะ ๆ ต่อ

หนุ่ม : โธ่เอ้ย…ก็บอกอยู่นี่ ยังไม่รู้ตัว…ก็เธอไง โอ๊ะโอ๋ บอกตรง ๆ เลย เป็นไงเป็นกัน

สาว : ฉันเหรอ… แหงะ ๆ ไม่เอาหรอก… (อ้าว…)

หนุ่ม : ทำไมอ่ะ ไหนว่าเป็นแฟนเราโชคดีไง

สาว : ฉันไม่อยากเป็นมือถืออ่ะ… คนแอบฟังยิ้มจนปวดแก้มแล้ว แอบชมในใจว่าสาว เหรอ นี่ ฉลาดไม่เบาไม่เสียชื่อสาวครุศาสตร์แฮะ

@@@

@@@ฟังแล้วขำ ๆ อารมณ์ดีไปด้วย เลยนำมาเล่าต่อให้ฟังเป็นข้อคิดเล็ก ๆ แล้วยังอาจได้ผ่อนคลายกับความคิดใส ๆ ของเด็ก ๆ โลกหมุนไปตลอดเวลา ความคิดมุมมองของเด็กรุ่นใหม่ก็เปลี่ยนไปตามบริบท หากผู้ใหญ่ตามไม่ทันความคิดของเขา ก็จะกลายเป็น ช่องว่าง สร้างปัญหาขึ้นมาได้เหมือนกัน…จริงไหมคะ?

;)


กะลาครอบฟ้า

5 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 16 สิงหาคม 2010 เวลา 10:26 (เช้า) ในหมวดหมู่ การจัดการความรู้ #
อ่าน: 2817

๑๑๑๑

“In the beginner’s mind,

there are many possibilites,

but in the expert’s mind

there are …few”

Shunryu Suzuki

!!!!

๑๑๑๑ อ่านแล้วคิดต่อไปถึง กบในกะลาครอบ ความหมายของ อาจารย์เซน ท่าน Shunryu Suzuki คงคล้าย ๆ กับความหมายในโคลงสุภาษิตที่เคยผ่านตา…

กะลาครอบคิดฟ้า…กว้างไกล

เหมือนดั่งคนมั่นใจ…เก่งกล้า

คุยโอ่อวดเกินไป…เขาเบื่อ หน่ายนอ

เพียงหนึ่งจากมือคว้า…เท่านี้ กลับหลง

++++

คนที่รู้มาก มักจะคิดอยู่เสมอว่าตัวเองยังรู้ไม่มากพอ ในขณะที่คนรู้น้อย มักหลงว่าตัวเองรู้มากมายเสียจริง ๆ…

++++

!!!!!!!นี่อาจเป็นข้อพิสูจน์ได้อย่างหนึ่งว่า ภูมิปัญญา นี้ เป็นของสากลคู่โลก ไม่ว่าชาติใดภาษาใด ต่างก็มีจุดร่วมของความคิด สติปัญญา และภูมิรู้ที่คล้าย ๆ กัน

!!!!!!!

ว่าแล้วก็อดจะเงยหน้าขึ้นไปมองฟ้าไม่ได้…

วันนี้…ชักเบื่อกะลาครอบฟ้านี่แล้ว..

อ๊บ ๆ ๆ

;)


เคล็ดลับดับทุกข์

4 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 15 สิงหาคม 2010 เวลา 11:00 (เช้า) ในหมวดหมู่ ปรัชญา แนวคิด ชีวิต #
อ่าน: 2692

@

@@@หลายวันที่ผ่านมาได้รับบทเรียนของ ความทุกข์หลายบท ทั้งจากเรื่องส่วนตัวที่ทำงานไม่ค่อยได้ตามเป้าหมายที่ตั้งใจ ทั้งความทุกข์ของเพื่อน ความทุกข์ของญาติผู้ใหญ่ในครอบครัวที่เจ็บป่วยและไม่สามารถช่วยเหลือท่านได้

๑๑๑ ส่วนตัวยอมรับและตระหนักถึงความจริงที่ว่า ความทุกข์ เป็นของคู่กันกับ ความสุข เพราะเป็นสองด้านของโลก มีสุขต้องมีทุกข์มาคอยเตือนไม่ให้หลงระเริงเกินเลยไปในสุขนั้น มีทุกข์มากมายก็ย่อมมีสุขตามมาสร้างสมดุลให้ชีวิตบ้าง เป็นธรรมดาผลัดเปลี่ยนเวียนไป

๑๑๑ แต่คนเราก็มักจะ รักสุขเกลียดทุกข์ เจอทุกข์แม้จะไม่ชอบแต่กลับหมกมุ่นกับทุกข์นั้น… วันนี้ได้รับเมลดี ๆ จากกัลยาณมิตรแต่เช้า ส่ง เคล็ดลับดับทุกข์ ที่ลัดสั้นที่สุด และสามารถปฏิบัติได้ในชีวิตประจำวัน ของท่านอาจารย์วศิน อินทสระ มาให้

เคล็ดลับการดับทุกข์ มีอยู่ 2 ปริยายคือ

1. คิดในทางยอมรับว่า ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นดับไป

- นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ
- ถึงเราไม่ดับ มันก็ดับไปเองเพราะมันไม่เที่ยง

2. คิดโดยโยนิโสมนสิการว่า ทุกข์นี้เกิดขึ้นเพราะเหตุไร แล้วไปดับที่เหตุ ความทุกข์ก็จะดับไป เหตุแห่งทุกข์มีมาก แต่กล่าวโดยสรุปคือ

- ความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า เป็นทุกข์โดยรวบยอด
- เพราะฉะนั้นพึงปฏิบัติเพื่อลดละความยึดมั่นถือมั่นในเบญจขันธ์เสีย ความทุกข์ก็จะดับไปทำยากแต่ก็ทำได้

๑๑๑

๑๑๑ กล่าวโดยสรุปถึง เคล็ดลับการดับทุกข์ของท่านอ.วศิน ก็คือ การยอมรับถึงลักษณะของทุกข์ว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเองในที่สุด จึงไม่ควรผูกใจไว้กับทุกข์อันไม่คงที่่ไม่มีตัวตนนั้น และให้ลดละการยึดมั่นถือมั่นในเบญจขันธ์อันเป็นสาเหตุหลักแห่งทุกข์ เมื่อเข้าใจทุกข์เช่นนี้แล้ว ก็จะดับทุกข์ได้โดยปริยาย

๑๑๑

๑๑๑๑

เราคงยังไม่พ้นทุกข์ไปได้ทั้งหมดหรอก

เอาเพียงว่าแค่ เข้าใจในทุกข์และอยู่กับทุกข์นั้นได้ ก็แล้วกัน

:-D


อิสระที่แท้

2 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 14 สิงหาคม 2010 เวลา 1:58 (เย็น) ในหมวดหมู่ การจัดการความรู้ #
อ่าน: 1973

@@@@

Surely, the freedom from the self,

and therefore the search of reality,

the discovery and the coming into being of reality,

is the true function of man

จากหนังสือ On the true function of man

Krisanamurti

@@@@

แน่ล่ะว่า…การเป็นอิสระจาก อัตตา เพื่อนำไปสู่การค้นหา ความจริง/สัจจะแห่งชีวิต เป็นบทบาทหน้าที่อันแท้จริงของมนุษย์

แต่เราอยู่ในโลก ซึ่งหลากหลายผู้คน ความคิด ความเห็น และเราก็มีบทบาทหน้าที่ที่ต้องสัมผัสสัมพันธ์กับผู้คนเหล่านั้น เราจะเลี่ยงได้หรือ ได้อย่างไร ด้วยวิธีใดที่จะไม่ทำร้ายความรู้สึกคนอื่นและไม่เบียดเบียนตัวเองจนรู้สึกอึดอัด

เราต้องทำอย่างไรจึงจะอยู่เหนือจากอิทธิพลครอบงำเพื่อเป็นอิสระและมุ่งตรงไปสู่บทบาทและหน้าที่ที่แท้จริงของมนุษย์

@@@@

ได้โจทย์ใหม่…ท้าทายอีกแล้ว

:-?


ถอยเพื่อถึง

5 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 12 สิงหาคม 2010 เวลา 5:16 (เย็น) ในหมวดหมู่ การจัดการความรู้ #
อ่าน: 2044

@@@@

@@@กำลังนั่งคร่ำเคร่งเอาเป็นเอาตาย รีบทำงานให้เสร็จตามที่ตั้งใจก่อนจะต้องเดินทางไปต่างจังหวัดกับครอบครัวในเย็นนี้ เจ้าสามใบเถาคนกลาง สาวเจ้าปัญหาประจำบ้านเดินมาเยี่ยม ๆ มอง ๆ หลายรอบ แต่คุณยายน้อยไม่สนใจ จนในที่สุดเธอก็นั่งแหมะเบียดที่เก้าอี้หน้าคอมพ์ … สร้างความรำคาญเล็ก ๆ ให้คุณยายน้อยผู้กำลังเร่งรีบอย่างยิ่ง… เลยถามว่ามานั่งเบียดทำไม กำลังรีบ พิมพ์ไม่ถนัด เธอถามว่าทำไมต้องรีบทำวันนี้ ก็รีบบอกว่าเพราะต้องทำงานให้เสร็จก่อนจะไปกับพวกหนูไงล่ะ ถอยไปหน่อยได้ไหมขอร้องล่ะ… เสียงถามต่อว่า ทำไมต้องทำให้เสร็จก่อนไป อ้าว…ก็ต้องส่งงานให้อาจารย์ดูวันจันทร์ ไม่ทำวันนี้แล้วจะทันได้ไง อาจารย์ยิ่งให้แก้เยอะแยะอยู่ด้วย เธอลุกขึ้น ถอนใจเสียดังเชียว บอกว่าหนูว่านะ… คนเราน่ะต้อง ถอยเพื่อถึง นะค้า…

คุณยายน้อยหูผึ่ง…อะไรนะ ถอยเพื่อถึง คืออะไร เธอเลยเล่าว่าวันนี้คุณพ่อพาไปเสถียรธรรมสถาน  คุณยาย (คุณแม่ชีศันสนีย์) ท่านเล่านิทานว่า มีคนขับรถเข้ามาในซอยแคบ ๆ สองคัน ไม่มีใครยอมถอย ลงมาทะเลาะกัน คุณแม่ชีบอกว่าเห็นไหมถ้ามีคนหนึ่งยอม ถอย ทั้งสองคนก็ได้ไปและถึงที่หมายปลายทางที่จะไปแล้วล่ะ มัวทะเลาะกันไม่ยอมถอยก็เลยติดแหง็กอยู่ตรงนั้นทั้งคู่เลย…

ฟังแล้ว ร้องอืม…น่าคิด ถามต่อว่าแล้วเกี่ยวอะไรกับเรื่องของคุณยายน้อยล่ะ เธอตอบเสียงดังฟังชัด หนูว่า…ต้องยอมถอยให้อาจารย์นะ ไม่งั้นงานไม่เสร็จหรอก… แสดงว่าหลานสาวตัวน้อยคนนี้แม้จะไม่ค่อยช่างพูด แต่สังเกตและคอยฟังตลอดว่าผู้ใหญ่พูดอะไร แถมเก็บข้อมูลอย่างดีเลยรู้ว่า คุณยายน้อยชอบถกเถียง ไม่เห็นด้วยกับอาจารย์เลยต้องแก้งานบ่อย ๆ

ในที่สุดก็ปิดไฟล์งาน…ทำงานไม่เสร็จตามที่ตั้งใจ แต่ยิ้มได้ เอ้า…ถอยหน่อยก็ได้ จะได้ถึง… เสียที

@@@@

ไปเที่ยวแล้วจะกลับมาตั้งหน้าตั้งตาทำงานใหม่แล้วกัน

มีความสุข ผ่อนคลายกับวันหยุดยาวนะคะ

;-) ว่าอะไร แถมเัด หนูว่า…ต้องยอมอาจารย์ารย์ยิ่งให้แก้เยอะ



Main: 0.10514998435974 sec
Sidebar: 0.039418935775757 sec