สองทาง-สมดุล

3 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 30 สิงหาคม 2010 เวลา 8:30 (เย็น) ในหมวดหมู่ การจัดการความรู้ #
อ่าน: 2584

:-|

ในโลกของความคิดที่แตกต่างหลากหลายของผู้คน บางครั้งบางคราทำให้อดที่จะรู้สึกราวกับจะ สำลัก ความคิดไม่ได้ และ ความคิด นี่ยังนำไปสู่ อารมณ์ต่าง ๆ ได้มากมาย

เข้าทำนอง ฟัง/อ่านแล้วเชื่อทุกอย่างเรียกว่า โง่ หากไม่เชื่อเลย เรียกว่า บ้า (ช่วงนี้ รู้สึกตัวเองทั้งโง่และบ้า…ไปพร้อม ๆ กันเลย ฮา ๆ)

อารมณ์นี้เองที่ก่อให้เกิดปัญหาในบางครั้ง จิตวิทยาสมัยใหม่มักจะเน้นให้เรารู้จักการ บริหารอารมณ์ แสดงถึงการให้เครติดกับ อารมณ์ว่ามีความสำคัญยิ่ง

บางครั้งบางสถานการณ์ แม้เรารู้อยู่แก่ใจว่า เหตุ เช่นนี้ จะนำมาซึ่ง ผลเช่นไร แต่เราก็มักจะจัดการกับอารมณ์ไม่ค่อยได้ เราปล่อยให้การตัดสินใจถูกชี้นำด้วยอารมณ์ จนเสียการเสียงานมานักต่อนักแล้ว

คิดมาก ๆ เข้าก็วุ่นวาย ยุงตีกันในหัว ก็นี่ล่ะที่ว่า เราติดอยู่ที่ ฐานคิด โดยไม่ค่อยได้ฝึก ฐานใจ และแทบไม่เหลียวแล ฐานกาย ดังที่ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญท่านกล่าวไว้จริง ๆ ด้วยสิ

คิดไปถึง สิ่งที่นักเขียนชาวอเมริกัน F.Scott Fitzgerald (1896-1940) กล่าวไว้ว่า

เครื่องหมายของจิตใจชั้นยอด คือ ความสามารถในการยึดแนวคิดสองทางที่ขัดแย้งกันไว้ได้ และยังสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ตามปกติ

@@@นั่นก็คือลักษณะของคนที่บริหารจัดการ อารมณ์ให้อยู่ใน สมดุลได้ดี และยังฝึกทั้งฐานคิด ฐานใจ และฐานกายอย่างดีแล้ว จึงจะมีจิตใจชั้นยอดขนาดนั้นได้

@@@

เอาล่ะ…อย่ามัวแต่คิด ๆ จนยุงมันตีกันในหัวอยู่เรื่อย ๆ

ไม่เคยฝึกปรือการจัดการกับฐานคิด ฐานใจ ฐานกายอย่างจริงจัง

พอเจอบทเรียนก็…เดี้ยง อย่างนี้แหละ

;-)


อ่านใจ

2 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 27 สิงหาคม 2010 เวลา 11:08 (เย็น) ในหมวดหมู่ ภาษา ร้อยกรอง ความคิด #
อ่าน: 2390

เมื่อเจอบทเรียนที่เจ็บปวด

ทิ้งความเจ็บปวดไป…

เก็บไว้แต่ บทเรียน…”

จากหนังสือ จิตจักรพรรดิตอนมาเฟียพลังจิต

ดังตฤณ

@@@

วันนี้เพิ่งมีโอกาสอ่านหนังสือ จิตจักรพรรดิ ตอนมาเฟียพลังจิต ของ ดังตฤณ อ่านรวดเดียวจบแบบไม่ทันตั้งตัว

เป็นหนังสือที่น่าอ่านและอ่านได้สนุกมาก ๆ อ่านจบไม่รู้ตัวเลย นอกจากได้ความเพลิดเพลินแล้วยังได้ข้อคิด ข้อธรรม มากมายตามสไตล์ของคุณดังตฤณ (หาซื้อได้ตามร้านหนังสือทั่วไปและBook Smile ในร้าน 7-11 ราคาเล่มละ 99 บาท)

เพิ่งได้รับเมลว่าสามารถโหลดฟรีมาอ่านได้ที่

http://dungtrin.com/EmporerMind/Vol1.pdf

ดีจัง อนุโมทนาบุญกับผู้เขียนและผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดด้วยค่ะ

ส่วนตัวชอบอ่านที่เป็น หนังสือ มากกว่าเพราะจะหยิบจับมาอ่านตอนไหนก็ได้ นั่งกินข้าว กินขนม นั่งรอเพื่อน รอรถเมล์ สามารถหยิบมาอ่านและเสพสุนทรียะของหนังสือได้ตลอดเวลา

ชอบใจข้อความหลายตอนในหนังสือเล่มนี้ พบว่าหนังสือดี ๆ นั้น อ่านทีไรก็คล้ายจะมี คำตอบ ให้กับสิ่งที่เรากำลังประสบหรือครุ่นคิดอยู่และแม้อ่านอีกกี่ครั้งกี่หนก็มักจะได้ประเด็น ข้อคิดใหม่ ๆ เสมอ

@@@

บอกตัวเองว่า…อ่านหนังสือแล้ว

อย่าลืมน้อมนำมา อ่านใจ ด้วยล่ะ

@@@

เล่ม 2
ตอนลายเซ็นจักรพรรดิ จะออกต้นเดือนกันยายน 2553


โง่เสียบ้าง

4 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 26 สิงหาคม 2010 เวลา 8:15 (เย็น) ในหมวดหมู่ การจัดการความรู้ #
อ่าน: 2441

+++

Stay Hungry, Stay Foolish.

(อย่าทิ้งความกระหาย อย่าคลายความเชื่อ)

Stewart Brand : the whole earth catalog (1968)

+++

+++เพื่อนโทรมาเล่าข่าวดีของเธอ เธอตัดสินใจและจัดการกับปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัวที่เรื้อรังมานานนับปีได้

รู้สึกยินดีไปกับเพื่อน แต่ก็อดที่จะถามไม่ได้ว่า … ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้ตัดสินใจเช่นนี้ อะไรทำให้เปลี่ยนใจ


+++ ธอตอบเสียงหัวเราะ ๆ ก็หนังสือของ Steve Jobs ไง เขาอ้างถึงข้อความที่เขาใช้เป็นคติประจำใจที่ว่า Stay Hungry, Stay Foolish.อ่านแล้วก็ยังไม่ได้คิดอะไร จนมาอ่านอีกรอบ เธอเลยคิดได้ว่าปัญหาจริง ๆ ของเธอเกิดจาก “เธอโง่ไม่เป็นและไม่เคยเชื่อใจในสิ่งใดหรือคนรอบกายเลย” พอคิดออก…ก็โล่งเลย หลุดจากปัญหาที่กัดกินใจในวินาทีนั้นเอง…


+++ ยิ้มอย่างมีความสุขไปกับเพื่อนด้วย บางปัญหาก็เหมือนผงในตา จัดการเองไม่ได้ ต้องหาคนช่วยเขี่ยออก บางปัญหาคล้ายผงที่คนช่วยเขี่ยให้ก็ยังไม่ยอมออก แต่ต้องรอให้น้ำตาชำระล้างออกมาตามกลไกธรรมชาติเอง…


+++ ปัญหาเป็นสิ่งคู่กับมนุษย์ และหากพิจารณาลงไปแล้วก็จะเห็นว่าปัญหาในโลกนี้มีอยู่สองประเภทดังที่ “หนุ่มเมืองจันท์” กล่าวไว้ คือ หนึ่ง คือ “ปัญหาที่แก้ได้” และ สองคือ “ปัญหาที่แก้ไม่ได้” เมื่อเจอปัญหาที่แก้ไม่ได้ ก็ไม่ต้องพยายามไปแก้ (ก็มันแก้ไม่ได้นี่) เลิกสนใจใส่ใจทุกข์ใจกับมัน แต่ทำใจยอมรับเข้าใจและอยู่กับมันให้ได้ แล้วก็เอาเรี่ยวแรง พลังกายพลังใจมาจัดการกับปัญหาที่แก้ได้อย่างตั้งอกตั้งใจ ไม่หมดความหวังไม่ขาดความเชื่อ (ในสิ่งดี ๆ ที่จะเกิดขึ้น) บางทีไม่ต้องฉลาดปราดเปรื่อง รู้ทุกเรื่องเข้าใจทุกปัญหาบ้างก็ได้…

+++

ยิ้มละมุนละไม…
หากเรายอมโง่และหิวกระหายความคิดใหม่ ๆ ของคนอื่น
ที่ต่างจากความคิด ความเชื่อเดิม ๆ ของเราเสียบ้าง
ชีวิตก็คงง่ายและมีความสุขขึ้นเยอะเลย…

:-D


กระทบธรรม

2 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 25 สิงหาคม 2010 เวลา 12:08 (เย็น) ในหมวดหมู่ ปรัชญา แนวคิด ชีวิต #
อ่าน: 2154

:-|

เมื่อทุกข์ (มา) กระทบ

ก็ขอให้ ธรรม กระเทือน

แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต

+++หากเรายอมรับเสียว่า มนุษย์ย่อมถูกกระทบกระแทกด้วย โลกธรรมอยู่ตลอดเวลา มากบ้างน้อยบ้างตามสภาวธรรมที่เกิด ๆ ดับ ๆ

บางที คำ ๆ เดียวได้ยินได้ฟังได้อ่าน ก็ตื้นตัน น้ำตาคลอ

บางครั้ง คำ ๆ เดียว ก็ให้เบิกบาน มีกำลังใจ พร้อมจะตะลุยงานต่ออย่างไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อย

บางครา แค่แวบที่เหลือบไปเห็น ก็ให้หดหู่ใจ หม่นหมอง ทุกข์ไปนานสองนาน (ซะได้)

หลายหน แค่แวบที่เห็น เสี้ยวเสียงที่เราได้ยิน ก็สร้างความเบิกบานผ่องใสไปทั้งวันที่เหลือนั้น

+++เมื่อรู้เมื่อเห็นเช่นนี้เราจะยอมรับและเข้าใจว่า…ห้ามสุข-ทุกข์อันเกิดจากโลกธรรมได้เสียที่ไหนกันเล่า…

+++ อย่ากระนั้นเลย ต้องอย่าขาดทุนชีวิตให้มากนัก เมื่อใด ทุกข์ มากระทบ ต้องตระหนักและไตร่ตรองให้ได้ถึง ธรรม ด้วย

คิดถึงคำสอนสั่งของครูบาอาจารย์ที่ว่า… เห็นทุกข์จึงถึงธรรม

เอาล่ะ…คราวนี้นะ ใครที่มีทุกข์มากระทบบ่อย ๆ ก็โชคดีน่ะสิ

เพราะได้เข้าถึง ธรรม บ่อย ๆ ไงล่ะ

:-D


เวลา-ความคิด

7 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 24 สิงหาคม 2010 เวลา 7:21 (เย็น) ในหมวดหมู่ ปรัชญา แนวคิด ชีวิต #
อ่าน: 2266

!!!!

คนที่มีความสุข ไม่ใช่คนที่ทำสิ่งที่ตัวเองรัก

แต่…เขารักสิ่งที่ตัวเองทำ

!!!!

วันนี้คิดไปถึง ประเด็นที่เคยพูดคุยกับเพื่อนสนิท ซึ่งเจอหน้ากันต้องหาประเด็นมานั่งถกเถียงกันเพื่อหาข้อสรุปทางความคิด (งานอดิเรกสำหรับคนว่างงาน) เป็นประเด็นที่คุยกันไปพร้อมกินขนมแกล้มกาแฟ จึงเป็นการคุยที่ออกรสออกชาติและโปรดปรานของเราทั้งสองอย่างยิ่ง

!!! เพื่อนตั้งประเด็นว่า คนที่มีความสุข ไม่ใช่คนที่ทำสิ่งที่ตัวเองรัก แต่…เขารักสิ่งที่ตัวเองทำ

!!!! ไม่เห็นด้วยอย่างแรง (ในตอนนั้น) ส่วนตัวเชื่อว่า คนจะมีความสุขเมื่อได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก เพราะถ้าเรารักสิ่งที่ทำอย่างสุดจิตสุดใจล่ะก็ อุปสรรคเหนื่อยหนักแค่ไหน เราก็ยินดีและมีแรงผลักดันที่จะทำให้ดีที่สุด แม้จะไม่สำเร็จแต่ก็ได้มีความสุขกับกระบวนการที่ทำสิ่งที่เรารักนั้น

!!!! แต่เพื่อนบอกว่าแล้วในชีวิตจริงน่ะ เราเลือกได้หรือ เลือกแต่สิ่งที่รักที่ชอบได้เท่านั้นหรือ ในโลกของความจริงในชีวิต เราได้ทำสิ่งที่เรารักเพียงไม่กี่อย่างหรอก และบางคนก็อาจไม่โชคดีมากพอที่จะเลือกทำเฉพาะสิ่งที่ตัวเองชอบได้ด้วย ดังนั้นเราควรที่จะต้องเลือกรัก-ชอบในสิ่งที่เป็นหน้าที่ของเรา นั่นคือสิ่งที่เราทำต่างหาก

จำได้ว่าประเด็นนี้ไม่ได้ข้อสรุป เพราะเวลาหมดเสียก่อนและไม่มีโอกาสได้คุยกันอีกเลย…

จนมาเมื่อหลายวันที่ผ่านมา กลับมาคิดถึงประเด็นนี้ ทำให้เกิดความคิดขึ้นมาบางอย่าง ชักจะเห็นด้วยกับความคิดของเพื่อน เพราะมาพิจารณาถึงงานที่ทำ บางงานไม่ได้รักชอบชื่นชมอะไรมาก่อนเลย แต่มีเหตุให้ต้องเข้าไปทำงานนั้น ต่อมากลับพบบางสิ่งบางอย่างที่ถูกกับอุปนิสัยและมีข้อดีบางอย่างที่เรารู้สึกชื่นชมอย่างหมดใจได้เหมือนกัน

เวลาที่เปลี่ยนผ่านทำให้เราได้พบเห็น ประสบกับบางสถานการณ์ บางสิ่งบางเรื่อง ความคิดจึงเปลี่ยนไป

…เวลาเปลี่ยนความคิดเปลี่ยน มันเป็นเช่นนี้เอง

!!!!

เอ๊ะ…แล้วมีไหมนะที่เวลาเปลี่ยน แต่ความคิดไม่เคยเปลี่ยนเลย

คงน่าจะมีบ้างล่ะน่า…

;-)


คลี่-คลาย

ไม่มีความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 20 สิงหาคม 2010 เวลา 10:10 (เช้า) ในหมวดหมู่ เรื่องเรื่อยเปี่อยตามอารมณ์ #
อ่าน: 2219

8-O

คิดอย่างเด็ก ทำอย่างผู้ใหญ่

โชค บุลกุล

@@@@

เรื่องราวที่พบเจอในระยะนี้ ทำให้คิดถึงประสบการณ์บางอย่างในวัยเด็ก ด้วยว่าเป็นลูกที่ไม่เคยถูกพ่อแม่ตี มากที่สุดคือการคาดโทษ พี่ ๆ ชอบล้อว่าก็เป็น ลูกหลง มาในขณะที่พี่ ๆ โตกันหมดแล้ว พ่อแม่เลยรักมากเป็นพิเศษ เป็นเด็กเส้นของพ่อแม่มาตั้งแต่เกิด(จนแก่ป่านนี้) ว่างั้นเถอะ

@@@การเป็นลูกคนเล็กที่หลงมาของครอบครัวนั้น ส่งผลให้นอกจากเป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเองต้องคอยดูว่าพี่ ๆ เขาทำอย่างไร พูดอย่างไร และต้องทำอย่างไรจึงจะทำให้อยู่ได้ในกลุ่มพี่ ๆ ที่โตกว่าและมีความสนใจต่างจากเรา บางทีโลกของ ลูกหลง ก็ว้าเหว่เหมือนกัน เกิดความไม่มั่นใจและต้องการสร้างโลกส่วนตัว จึงกลายไปเป็นหัวหน้าแก็งค์ในเด็กรุ่นเดียวกันในครอบครัว (หลาน ๆ ซึ่งเป็นลูกของพี่คนโต ๆ ที่แต่งงานแล้ว) บทบาทหัวหน้าแก็งค์ต้องเป็นผู้ที่เข้มแข็งและสามารถปกป้อง สรุปรวมเลยทำให้เกิดความรู้สึกแปลกแยกปนสับสน บางทีก็ไม่มั่นใจไปเสียทุกอย่าง แต่บางครั้งก็ห้าวหาญเด็ดขาดอย่างไม่ค่อยมีเหตุมีผล (เลยชอบทะเลาะกับตัวเองเป็นประจำ)

@@@ที่เล่าเช่นนี้เพราะคิด/รู้สึกเองว่าหากเรา ยอมรับตัวเอง (อาจไม่ถูกต้องเพราะเป็นความคิด-ความรู้สึกส่วนตัว) เราจะพัฒนาต่อไปยังเส้นทางที่ควรเป็นได้ ไม่ติดแหง็กอยู่กับ ปมในชีวิต การคลายปมในชีวิตสำคัญมาก และจะว่าไปแล้วก็ไม่ยากจนเกินกำลัง แต่ก็ไม่ง่ายนัก…

@@@เรื่องที่ว่าไม่ยากเพราะ มนุษย์เป็นสัตว์โลกที่มีศักยภาพอันมหัศจรรย์ รู้คิด รู้แก้ รู้กัน ไตร่ตรองใคร่ครวญเป็น หาเหตุผลได้ มีอัตภาพที่เหมาะกับการเรียนรู้และพัฒนาได้ (ต่างจากสัตว์โลกบางชนิดที่ไม่มีอัตภาพในส่วนนี้) นั่นก็คือหากมุ่งมั่นตั้งใจอยากเปลี่ยน อยากพัฒนาก็จะทำได้

@@@ส่วนที่ว่าไม่ง่ายนักเพราะขึ้นชื่อว่ามนุษย์ล้วนวนเวียนอยู่ในโลกธรรม กิเลส ตัณหา อุปทาน อวิชชาที่ครอบคลุมจิตอยู่ ทำให้แม้รู้ แม้เห็น แต่ก็ยังยากที่ ตระหนัก ได้ว่าควรจัดการอย่างไรกับชีวิต

@@@ส่วนตัวเรียนรู้การแก้ ปมชีวิตเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น เพราะมีเพื่อนบอกว่าเป็น คนแปลก เดาใจยาก เข้าถึงยาก ดูเหมือนเข้ากับเพื่อน ๆ ได้ง่าย แต่หลายครั้งก็ปิดตัวเองจนเข้าไม่ถึง การถูกประเมินจากเพื่อน ๆ ทำให้เกิด คำถามกับตัวเอง หากเลือกตอบง่าย ๆ แค่ว่า ก็เราเป็นแบบนี้ชีวิตก็คงเป็นรูปแบบหนึ่ง หากถามต่อว่า ที่เพื่อนพูดนั้นจริงหรือ เพราะอะไร ชีวิตก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่ง

…การตั้งคำถามกับตัวอย่างอย่างมีคุณภาพจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งกับการเป็นไปของชีวิต…

@@@ เคยรังเกียจและไม่ชอบใจกับการเป็น ลูกหลง/ลูกคนเล็ก แต่ความจริงเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว กลับได้เห็นข้อดีอีกมากมาย … อย่างน้อยเราก็ยังคงความเป็นเด็กอยู่ได้แม้ในวัยที่คนอื่นเป็นน้า เป็นป้า เป็นคุณยายคุณย่า (ฮา) และที่ไม่เคยถูกทำโทษใด ๆ จากพ่อแม่เลย ก็ด้วยการเรียนรู้ที่จะ เฉย นิ่ง เงียบ พี่ชายให้นิยามว่าเป็นพวก น้ำเซาะหิน นั่นคือ ไม่เถียงเสียงดัง ไม่เอาชนะคะคานกับใคร แต่ไม่เคยลดละในสิ่งที่ตัวเองคิดและเชื่อ แล้วที่ตลก ๆ ก็คือ ก็มักจะได้ตามที่คิดที่เชื่อนั้นเสียด้วย (พ่อแม่และพี่ ๆ คงเอือมเลยปล่อยมันไป…)

บางทีนะ บางที…หากเราต้องการชนะหรือได้ในสิ่งที่ต้องการ อาจไม่ต้องใช้กำลังใด ๆ มากไปกว่าความมุ่งมั่น (ในสิ่งที่คิดแล้วว่าใช่ว่าถูก) อย่างอ่อนน้อมถ่อมตนให้มากพอ…ก็ได้

๑๑๑

๑๑๑๑การคลี่/การคลายปมในชีวิต เป็นกระบวนการที่ส่วนตัวใช้เป็นประจำเมื่อมีสิ่งที่รู้สึกไม่สบายใจ ไม่พึงพอใจ หรือมีปัญหา และพบว่าเป็นวิธีการที่ใช้ได้ดีสำหรับตัวเอง เราทุกคนจึงน่าจะมี วิธีการส่วนตัวในการจัดการกับ ปมชีวิต ของตัวเอง (แม้ปัญหาเหมือนกัน แต่วิธีการแก้ปัญหาของคนหนึ่งอาจใช้ไม่ได้กับอีกคนหนึ่ง-ไม่มีคำตอบสำเร็จรูปสำหรับใคร ต้องค้นหาที่เหมาะกับเราเอง) การตระหนักเพื่อคลี่และคลายปมชีวิตของตัวเองนี้ ยังส่งผลให้เราได้เข้าใจด้วยว่า คนอื่น ๆ รายรอบตัวเรา ที่บางครั้งเราไม่เข้าใจในความคิด คำพูด และการกระทำของเขาเลยนี่… เขาก็มีปมชีวิตเช่นเดียวกันกับเรา และอาจจะกำลังทำการคลี่และคลายปมชีวิตอยู่เหมือนกัน…ก็เป็นได้

๑๑๑ งั้น…เรามาคิดแบบเด็ก สนุก ๆ ไม่ยากไม่เครียด สร้างสรรค์แบบไม่ติดกรอบ แต่ทำงานและใช้ชีวิตแบบผู้ใหญ่ ที่รู้เหตุ เข้าใจผล รับผิดชอบต่อตัวเองและสังคมคนรอบข้างกันดังที่ คุณโชค บุลกุล กล่าวไว้กันดีกว่านะคะ

๑๑๑

อืม…พอคลี่และคลายปมออกบ้างแล้ว (แม้ยังเหลืออยู่บ้าง)

ชีวิตก็มีความสงบสุข ผ่อนคลายมากขึ้นจริง ๆ

;-)


ว่าด้วย…นิทาน

5 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 18 สิงหาคม 2010 เวลา 7:40 (เย็น) ในหมวดหมู่ ภาษา ร้อยกรอง ความคิด #
อ่าน: 2491

:-D

คำชี้แจง : บันทึกนี้เหมาะสำหรับเด็กและ/หรือผู้ที่มีหัวใจอันอ่อนเยาว์ของเด็กน้อยเท่านั้น

@@@

เอ้า…ล้อมวงเข้ามามีนิทานจะเล่าให้ฟัง…

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว…ณ ดินแดนอันไกลโพ้น (ไม่ทราบอยู่ตรงไหน) มีสาวงามผู้เปี่ยมด้วยความงาม เธอสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์สีสันสดใสสวยงาม ไม่ว่าเธอจะย่างกรายไปที่ใด เธอจะเป็นที่สังเกตเห็นและได้รับความชื่นชอบ ทุกคนมีความสุข สนุกสนาน ล้วนแต่ชื่นชมยินดีในการปรากฏตัวของเธอ

มีหญิงงามอีกคนหนึ่งผู้มีความงามไม่น้อยกว่ากัน แต่เธอยากจนและมีแต่เสื้อผ้าอาภรณ์ที่ทึมทึบไม่สดใส ไม่เคยมีใครใส่ใจต่อเธอเลย

เธอจึงเข้าไปหาหญิงงามผู้เป็นที่รักและชื่นชอบนั้น เธอขอสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์อันงดงามและขอติดตามหญิงงามผู้นั้นไปทุกที่ เธออธิบายว่าแม้ว่าเธอจะไม่มีเสื้อผ้าอาภรณ์อันสดใสสวยงาม แต่เธอก็มีเรื่องราวสำคัญที่อยากบอกเล่าให้กับผู้คนมากมาย  ส่วนหญิงงามผู้มีอาภรณ์งดงามนั้นนอกจากเป็นผู้มีจิตใจอันงดงามแล้วยังมีสติปัญญาด้วย เธอพิจารณาเห็นว่าแม้อีกฝ่ายจะไม่มีเสื้อผ้าสวยงามสวมใส่ แต่เธอผู้นั้นเป็นผู้มีสติปัญญาอันชาญฉลาด เธอจึงตกลงมอบเสื้อผ้าอันงดงามที่เธอมีอยู่มากมายนั้นกับเพื่อนผู้นี้

หญิงงามทั้งสองเดินทางไปด้วยกันในทุกที่ ทุกหนทุกแห่ง เมื่อเธอทั้งสองปรากฏกายก็จะได้รับความใส่ใจ ชื่นชม และห้อมล้อมด้วยความสุขเสมอ ๆ

จากนั้นเป็นต้นมาทั้งสองไม่เคยพรากจากกันอีกเลย เธอทั้งสองจะปรากฏกายพร้อมกันอย่างมีชีวิตชีวาตลอดมา แม้ในปัจจุบันนี้…

หญิงงามผู้ยากจนแต่เปี่ยมสติปัญญา แท้จริงแล้วเธอคือ Truth (สัจธรรม/ความจริงแท้) ส่วนหญิงงามผู้มีอาภรณ์สวยงามคือ Story (เรื่องเล่า/นิทาน)

นิทาน เป็นเรื่องราวที่บรรจุไว้ซึ่ง สัจธรรม/ความจริงของชีวิต ที่บูรณาการไว้ด้วยกันอย่างแยบคาย หากนิทานหรือเรื่องเล่าใดไร้ซึ่งสาระข้อคิดสะกิดใจแล้ว ก็คงไม่สามารถที่จะทรงคุณค่าอย่างมีเสน่ห์และอยู่ยั่งยืนมาได้จนปัจจุบันเป็นแน่แท้

คิดเล่น ๆ ต่อจากนิทานว่า…งั้น ตอนที่เราจะสอนหนังสือ เราต้องตระหนักไว้ว่า สาระเนื้อหาวิชาการที่จะดึงดูดและให้ข้อคิดและเป็นประโยชน์ได้เต็มที่ น่าจะอยู่ในรูปแบบที่ผ่อนคลาย ไม่ยาก ไม่เครียด และสนุกสนาน เฉกเช่นเดียวกันกับการปรากฏกายของหญิงงามทั้งสองที่มีทั้งความสวยงามของเสื้อผ้าอาภรณ์ (รูปล้ักษณ์ภายนอกที่ดึงดูดความสนใจ) และมีเนื้อหาสาระอันเป็นสัจธรรม (เนื้อแท้ภายใน) ที่บูรณาการเป็นองค์รวมไว้อย่างพอดีพองาม

@@@

นี่คือคำตอบที่ว่าทำไมเราจึงชอบ นิทานกันทั้งเด็ก

และผู้ใหญ่ที่มีหัวใจเด็ก

;-)

คำชี้แจงท้ายบันทึก : หากท่านอ่านแล้วยิ้มอย่างมีความสุข นั่นหมายถึงท่านมีอายุไม่เกิน 12 ปี หรือ…เป็นผู้ที่มีความอ่อนเยาว์บรรจุอยู่ในหัวใจ


อยากทำ…ก็ทำเลย

2 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 18 สิงหาคม 2010 เวลา 9:25 (เช้า) ในหมวดหมู่ สังคม ความคิด #
อ่าน: 2400

ขอบคุณภาพประกอบบันทึกจากวิกิพีเดีย

จงทำในสิ่งที่ถูกต้องด้วยหัวใจที่เปี่ยมเต็มด้วยรอยยิ้ม

เพราะถึงอย่างไรไม่ว่าคุณจะทำหรือไม่ทำอะไรก็ตาม

ก็จะมีคนวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของคุณอยู่ดี

++++

Eleanor Roosevelt (1884–1962)

ภริยา Franklin D. Roosevelt

ประธานาธิบดีคนที่ 32 ของสหรัฐอเมริกา


++++

++++อ่านข้อความนี้แล้วชอบเพราะใกล้เคียงกับประสบการณ์ตรงที่ประสบอยู่ การใช้ชีวิตอยู่ในสังคม โดยเฉพาะสังคมของคนทำงาน ซึ่งต้องพบปะกับแรงปะทะอยู่เป็นประจำนี้ ต้องอาศัย ความเชื่อมั่นในตัวเอง(ในทางที่ถูกที่ควรแก่เหตุ) เป็นตัวกำลังในการขับเคลื่อนนาวาชีวิต ชาวพุทธจะคิดถึงคำว่า สติ ซึ่งเป็นหางเสือนำพานาวาชีวิตไม่ให้หลงทิศหลงทางไปตามกระแสแห่งโลกธรรมอันเชี่ยวกรากนั้น

++++ดังนั้นเราควรหมั่นตรวจสอบ ความเชื่อมั่นในตัวเอง และ สติ รวมทั้งคอยพิจารณาให้รู้เท่าทัน กระแสแห่งโลกธรรม อยู่เสมอ ๆ

++++

อยากทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องรอ ไม่ต้องให้ใครมากำหนดให้เรา

ต้องทำนี่ทำนั่นหรอก…

มันเป็นเรื่องที่เราต้องรับผิดชอบเอง

++++

;)

ปล. พิมพ์แล้วก็ยังขำ ๆ ทำไมต้องบอกว่าเป็นคำพูดของ Eleanor Roosevelt ซึ่งเป็นภริยา Franklin D. Roosevelt ด้วยก็ไม่ทราบ หากเธอไม่ได้เป็นภริยาของคนดังระดับประธานาธิบดีคนที่ 32 ของสหรัฐอเมริกาแล้ว เราจะไม่สนใจข้อคิดของเธอหรืออย่างไรกัน (พอดีกว่า…หยุดนิสัยชอบทะเลาะกับตัวเองได้แล้ว…ไม่ดี ๆ)


คิดไปได้…

3 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 17 สิงหาคม 2010 เวลา 9:31 (เย็น) ในหมวดหมู่ สังคม ความคิด #
อ่าน: 2129

:oops:

@@@นั่งรอเพื่อนอยู่ที่โรงอาหารยามบ่าย ๆ กำลังเริ่มเบื่อที่ต้องรอนาน (อยากมาเร็วเองนี่นา) สักพักได้ยินเสียงคุยกระหนุงกระหนิงจากโต๊ะด้านหลัง จับความได้ว่าเป็นนิสิตหนุ่มนิเทศศาสตร์กับสาวครุศาสตร์คุยกัน

หนุ่ม : เราว่านะเลือกแฟนน่ะก็เหมือนเลือกมือถืออ่ะ

สาว : เหรอ เลือกไงเหรอ มีฟังก์ชั่นเยอะ ๆ เดิ้น ๆ เหรอ เสียงหวานเชียวแฮะ

หนุ่ม : ไม่หรอก ก็ทำนองเราต้องเลือกเองน่ะ พ่อแม่เลือกให้เราก็ไม่เอา ต้องดูเอง เลือกเอง คือมันต้องcustomizedเราด้วย จะมือถือจะแฟนก้อ … จริงไหมอ่ะ แอบฟังแล้วคิดตาม เออนะหนุ่มน้อยนี่ฉลาด เข้าใจคิดดี ใช้ได้ ๆ

สาว : เหรอ เออขำ ๆ ดี … เสียงหัวเราะ สงสัยสาวน้อยนี้จะพูด เหรอ เป็นอยู่คำเดียวนี่ล่ะ

หนุ่ม : พอได้มือถือมาใหม่นะ เราก็จะลองเล่นทีละฟังก์ชั่น ไม่เล่นวันเดียวทั้งหมดหรอก ค่อย ๆ ลองไปทีละฟังก์ชั่นทีละวัน เสียงบอกมั่นใจ

สาว : เหอะ ๆ เหมือนเรียนรู้คนเป็นแฟนเหรอ… เสียงหัวเราะต่อ คงไม่รู้จะถามอะไร

หนุ่ม : ใช่สิ เราต้องเลือก ต้องเรียนรู้ รีบไม่ได้หรอกไม่ว่ามือถือหรือว่าแฟน ซื้อแล้วได้มาเป็นแฟนแล้วต้องอยู่กันนาน…ช่างคิดรอบคอบจัง คิดได้ไงกัน พ่อแม่น่าจะภูมิใจไม่ต้องห่วงลูกชายนะนี่

สาว : เหรอ…ว่าแต่ซื้อมือถือใหม่ยัง แล้วแฟนล่ะมีหรือยัง… ฮั่นแน่ คำถามแบบนี้สาว ๆ เขาไม่ถามกันมั้ง ฟังไปอมยิ้มไป

หนุ่ม : ก็ดู ๆ อยู่…เสียงเบาลงไป สงสัยจะบอกรัก ขอเป็นแฟนกันเสียละมั้ง

สาว : เหรอ(อีกแล้ว) แหมใครได้เป็นแฟนเธอนี่โชคดีเนอะ คนแอบฟังอมยิ้มอีก ดี ๆ เปิดเผยดี

หนุ่ม : คนโชคดีน่ะ ไม่รู้จะรู้ตัวมั๊ย… เสียงตอบกลับเบาลงไปหน่อยหนึ่ง เริ่มเข้าสู่โหมดนิยายรักหวานแหววแล้ว

สาว : คงไม่รู้ตัวมั้ง… เสียงยังหัวเราะ ๆ ต่อ

หนุ่ม : โธ่เอ้ย…ก็บอกอยู่นี่ ยังไม่รู้ตัว…ก็เธอไง โอ๊ะโอ๋ บอกตรง ๆ เลย เป็นไงเป็นกัน

สาว : ฉันเหรอ… แหงะ ๆ ไม่เอาหรอก… (อ้าว…)

หนุ่ม : ทำไมอ่ะ ไหนว่าเป็นแฟนเราโชคดีไง

สาว : ฉันไม่อยากเป็นมือถืออ่ะ… คนแอบฟังยิ้มจนปวดแก้มแล้ว แอบชมในใจว่าสาว เหรอ นี่ ฉลาดไม่เบาไม่เสียชื่อสาวครุศาสตร์แฮะ

@@@

@@@ฟังแล้วขำ ๆ อารมณ์ดีไปด้วย เลยนำมาเล่าต่อให้ฟังเป็นข้อคิดเล็ก ๆ แล้วยังอาจได้ผ่อนคลายกับความคิดใส ๆ ของเด็ก ๆ โลกหมุนไปตลอดเวลา ความคิดมุมมองของเด็กรุ่นใหม่ก็เปลี่ยนไปตามบริบท หากผู้ใหญ่ตามไม่ทันความคิดของเขา ก็จะกลายเป็น ช่องว่าง สร้างปัญหาขึ้นมาได้เหมือนกัน…จริงไหมคะ?

;)


กะลาครอบฟ้า

5 ความคิดเห็น โดย freemind เมื่อ 16 สิงหาคม 2010 เวลา 10:26 (เช้า) ในหมวดหมู่ การจัดการความรู้ #
อ่าน: 2816

๑๑๑๑

“In the beginner’s mind,

there are many possibilites,

but in the expert’s mind

there are …few”

Shunryu Suzuki

!!!!

๑๑๑๑ อ่านแล้วคิดต่อไปถึง กบในกะลาครอบ ความหมายของ อาจารย์เซน ท่าน Shunryu Suzuki คงคล้าย ๆ กับความหมายในโคลงสุภาษิตที่เคยผ่านตา…

กะลาครอบคิดฟ้า…กว้างไกล

เหมือนดั่งคนมั่นใจ…เก่งกล้า

คุยโอ่อวดเกินไป…เขาเบื่อ หน่ายนอ

เพียงหนึ่งจากมือคว้า…เท่านี้ กลับหลง

++++

คนที่รู้มาก มักจะคิดอยู่เสมอว่าตัวเองยังรู้ไม่มากพอ ในขณะที่คนรู้น้อย มักหลงว่าตัวเองรู้มากมายเสียจริง ๆ…

++++

!!!!!!!นี่อาจเป็นข้อพิสูจน์ได้อย่างหนึ่งว่า ภูมิปัญญา นี้ เป็นของสากลคู่โลก ไม่ว่าชาติใดภาษาใด ต่างก็มีจุดร่วมของความคิด สติปัญญา และภูมิรู้ที่คล้าย ๆ กัน

!!!!!!!

ว่าแล้วก็อดจะเงยหน้าขึ้นไปมองฟ้าไม่ได้…

วันนี้…ชักเบื่อกะลาครอบฟ้านี่แล้ว..

อ๊บ ๆ ๆ

;)



Main: 0.15245294570923 sec
Sidebar: 0.037110090255737 sec