ตะลุยซิ่งบางกอก
อ่าน: 1753มาบางกอกคราวนี้ เห็นวิกฤติเรื่องจราจรสาหัสสากรรจ์เข้าทุกที ถึงจะนั่งแทกซี่ไปไหนมาไหนซึ่งคล่องกว่าเอารถส่วนตัวไปอยู่แล้ว ก็ยังตุ๊บๆต้อมๆอยู่ดี จึงมองหาทางเลือกทางรอด นั่นคือต้องเผ่นมากอดเอวมอเตอร์ไซด้รับจ้าง ไม่งั้นไม่มีทางไปถึงที่ประชุมได้ทัน ทั้งๆที่กะเวลาเผื่อไว้แล้ว หัวอกของพวกบ้าประชุมก็เป็นอย่างนี้แหละ ผมไปถึงกระทรวงศึกษาธิการทันเวลา กวาดตามองในห้องประชุม พบว่าผู้เข้าร่วมประชุมหรอมแหรม แม้แต่รัฐมนตรีก็ยังมาไม่ถึง สุดท้ายก็ทราบว่ามาไม่ได้ แสดงว่าเจอปัญหา
บางมุมถนน ตำรวจจะคอยโบกมือไล่..
“อย่าเข้ามา”
มีม๊อบพันธมิตรปักหลักอยู่มุมสี่แยกของกระทรวงศึกษาธิการ มาก่อหวอดอยู่ตั้งแต่ครั้งที่มาประชุมคราวก่อนโน่น นึกว่าจะเลิกราไปแล้ว..ยึดถนนสายหนึ่งไปเรียบร้อย ทำตัวไม่น่ารักเลย..บนเวทีมีพวกผีเจาะปากขึ้นไปพ่นอะไรก็ไม่รู้ ข้างล่างมีคนฟังแบบซังกะตายสัก 50 คนได้ เห็นแล้วสงสารประเทศไทยเป็นบ้า นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ ..ทั้งๆที่เหม็นเบื่อตัวเองเต็มทน การมาอยู่กินนอนบนถนนนั้นมันไม่สนุกตรงไหนหรอก ไม่เข้าใจว่าวิธีนี้จะมีประโยชน์หรือกดดันอะไรได้ คนกรุงหรือคนไหนๆเบื่อเต็มทีแล้วกับการแสดงประชาธิปไตยแบบห่วยแตก เอะก็ม๊อบ! อะก็ม๊อบ! ลูกอีช่างม๊อบ แบบนี้น่าจะจับมาเรียน “วิชาพอหอมปากหอมคอ” แทน “วิชาดื้อตาไสหัวใจกระด้าง”
แน่จริงก็อย่าเลิกร้างไปละ
แกร่วอยู่ทุเรศทุรังกวนประสาทคนบางกอกไปเรื่อยๆ
ถ้าคิดได้แค่นี้..จะมาชี้นำอะไรให้แก่สังคมไทย!
อิโธ่อิถังกะละมังแลกหมา..
รายจ่ายขาไปประชุม ค่าแท๊กซี่บวกค่าทางด่วน 120 บาท ต่อรถมอเตอร์ไซด์อีก 80 บาท ขากลับใช้บริการมอเตอร์ไซด์หลังกระทรวงฯ ก๊อกแรก 100 บาท ให้ไปส่งลงพ้นที่รถติด เรียกแท๊กซี่นั่งต่อ นั่งๆๆๆๆติดๆๆๆอีก จอดๆๆๆจ่ายไป 100 บาท เรียกมอเตอร์ไซด์ให้ไปส่งโรงแรม จ่ายอีก 140 บาท รวมค่ายานพาหนะไปประชุม 540 บาท เขียนเบิกค่าแทกซี่400บาท ขาดทุนเพื่อชาติไป 140 บาท ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีรถประจำตำแหน่งหรือท่านที่มีคนขับรถให้ ค่าใช้จ่ายคงไม่เท่าไหร่ แต่เวลาในการเดินทางนี่สิครับ ต้องเผชิญภัยบนถนนด้วยกันทั้งนั้น
ถนนสร้างได้น้อยและล่าช้ายากลำบาก
แต่คนซื้อรถใหม่เพิ่มขึ้นทุกวัน
ถึงไม่มีม๊อบก็เหมือนมีม๊อบในตัวมันเองอยู่แล้ว
เมืองกรุงจึงเป็นเหมือนเมืองบาป..
สะสมปัญหาจราจร จราจล ทนอยู่อย่างซังกะตายไปอย่างนั้นเอง
ปล่อยให้ไฟเขียว ไฟแดงจับแช่เสียให้เข็ด!
ทุกปัญหาก็ลงอีหรอบเดียวกัน เรื่องการศึกษาก็หมกเม็ดกันไว้จนอีรุงตุงนังกันไปหมด วันนี้หัวข้อประชุมว่าด้วยเรื่อง:(ร่าง)ยุทธศาสตร์การมีส่วนร่วมของเอกชนในการจัดการศึกษา (พ.ศ.2554-2561) คณะอนุกรรมการที่ศึกษาเรื่องนี้ยกตัวอย่างประเทศต่างๆที่เจริญแล้ว ในรอบ100ปี เขาเปลี่ยนผ่านจากการศึกษาโดยรัฐมาเป็นของเอกชนกันหมดแล้ว ยกตัวอย่างประเทศเนเธอแลนด์ บัดเดี๋ยวนี้มีโรงเรียนของรัฐเหลือเพียง20% นอกนั้นจัดการโดยโรงเรียนเอกชนทั้งสิ้น ผลการเรียนก็ดีมาก
ตรงกันข้ามกับของบ้านเรา รัฐฯหวงก้างไว้ทำเอง ก่อปัญหามากมาย ปัจจุบันสัดส่วนอยู่ที่สิบเปอร์เซ็นต์กว่าๆ ขึ้นลงต๊อกแต๊กเล็กๆน้อยๆ มาตราการสนับสนุนอะไรก็อย่างที่รู้ๆกัน เมื่อก่อนให้เงินอุดหนุน70% ขึ้นมา80% ค่าภาษีโรงเรือนค่าอื่นๆก็วางยาไว้ โรงเรียนเอกชนจะร้องแรกแหกกระเชออย่างไรก็โบ้ยไปกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง ทั้งๆที่ในระยะ10ปีที่ผ่านมา การจัดการศึกษาโดยเอกชนช่วยรัฐฯประหยัดงบประมาณได้หลายแสนล้านบาท ทั้งๆที่เด็กเรียนอยู่ในโรงเรียนไหนๆก็เป็นลูกหลานไทยทั้งนั้น ไหนบอกว่าเรียนฟรี ! แต่มี 2 มาตรฐาน
ปัญหาเรื่องการศึกษาอย่าบริหารแบบอีแอบใจแคบใจดำ ทุกเงื่อนไขที่สนับสนุนโรงเรียนของรัฐอย่างไร ก็ควรให้กับสนับสนุนโรงเรียนของเอกชนเช่นนั้น ไม่อย่างนั้นจะเอาเงื่อนไขอะไรมากระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงได้ ปัญหาการศึกษามันก็วนเวียนเหมือนเด็กเล่นขายของอยู่อย่างนี้แหละ ถ้าครูและเด็กได้รับการสนับสนุนเท่าเทียมกัน การแข่งขันก็จะเกิดขึ้นมากกว่านี้ ภาคเอกชนก็จะมาช่วยสร้างสถานศึกษามากมายหลากหลายอย่างในต่างประเทศ
ปัญหาที่แม่ใหญ่เจอ..
เขาบอกว่ายังดีนะ..
ที่เดี๋ยวนี้ประกาศสอบรับสมัครครูไม่ตรงกับวันสิ้นปีงบประมาณ
เลื่อนมาสอบเอาช่วงปิดเทอม
ทำให้การย้ายครูเข้าออกไม่อิหลักอิเหลื่อมากนัก..เขาว่างั้น!
ปัญหาที่หยิบยกมาหารือล้วนแต่เจอตอทั้งนั้น เพราะเราอนุรักษ์และสะสมตอไว้ทิ่มก้นตัวเอง ไม่มีจุดไหนเลยที่จะปลดล็อกได้ ในเมื่อรัฐบาลไม่กล้าผ่าตัด ฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็เอาแต่ประชุม ยกร่างๆ เสนอๆๆ แล้วก็วกวนมาอยู่ที่เดิม มีผู้เสนอให้ส่งร่างฯไปให้ตัวแทนโรงเรียนภาคเอกชนพิจารณา แล้วค่อยมาว่ากันใหม่ รัฐบาลก็จะยุบสภาแล้ว จะทำอะไรได้กับเรื่องใหญ่และซับซ้อนเช่นนี้
ระหว่างเดินมึนตึบออกจากห้องประชุม
ดร.ประทีป วีระพัฒนนิรันดร์
กรรมผู้ทรงคุณวุฒิที่เอาใจใส่ช่วยเหลือด้านอาชีวะและเอกชน
โทรมาชวนกินข้าวเพื่อจะคุยหารือนอกรอบ
แต่ผมมีนัดจะไปดูหนังเรื่องพระนเรศวรกับเจ้าแห้ว
จึงขอเล็ดลอดกลับมาดังที่กล่าวแล้ว
ด้วยฝีมือของมอเตอร์ไซ ทำให้ผลกลับมาอาบน้ำที่ห้องได้ทัน ส่วนเจ้าแห้วไปเกร่รอที่หน้าโรงหนังแล้ว พร้อมกับแจ้งข่าวร้าย หนังเรื่องพระนเรศวรออกจากโรงฉายไปแล้ว โธ่ๆๆๆ..หนูก็เช็คในเน็ทแล้วว่ามันยังฉายๆๆๆๆ ระบบข้อมูลเมืองไทยมันก็ห่วยแตกไปทุกที่จนได้สินะ มันก็ปัญหาเดียวกับการศึกษานั่นแหละ ผีมาถึงป่าช้าจะทำอะไรได้ ชวนกันไปกินข้าวที่ร้านไก่ย่างช่อผกา ช่วยกันสั่งอาหารมาด้วยความหิวกระหาย อาหารเขาก็อร่อยใช้ได้ แต่หลานชูชกเขมือบไม่หมดต้องห่อกลับ เดินออกไปดูโปรแกรมหนัง เรื่องอะไรผมก็จำไม่ได้แล้ว พระเอกชื่อธอร์เป็นอัศวินหรือจอมมหากาฬอะไรสักอย่าง เพราะมันเป็นเรื่องราวเมืองในอวกาศ เสียงในโรงหนังดังมาก แต่ผมก็หลับจนได้ มาตื่นดูเอาตอนท้ายๆ
เมื่อไม่ใช่เรื่องที่อยากดูมันก็เหนือยๆ
ก็เหมือนความรักนั่นแหละ
ถึงจะกระชับพื้นที่ยังไง หัวใจก็หาทางเบี่ยงเบนจนได้..
วันนี้มีประชุมอีก น่าจะเสร็จประมาณบ่าย 2
มีคณะจากประเทศลาวโทรมานัดคุยเรื่องส่งเสริมคนลาวเลี้ยงวัว
ถ้าประจวบเหมาะอาจจะได้คุยกันในช่วงบ่ายแก่ๆ
ตอนเย็นคุณชลิตจะชวนไปกินปู
บอกให้นัดเจ้าปูไปด้วย
แต่แห้วบอกว่าต้องไปแต่งงาน
ไม่ได้แต่งเองหร๊อกนะ..ไปร่วมงานแต่ง
ไม่อย่างนั้นเธอเอ๋ย..ปูปะทะปู หรือยกกำลัง2จะเป็นยังไงก็ไม่รู้
ป.ล.เอกสารที่ประชุม
เรื่องยุทธศาสตร์การมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในการจัดการศึกษา
ผมจะรวบรวมไว้ให้แม่ใหญ่และครูอึ่ง
จะได้รู้ว่า หวานเป็นลม ขมเป็นยา นั้นเป็นฉันใด
หรือรู้แล่ววววว..ก็รู้อีกกกกก ดีไหมครับบบบ
ชิมิ ชิมิ ..
« « Prev : อย่ามองข้ามเขยร้อยเอ็ด
Next : เกรงใจประเทศไทยหน่อยต๋อยแหลด » »
15 ความคิดเห็น
การประชุมเหมือนกินยา
มากเกินไปก็ตาย
น้อยเกินไปก็ตาย
นักการศึกษาไทยประชุมกันมากไป
จึงไม่ได้เกิดสักที
กินยาคุมกำเนิด..ผมว่า
ระบบการศึกษา
หลากหลายดีที่สุด..ผมว่า
แต่รัฐควรเป็นหลัก สัก 70
เอกชนสัก 30 พอได้แข่งกัน
คนรวย คนจน ชั้นกลาง มีทางเลือกหลากหลาย
ตามเงื่อนไขเฉพาะตน ก็น่าจะดีนะครับ
เสียแต่ว่าการเสียภาษีเราไม่มีทางเลือกเลย
ผมมักไม่นิยมฝรั่ง ยกเว้นระบบการศึกษาในเมกา ที่เขามีทางเลือกมากหลายจริงๆ
มากกว่ายุโรปหลายเท่า อาจเกิดเพราะปชช.เขามาจากหลากหลายเผ่า
เรียนก็ไม่หนัก เท่ายุโรป แน่นอนว่าเบากว่าไทยประมาณสองเท่า
แต่ทำไมเขาเจริญกว่าเรา 100 เท่า
ตอบ..เขาประชุมน้อยกว่าเรา 10 เท่าเห็นจะได้
แต่นั่นคงไม่ใช่คำตอบทั้งหมดหรอกครับ
สไตล์ไทยยากที่ใครจะเลียนแบบ
บอกก็ไม่ได้นะ
ดุยังกะ..พวกน้ำลายสอ
ทุรนทุรายอยู่กันไป เรียน สอน กันไป
เด็กไทยจึงบ้าๆบอๆมากขึ้นทุกที
ประเทศไหนต้องการเรียนแบบบ้าบอต้องมาเรียนที่ไทยยย
ไม่รู้จะทำไงได้ ทนๆๆๆ
จนกว่าจะเจ้งกันไปข้างหนึ่ง
ระบายต่อครับบาท่าน…
เมกาเขาเน้นให้นร.มัธยมเรียนน้อย แล้วไปเน้นที่มหาลัย โดยเฉพาะระดับโทเอก เรียนกันอ้วก
ส่วนยุโรป เน้นหนักที่มัธยม และป.ตรี ส่วนโทเอก สบาย ไม่ต้องมีคอร์สเวิร์คมาก ทำแต่วิจัย
ส่วนไทยเรา อ้วกแตกตั้งแต่อนุบาล ยันป.เอก ยัดกันเข้าไปจนสมองแตก ไม่มีช่องว่างให้ดิ้นเลย
ไม่ต่างอะไรกับกฎหมายไทยและข้อบังคับต่างๆ กฎกระทรวง เทศบัญญัติ ที่เอาเมกา มาผสมยุโรป ญี่ปุ่น จนเป็นกฎหมายที่เข้มที่สุดในโลกในเชิงตัวบท แต่….
ที่เป็นเช่นนี้โทษใครดีครับ ครูบ้านนอก หรือ ด๊อกเมืองนอก หรือทั้งสอง หรือทั้งหมดประเทศแม้แต่ขอทานริมถนน และตำรวจจราจร???
ขอบพระคุณค่ะครูบา..
เรื่องโรงเรียนเอกชน เป็นเหมือนนิยายเรื่องยาว เปิดแสดงมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่จนมารุ่นนี้ ยังมีเรื่องราวไม่จบ..(อิอิไม่ค่อยออกนัก)
ปีนี้รับครูใหม่มาทดแทนครูเดิมที่ออกไปบรรจุมาครบแล้วก่อนหน้าการอบรมที่อาจารย์โสรีช์กรุณาพาน้องๆ มาอบรมให้ครู ได้อย่างเฉียดฉิว
อ้าว..ระหว่างอยู่ในารอบรม มีโทรศัพท์จากโรงเรียนสังกัดอปท. มาโทรฯ เรียกครูไปสอนอีก คนนึง เช้านี้ต้องเรียกครูมาสัมภาษณ์ใหม่
สอบบรรจุต้นปีจริง แต่เรียกบรรจุได้ตลอดปี..หึหึ
บางทีคุยกันเล่นๆ แต่เอาจริงว่า แหม..ถ้ารัฐให้เราเป็นโรงเรียนฝึกหัดครูให้นะ จะทำให้ดู ไม่ต้องเสียงบประมาณอบรมครูซ้ำแล้วซ้ำอีกแบบทุกวันนี้หรอก..
คิดแบบนี้จะอวดดีไปไหมคะเนี่ย…
ขอบคุณครูบาที่กรุณาครูอึ่งกับแม่ใหญ่ ปัญหาเรื่องรัฐไม่(ค่อยจะ)สนับสนุนโรงเรียนเอกชนนั้นมีมาปีมะโว้ จนแม่ใหญ่ “ชั่งมัน ชั้นไม่แคร์” เบื่อประชุมจนมอบหมายให้คนเข้าประชุมแทนแล้วกลับมารายงาน เพราะมัน “เยิ่นเย้อ ยืดยาด มาดมาก” เวลาอ่านรายงานที่ได้รับ ก็จะบอกว่า “อ๋อ เหรอ แล้วก็ก้มหน้าก้มตาทำโรงเรียนของเราให้ดีดี พัฒนาเด็กเรา ครูเรา ให้เต็มที่ ขืนรอพึ่งปัจจัยภายนอกจากรัฐ คงเลิกทำโรงเรียนไปนานแล้วค่ะ
เปิดประเด็นโรงพยาบาลเอกชนก็อีหรอบเดียวกัน น่าจะหนักกว่าด้วยซ้ำไป บางคนคิดว่า โรงเรียน โรงพยาบาลเอกชนเป็นองค์กรธุรกิจที่ขูดรีดเอาแต่กำไร ต้องไม่สนับสนุน ให้สนับสนุนแต่ของรัฐ
อาการหนึ่งขององต์กรที่มีปัญหาแล้วไม่รู้ว่าตัวเองมีปัญหาอะไร คือประชุมๆๆๆๆๆๆๆ แต่ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย
พูดไปก็เท่านั้น ตั้งหน้าตั้งตาทำงานของตัวเองไปดีกว่า อิอิ
อยู่รัฐบาล แต่กำลังคิดว่าจะขึ้นป้ายหน้าห้องว่า
“รับฝึกหัดอาจารย์พยาบาลใหม่(ซะให้เข็ด)” เนื่องเพราะว่า อาจารย์ใหม่เข้ามา หน่วยเหนือเขาส่งมาให้สอนเลย ทั้งๆที่เพิ่งจบใหม่กันหมาดๆ ไม่มีปฐมนิเทศสักอย่าง เลยต้องมาสอนใหม่ทุกเรื่อง(เอง) พอเข้าที่รักเด็กสอนเป็น ถูกเด็ดยอดเอาไปสอนที่หน่วยอื่น ทู๊กปี
อุอุ
เรื่องประชุมนี่ เคยเจอไหมคะ ว่าแต่เรื่องแจ้งกับรับรองรายงานการประชุม พอคนกลับออกไปถึงค่อบงุบงิบเรื่องต้องพิดนา โดยไม่ต้องนับองค์ประชุม ฮิฮิ ถ้าไม่เคยเจอจะนิมนต์มาลอง ฮ่าๆ
เจอคนหัวอกเดียวกันแยะดีจริง
ประชุมเรื่องนี้แล้วคิดถึงครูอึ่งกับแม่ใหญ่ ยิ่งรู้ว่าพวกนี้เขาคิดยังไง กับโรงเรียนเอกชน ก็ยิ่งสะทกสะท้อนใจ การศึกษาไทยมันจึงคิดอย่าง พูดอย่าง แล้วทำอีกอย่าง ก็อาจจะมีการปรับสนับสนุนมากขึ้นนะครับ แต่..คงจะอ้อยอิ่งตามสไตล์ช้าๆได้พร้าเล่มงาม เกรงว่าดอกกล้วยไม้จะบานเร็ว
ครูเอกชน สู้ๆๆ ครูเอกชนสู้ตาย ครูเอกชนไว้ลาย แฮะๆๆ
โรงเรียน กับ โรงพยาบาล ไม่เป็นโลงก็ดีแล้วละครับ คุณหมอ อิอิ
ถ้าอุ้ยจัดอบรมอาจารย์สอนพยาบาลนอกรอบ แแบไม่เป็นทางการได้จะดีมาก
เพราะจะไม่มีใครมาคอยชี้นิ้วให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้
ลองดูไหมละครับ อิ
สภาพเหมือนแม่กำปองในบันทึกพี่บางทรายค่ะ
มีรายละเอียดของการจัดการที่สั่งการแบบคนหัวสี่เหลี่ยมมากค่ะ วันก่อนกรรมการจากสภามาประเมิน ท่านพูดว่า ที่องค์กรอยู่ได้ด้วย(ยัง)ดีเพราะคนระดับปฏิบัติรักองค์กรและมีศักยภาพ ซึ่งหาได้ยากจากหลายๆที่ อยากให้ทางฝ่ายบริหารดูแลด้วย ท่านกล่าวอย่างนั้นค่ะ ที่จริงก็รู้ๆกันแต่มีคนนอกมาบอกอีกทีก็ไม่รู้ว่าจะเขย่าความรู้สึกคนได้มากหรือน้อยค่ะ
เจออาจารย์หมอ อาจารย์พยาบาล ต่างก็บ่นอุบ บางแห่งต้องเจียดเงินค่าหัวนักศึกษามาเพิ่มให้อาจารย์ ไม่อย่างงั้นจะเผ่น..ไม่เหลียวหลัง อาจารย์ั้ที่อยู่ยั้งยืนยงจึงควรมอบเสื้อสามารถให้
สรุปว่าอาจารย์ขาดแคลน คุยกับแฟนไม่ต้องดับไฟ อิ อิ
สะท้อน สะท้านยุทธภพ และ หัวใจ หมาน่อยธรรมดา …
วันที่ 17 ถ้าป้าหวานมา จะเลี้ยงมะตูมไข่หวาน
ถ้ามาไม่ได้ จะฝากผักไปให้
แต่ถ้ามาได้ ..จะได้เลือกเก็บเอง
ไม่ทราบว่าคณะจะมานอนหรือเปล่า
ถ้าไม่นอน เจี๊ยะข้าวเย็นเสร็จ ประมาณ 3 ทุ่งก็ไปปร๋ออยู่อนแก่นแล้ว