เรียนประชาธิปไตยแบบไทยๆ
อ่าน: 1797วันที่5 นักเรียนโข่งนัดพบกันที่สถาบันพระปกเกล้า
เพื่อระดมสมองพิจารณาปัญหาประชาธิปไตยกลัดหนอง
หลังกลับจากการศึกษาดูงานภาคใต้
เราพบว่าปัญหาความขัดแย้งในสังคมระเบิดระเบิงไปทั่วราชอาณาจักร
แปลกแยก แยกเรื่อง แยกพวก ซับซ้อนสะท้อนทรวง
ทุกกรณีเดินมาถึง..จะเอายังไงละพี่น้อง สู้หรือไม่สู้ ไล่กันไปไล่กันมา
ไม่มีฝ่ายไหนยอมออมชอมกัน แข็งกร้าว แข็งตึงเหมือนหนังกลอง
ประกาศโทษก็แล้ว ประกาศภาวะฉุกเฉินก็แล้ว ทุกอย่างยังอึมครึมเมี๊ยนเดิม!!
แท้ละฝ่ายใช้วิธีโต้กันไปโต้กันมา หาเหตุ หาความชอบธรรมมาสนับสนุน
เสียงแหบเสียงแห้งไปตามๆกัน
ฝ่ายหนึ่งโต้ในสภา พิจารณางบประมาณ ท่ามกลางกระแสกระพือโหม
ไม่เอา ไม่ใช่ ไม่ชอบ ไม่หนี ไม่ถอย ไม่ๆๆๆอะไรทั้งนั้น
อีกฝ่ายสนุกครึกครื้น มีดนตรีร้องรำทำเพลง สลับการอภิปรายนอกรอบ
เปิดยุทธการวิ่งสู้ฟัด ประกาศเป็นสงครามครั้งสุดท้าย
ทุกกรณีเป็นปรากฏการเรียนรู้เรื่องประชาธิปไตยแบบไทยๆครับพี่น้อง
บ้านเมืองเราพัฒนาการเรื่องประชาธิปไตยแบบตาบอดคลำช้าง
ปิดสื่อปิดกั้น มันก็เลยรู้เรื่องช้า พากันเรียนแบบขยักขย่อน ตามมีตามเกิด
ในระบบการศึกษา หลักสูตร ตำรา วิชาประชาธิไตยไม่มีการขานรับอย่างเป็นระบบ
โครงสร้างประชาธิปไตยกำมะลอ เล่นตลกยังไงก็ได้
อ้างประชาธิปไตยทั้งๆได้คะแนนมาแบบไม่ชอบมาพากล
ทำเล่นๆหลบๆเหมือนลิงหลอกเจ้าก็ไม่ว่ากัน..
มาบัดนี้ คนไทยทนดูคนที่เลือกไปใช้อำนวจแทนปวงชนมาหลายสมัย
ใช้อำนาจอำพรางสร้างกลไกพิกลพิกาล วางรากฐานให้ประชาธิปตายเป็นช่วงๆ
หมุนเวียนกันบริหารอำนาจเพื่อกลุ่มเพื่อพ้องมากกว่าเพื่อส่วนรวม
ล้วงลูกไปทุกวงการจนระบบสะส่ำระสาย บอนไซระบบราชการและหน่วยงานต่างๆ
ที่ซ้ำร้าย..แต่งตั้งพวกพ้องขี้เหร่ยังไงก็ให้เป็นรัฐมนตรี
ไม่สนใจเสียงยี้ ย่ำยีความรู้สึกของคนที่เขาลงคะแนนเสียงให้
ความอดทน..จึงถึงจุดระเบิด ยังไงละพี่น้อง
ประเด็นยั่วยุก็เป็นชนวนสำคัญ ออกสื่อโต้ตอบท้าทายกัน
ความไม่ลงรอยกัน หมดความไว้วางใจระบบ
ลามปามไปถึงไม่เกรงกฎหมาย รุกลามไปจนถึงขั้นยึดที่ทำการรัฐบาล
กฎหมู่กำลังพัฒนาตนเองอย่างก้าวกระโดด
แต่ละฝ่ายถอยช้าเท่าใด ดึงเกมส์ลาออกนานไปเท่าใด
ประชาชนคนไทยก็จะได้เรียนรู้เรื่องสิทธิหน้าที่พลเมืองมากขึ้น
ผู้รู้ ทุกสาขาอาชีพก็จะออกมาให้ความรู้หลายแง่หลายมุม
มันสมองไทยจะได้ขับเคี่ยวกันเต็มสติกำลัง
พื้นที่เรียนรู้เรื่องประชาธิปไตยเปิดกว้างขึ้น
คนไทยจะใส่ใจเรื่องอำนาจหน้าที่ของตนอย่างจริงจังมากขึ้นๆ
ถ้ายังไม่เหนื่อย มีแรงชักขะเย่อ ก็ตอแยกันต่อไป
แต่ละวันอาจจะสูญเสียอะไรไปบ้าง
แต่คนไทยก็จะได้เรียนวิชาการเมืองจากโจทย์สดๆร้อนๆ
บางทีอาจจะคุ้มทุนคุ้มค่าในระยะยาวก็ได้นะขอรับ
คนที่เอาหูไปนาเอาตาไปไร่
บัดนี้ใครก็ไม่สามารถปิดหูปิดตาประชาชนได้แล้ว
ก็ขอเชิญชวนเปิดตาเปิดใจเรียนวิชาประชาธิปไตยกันดีไหมครับ
« « Prev : ว่าด้วยเรื่องอนาคตของกระเพาะ
Next : ไปฮาหาเรื่องที่เมือง2แคว » »
4 ความคิดเห็น
มหาลัยราชดำเนินครับ ครูฯ
อิอิ ครับ
มหาลัยที่แท้จริง ของจริง อยู่ในสังคม ประชาคม และบนถนน
;วิธีเรียน ตำรา เนื้อหาเรียน วิถีประชาธิปไตยยังไม่ดี
เราจะหวังให้มี ให้เกิดประชาธิปไตยได้อย่างไร?
กลายเป็นว่าาคนไม่รู้ ไม่เรียน ไม่เข้าใจ มาแสดงประชาธิปไตยแบบครึ่งใบ
ส่วนที่ขาดหายไป ใครจะช่วยมาต่อเติม ค้นพบวิธีแล้วหรือยัง
ถ้ายังอย่าช้า เดี๋ยวตกรถขบวนประชาธิปไตย เสียดายแย่