เศษผมในแก้วน้ำ

อ่าน: 1209

“น้ำใสในแก้วฉ่ำเย็น น่าดื่มกินเพียงใด

หากแม้นมีเพียงเส้นผมเส้นเดียว หย่อนลงไปปนอยู่ในน้ำในแก้วนั้น

น้ำที่ว่าใส เย็นฉ่ำ น่าดื่มกิน ก็หมดซึ่งคุณค่าไป

เป็นที่น่ารังเกียจ ไม่อาจดื่มกินลงไปได้

น้ำใสนี้ กลายเป็นน้ำที่ไม่น่าดูไม่น่าดื่ม

ก็ด้วยความน่ารังเกียจ ของสิ่งที่ปนเปื้อน ที่ใส่เข้าไป”

 
“ความดี” ก็เป็นดั่งนี้ ทำความดีทำไว้มากเพียงใดก็เหมือนดังเติมน้ำลงไปใส่น้ำลงไปในแก้ว ความดีเปรียบดังน้ำที่ใสสะอาด ฉ่ำเย็น น่าดื่ม น่ากิน แต่เมื่อใดที่ผิดพลาดพลั้งเผลอนำความชั่ว แม้เพียงครั้งเดียว ด้วยความไม่รู้ด้วยความไม่ตั้งใจหรือด้วยเหตุใดๆ ก็เปรียบเหมือนดั่งหย่อนเส้นผมลงไปในน้ำในแก้วนั้น ความดีที่สร้างที่ประจักษ์อยู่ก็จะทำให้ผู้ที่เป็นเจ้าของความดีนั้นมัวหมอง ลงไปด้วยความไม่ดี ด้วยความชั่วที่ตนกระทำ

นี้เป็นการมอง…นี่เป็นการมองของคนในโลกมนุษย์ทั้งหลาย ชอบที่จะมอง “ความเลว” ของผู้อื่น แทนที่จะมองซึ่ง “ความใสสะอาด” อันเป็นเหมือนดั่ง “ความดี”ของผู้นั้น “น้ำ ในแก้วใสสะอาดแต่ไม่มีใครมอง กลับมัวแต่มองเส้นผมเส้นเดียวที่อยู่ในแก้วนั้น”นี่เป็นการมอง…นี่เป็นการ มองที่เป็นของคนทั้งหลาย เป็นการมองของปุถุชนผู้ยังมีกิเลสอยู่…………

เรียนรู้เรื่องดีดีเพื่อให้มองเข้าไปในใจตน

คิดเช่นไร เมื่อเห็นด้วยตา

วางอย่างไร เมื่อฟังด้วยหู

รู้อย่างไร เมื่อได้ปฏิบัติ “ทำ” และ “ธรรม”

 

ธรรมะสวัสดี

ไปสวดมนต์กันนะคะ

 

 

 

 

Post to Facebook


เสียงสะท้อนของชีวิต

อ่าน: 1246

“เสียงสะท้อนของชีวิต” 

 


พ่อและลูกชาย… กำลังเดินอยู่ในป่า ทันใดนั้น ลูกชายเดินไปเหยียบหนามแหลมทำให้เขาเจ็บปวดเลยร้องตะโกนลั่น”โอ๊ย” เด็กชายเกิดความประหลาดใจ เมื่อมีเสียงสะท้อนกลับมาจากภูเขา “โอ๊ย” เด็กชายโกรธมาก เหมือนภูเขามาล้อเลียนเขา เลยตะโกนออกไปว่า “คุณเป็นใครทำไมมาล้อเลียนผม”

แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาจากภูเขา คือเสียง “คุณเป็นใคร ทำไมมาล้อเลียนผม” เด็กชายหัวเสียมาก “คุณขี้ขลาด” ภูเขาไม่ยอมลดละด่ากลับมาว่า “คุณขี้ขลาด”

เด็กชายหงุดหงิดมาก เลยหันไปถามพ่อของเขาว่า นั่นมันเสียงอะไร พ่อบอกว่า “ตั้งใจฟังนะ”

แล้วตะโกน ก้องว่า “ผมชื่นชอบคุณ” ภูเขาตอบกลับมาว่า “ผมชื่นชอบคุณ” พ่อยังตะโกน อีกว่า”คุณเป็นคนพิเศษ” ภูเขาตอบกลับมาว่า “คุณเป็นคนพิเศษ” แตเด็กชายยังไม่เข้าใจ

พ่ออธิบายว่า… คนเราเรียกเสียงนี้ว่าเสียงสะท้อน แต่จริงๆ แล้ว นี่คือชีวิต ชีวิตที่คุณจะได้รับอะไร ก็ต้องดูว่าเราได้ให้อะไรไปบ้าง ชีวิตก็เหมือนกับกระจกที่สะท้อนออกมา

เมื่อเราต้องการความรักมากๆ เราก็ต้องรักคนอื่นมากๆ หากเราต้องการความเมตากรุณา เราต้องให้สิ่งเหล่านั้นไปก่อน

ถ้าลูกต้องการให้คนอดทนและนับถือเรา ลูกก็ต้องอดทนและนับถือคนอื่นก่อนนี่เป็นกฎเกณฑ์ของธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งในโลกนี้

 

 

ชีวิตที่เลือกได้

เราสามารถเลือกได้ว่าจะเป็นอะไร เราจะทำดีอะไร

เราจะ…..อย่างไร 

เราจะได้สิ่งนั้นตอบแทน

เชื่อนเช่นนั้นค่ะ

วันนี้ฉันอยากตะโกนว่า”ฉันรักทุกคน”

 

 

เรื่องดีดีจากเพื่อน

ธรรมะสวัสดีนะ

 

Post to Facebook


สู้ดี สู้ร้าย

อ่าน: 1000

ชีวิตของคนเราประกอบด้วยสิ่งดี สิ่งร้าย

แล้วแต่เราจะเลือกที่จะเดินทางไปในวิถีใด

หลาย ๆ ครั้ง “เราต้องดับด้วยการปิดตา  และหลาย ๆ คราเราต้องดับด้วยการเปิดใจ”

 

โอกาสดีดี และมักได้มองเห็นสิ่งดี ๆ จากการอ่าน จึงเป็นสิ่งที่เราเรียนรู้ได้

ในการดำเนินชีวิตของตัวเองนั้น การรู้กาละเทศะ รู้จักผุ้อื่น รู้จักจังหวะในการใช้ชีวิต เป็นสิ่งที่ตัวเองได้ดำเนินตามแนวนั้นมาตลอด แต่บางครั้งก็ด้วยพร่องใน”ทำ” อาการ”สู้ดี สู้ร้าย” จึงย่างกรายเข้ามาให้เห็น”ธรรม”

วันนี้ได้มีโอกาสได้เข้าใจถึงหลัก สัปปุริสธรรมที่มีอยู่ในจิตใจของตนเอง และพยายามดำเนินตามและรู้ตัวของตนตามหลักนั้น

 

สัปปุริสธรรมทั้ง 7 นั้น อย่างง่าย ๆ

1) ธมฺมญฺญุตา  รู้จักเหตุ

2) อตฺถญฺญุตา  รู้จักผลของเหตุ

3) อตฺตญฺญุตา  รู้จักตนเอง

4) มตฺตญฺญุตา  รุ้จักประมาณตนเข้าใจการปฏิบัติ

5) ปริสญฺญุตา  รู้จักชุมชนนั้น การพูดอย่าขัดกับเขา

6) ปุคฺคลญฺญุตา  รู้จักบุคคลนั้นว่าเขาทำงานอะไร อยู่อย่างไร เข้าใจในการคบคน รู้จักคนดีคนไม่ดี ควรคบไม่คบ

7) กาลญฺญุตา  รู้จักกาลเทศะในการคบหาสมาคมว่าบุคคลชั้นใดวารรณไหนต่ำสู่อย่างไร ให้เข้าใจ

 

เรียนรู้ได้ก็สบายเป็นที่สุด  หายใจเข้าก็สบาย หายใจออกก็สบาย

ติดขัดบ้างก็ช่วยกันให้สบาย

ทุกอย่างเมื่อ “ทำ” เราจะเห็น “ธรรม”

พร่องในการ”ทำ”เมื่อไร “ธรรม” ย่อมโบยบิน

สิ่งดี สิ่งร้าย เราเลือกได้เองค่ะ

 

ข้อมุลสัปปุริสธรรม จากวิกิพีเดีย

 

Post to Facebook


สละเวลายิ้มวันละนิด

6 ความคิดเห็น โดย sompornp เมื่อ สิงหาคม 10, 2010 เวลา 19:34 ในหมวดหมู่ Uncategorized, ตามจริต, เรื่องรื่นรมย์, เรื่องเล่า #
อ่าน: 1054

หามุมให้เบิกบาน…..จากสิ่งนอกตัว

ดูหนังเมื่อวันหยุด
มีเรื่องให้เห็นมุมมองที่น่ารัก ๆ เขาว่าไว้
“พระจันทร์เวลาขึ้นดวงมันจะโต
พออยู่บนท้องฟ้ามันจะเล็ก
ความจริง มันแล้วแต่มุมมองของแต่ละคน
….
ถ้าเราหลี่ตา 1 ข้างแล้วยกนิ้วหัวแม่โป้งเทียบพระจันทร์
เราจะเห็นว่า หัวแม่โป้งเราปิดดวงจันทร์มิด
….

วันนี้ฝนที่นี่ตก ก็เลยไม่ได้ออกไปปิดดวงจันทร์

Post to Facebook


ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน

อ่าน: 1144

เมื่อวานอ่านหนังสือ 9 พุทธ 9 เต๋า 9 เซ็น
อ่านเรื่องนี้ถูกใจจึงอยากเล่า เป็นเรื่องที่ 7ของเต๋า จากหนังสือดังกล่าว
“ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน”

เมื่อจัดลำดับเท่าเทียมกันหมด
ความแตกต่างก็ไม่มี
เมื่อสภาพเท่าเทียมกัน
เอกภาพก็ไม่มี
เมื่อประชาชนทั้งหมดเท่าเทียมกัน
ความเป็นระเบียบก็ไม่มี
ฟ้าและดินยังมีอยู่ตราบใด
ตราบนั้นย่อมต้องมีสูงมีต่ำอยู่
ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินเสมือนต้นน้ำ
ถ้าต้นน้ำใสสะอาด กระแสน้ำก็ใสสะอาด
ถ้าต้นน้ำเน่า กระแสน้ำก็เน่า
ผู้ใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเหมือนจานใส่น้ำ
ถ้าเป็นจานกลม น้ำในจานก็กลม
ถ้าจานสี่เหลี่ยม น้ำในจานก็เป็นรูปสี่เหลี่ยม
ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเหมือนลม
ประชาชนเปรียบเหมือนหญ้า
หญ้าต้องลู่ไปตามลม
และดูลมไหวที่ยอดหญ้า
ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเหมือนเรือ
ประชาชนเปรียบเหมือนน้ำ
น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้
และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน

 

อ่านเรื่องนี้สะท้อนให้คิดว่า ทุกอย่างเป็นสิ่งสมมุติ

ตำแหน่งหน้าที่การงานคือหัวโขน

ทุกคนคือปถุชน ธรรมดา มีศักดิ์และศรี เท่าเทียมกันในความเป็นมนุษย์

ให้ใช้ความเป็นมนุษย์ในการดำรงหน้าที่ด้วยอริยบทอันเบิกบาน

“บอกตัวเองค่ะ”

Post to Facebook


เรื่องของแม่เมื่อคืน

9 ความคิดเห็น โดย sompornp เมื่อ สิงหาคม 8, 2010 เวลา 18:33 ในหมวดหมู่ ตามจริต, เรื่องรื่นรมย์, เรื่องเล่า #
อ่าน: 1415

ไม่ใช่เป็นเรื่องดัดจริตที่ทำให้ต้องมาคิดถึง และฝันถึงแม่เหมือนบันทึกของน้อง freemind นะ (จะบอกไว้) อิอิอิ

เมื่อคืนฝันถึงแม่  และเคยฝันลักษณะนี้มาหลายครั้ง  เคยคิดเหมือนกันว่า เวลาเราเจอเหตุการณ์ใด แล้วไม่สามารถพาตัวเองออกมาจากเหตุการณ์นั้นได้  และมักจะคิด และฝันซ้ำ ๆ กันในลักษณะนี้ และยังนึกถึงต่อไปว่า ที่เราเคยว่าพวกฝรั่ง อะไรนิดหน่อยก็ต้องปรึกษาจิตแพทย์ ทำไมมันไม่คิดเอง และหาเหตุผลกับสิ่งที่เกิดว่าเป็นอย่างไร  และเคยคิดไปว่า ทำไมต้องไปหจิตแพทย์เพื่อบำบัด ให้ระลึกถึงเหตุการณ์ และพาเราออกจากเหตุการณ์นั้น  เพื่อไม่ให้เจอ/พบ ในสิ่งที่เราฝังใจในเหตุการณ์นั้น ๆ

…….

วันที่แม่จากไปนั้น เป็นช่วงเช้า ก่อนจะไปทำงาน และก่อนที่จะเตรียมอะไรให้ตอนเช้า ก็จะเข้าไปดูแม่ก่อน แต่เหตุต้องไปพบว่าแม่นอนเฉย ๆ ในท่าที่ไม่น่าจะอยู่ในลักษณะนั้นได้นาน จึงพังประตูเข้าไป จับตัวเแม่ยังนิ่มอยู่ พยายามปั๊มหัวใจ และเป่าลมที่ปาก ทำทุกวิธีที่จะสามารถทำได้ แม่ตัวใหญ่ ก็ขึ้นคร่อมปั๋ม ๆ เท่าที่จะทำได้  แต่ก็ไม่เป็นผล ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงฝังใจตัวเองมาเรื่อย ๆ และเห็นภาพแม่ทุกวัน ๆ ๆ ก่อนวันจะเผา เราก็เห็นร่างแม่นอนหลับตาพริ้ม ผิวเป็นสีชมพูสวยงาม ภาพที่โลงค่อยเลื่อนลงสู่เมรุเพื่อเตรียมเผา อยู่ในความทรงจำมาเสมอ…..

และหลายครั้งที่ฝันถึงแม่ในลักษณะนี้ ฝันว่าแม่ตาย แจะฝันเห็นแต่สิ่งสวยงามของแม่เสมอ ไม่เคยเจอแม่ทุกข์สักครั้ง ถึงแม้ว่าแม่จะตาย แต่ภาพของแม่ก็เป็นการตายที่มีความสุข

คิดเหมือนกันนะ ว่าต้องไปหาจิตแพทย์เพื่อปรึกษาและลบภาพนี้ออกไปจากความทรงจำหรือเปล่า  แต่มาคิดอีกที  เราคิดถึงแม่ก็ไม่เห็นทำให้เราทุกข์เลยนี่  เพียงแต่บางครั้งมันอาจจะทรมานนิด ๆ  เหมือนว่าเราทำอะไรในการช่วยท่านไม่ได้ ก็เท่านั้่นเอง

ช่วงนี้อาจจะเป็นเพราะว่าคิดถึงแม่มากไปหน่อย(ก็เท่านั้นเอง) แต่จริง ๆ แล้วก็เหมือนกับที่น้องบอกว่า เราไม่เคยไม่คิดถึงแม่เลย เป็นเช่นนั้นจริง ๆ

เช้านี้จึงเล่าให้พี่คนโตฟัง และชวนกันไปตลาด (แต่ไม่ทันตักบาตร..อิอิ) และซื้ออาหารไปถวายวัด พร้อมกับถวายปัจจัยค่าน้ำที่แม่ได้ตั้งใจถวายให้วัดทุกเดือน และเราลูก ๆ ก็ทำตามเจตนารมย์ของแม่มาตลอด  ทำบุญให้แม่ พ่อ และพี่ชาย 2 คน เราก็สุขใจแล้ว…..

ขอให้แม่และพ่อ พร้อมพี่ชาย มีสุขในสรวงสวรรค์ชั้นฟ้านะจ๊ะ

……….

อยากบอกว่า พวกเรา รักแม่ พ่อ และพี่ ๆ ทั้งสองเหมือนเดิมนะ

………

รักแม่ รักพ่อ รักพี่น้อง ก็อย่าลืมใส่ใจกันบ้างนะจ๊ะ ถึงจะมีโกรธมีเคืองกันบ้างก็เป็นธรรมดาของชีวิต

“อย่ารอให้ถึงวันนั้น” นะจ๊ะ

……..

อยู่ดีมีสุขจ้า

8 สค.53

Post to Facebook


เรื่องบ้า ๆ ของวันที่ไม่น่าจะบ้า

4 ความคิดเห็น โดย sompornp เมื่อ สิงหาคม 7, 2010 เวลา 18:11 ในหมวดหมู่ ตามจริต, เรื่องรื่นรมย์, เรื่องเล่า #
อ่าน: 1874

คนเรามักทำอะไรตามจริตตัวเอง ซึ่งบางครั้งก็ไม่ได้หันมองสิ่งรอบข้าง หวังเพียงทำในสิ่งที่ต้องเองปรารถนาและต้องการเท่านั้น

วันนี้ได้ลองถอดบทเรียนในวันหยุดของตัวเองว่า ได้อะไร และมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

…..

วันนี้วันหยุด

ฝนตกตั้งแต่กลางคืนที่ผ่านมา ใกล้รุ่งสางกระหน่ำตกแบบประมาณว่าได้ระดมน้ำมาหมดโลกแล้ว

จึงแอบคิดต่อไปว่า   เอ…แล้วถ้าน้ำท่วมโลกจะเป็นอย่างไร

นี่เป็นความิดในช่วงตีสี่ของวันที่แอบละเมอตื่นขึ้นมา

มันเป็นความบ้าของความคิด….เป็นแว๊บแรกของการคิดที่ดึงเอา สัญญา และการปรุงมาจากความเดิม ๆ ทั้งนั้น แล้วมันก็ฟุ้ง ๆ ๆ ไปจนงีบหลับไปอีกครา  สะดุ้งอีกที “ตายละหว่า” ลูกฉัน เมืื่อวานป้านายมา ไม่ได้เอาลูกเข้ามานอนในห้องด้วย ไม่รู้จะเปียกมะล่อกมะแล่กซะหรือเปล่าก็ไม่รู้ กระโดดเด้งขึ้นจากเตียงรีบออกมาดู  อ้าว…คุณชายนอนสบายอุราบนผ้าห่มหน้าประตู  (อิอิ) แสดงว่าป้านายเปิดประตูให้เข้ามานอน ….. เหลือบดูนาฬิกา ตีห้ากว่า….. กลับเข้าไปนอนซุกใต้ผ้าห่มอุ่น ๆ ฟังเสียงฝนตก(หนัก ๆ )และหลับไปอีกครา

..@#^%## …เสียงโทรศัพทย์ปลุกตอนเช้า(6.30 น.) งัวเงียรับพร้อมกับคำถามมาตามสายว่า “วันนี้บ้าตื่นมาตี่สี่หรือเปล่า” (5555555) บอกไปว่าไม่ได้ตื่น วันนี้ฝนตก นอนสบาย ไม่รู้จะทำอะไร นอนอนอนดีกว่า  แต่มาคิดได้ตอนนี้ว่า อืม …. ก็ตื่นนี่หว่า….

จึงตื่นมาและอ่านหนังสือ แบบงัวเงีย และเคลิ้มไปบ้าง และคิดต่อว่าวันนี้ฉันจะทำอะไร  หอบงานสัญญามาตรวจแต่ชาติที่แล้ว ก็ไม่เสร็จ (เป็นเรื่องบ้าอีกเรื่องที่อยากจะว่าคนอื่นไม่ช่วย…แต่ก็ไม่น่าจะไปโทษคนอื่น  เพราะคนอื่นว่ามันคือหน้าที่เรา เราก็ต้องทำ ไม่เป็นไร น้ำใจมีไว้ให้คนอื่นเท่านั้น…อิอิอิ)

แล้วอาการบ้าทางความคิด ก็พาตัวเองเตลิดไปเรื่องเปื่อย ถึงเรื่องงาน ถึงเรื่องส่วนตัวที่ต้องทำ ทั้งเรื่องที่ผ่านมาและมาไม่ถึง มันวน ๆ  เข้ามาในระบบความคิด  เป็นที่สังเกตุว่า  เรื่องดังกล่าวเหล่าที่ จะระดมเข้ามาในวันหยุดที่เราได้มีเวลาคิด และมีเวลาทบทวนตัวเอง  หลาย ๆ ครั้งที่ใช้บทเรียนในวันหยุดนี้ มาเป็นแบบในการที่จะบริหารจัดการเรื่องการทำงานให้เป็นระบบ แต่มันก็ไม่สม่ำเสมอเลย  แต่สิ่งที่ได้ทำเสมอคือ  ถ้าต้องไปราชการ หรือลา จะต้องตรวจงานค้าง และเขียนเป็นข้อ ๆ พร้อมจัดแฟ้มบนโต๊ะที่มองหาง่าย เมื่อเจ้านายต้องการ  และจะมอบงานให้น้อง ๆ ทำ และตรวจเช็คงานที่ค้่างไว้เสมอ  และสิ่งสำคัญคือต้องจัดระบบเอกสารที่ต้องเก็บเข้าแฟ้มให้เป็นที่เรียบร้อย  และในวันก่อนวันหยุดก็จะเคียร์โต๊ะทำงานเช่นกัน ในเช้าวันนี้ความคิดมันก็วน ๆ เรื่องงานไป ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็จะไปทำงาน  แต่ปัจจุบัน วันหยุดก็ให้โอกาสและร่างกายในการทำกิจกรรมอย่างอื่นบ้าง จะได้ผ่อยคลายกายให้สบาย ๆ ด้วย

…@#^%#%$#%….เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น และมีคำถามว่า ที่ที่จะขายนั้นอยู่ตรงไหน ตอนนี้ยืนอยู่ไม่รู้ว่ามันคือจุดไหน

มองนาฬิกาน่าจะเก้าโมงกว่า ๆ จึงบอกไปว่า อยู่ตรงนั้นแหละจะซิ่งไปเดี๋ยวนี้

(งานนี้ถ้าที่(ป้านาย) ได้ขายอาจจะเป็นโชคดีของหลาย ๆ คน อิอิอิ)  จึงไม่เกี่ยงงอนที่จะตื่น และรีบไปในทันใด

สรุปว่า  เรื่องสุดท้ายนี้เป็นเรื่องไม่บ้าเรื่องเดียว

เรื่องอื่นที่กล่าวมาคือเรื่องที่ว่า “บ้า” และอยากเล่า

ก็(แค่อยาก)เท่านั้นเอง

อ่านจบแล้วก็ขอบคุณที่มาบ้าร่วมกันค่ะ

Post to Facebook


วันนี้ใจฉันเต้นเป็นปกติ?

อ่าน: 1249

เช้านี้เกิดอาการ “อืม….” อีกครั้ง

ด้วยได้รับการสกิดใจจากน้อง freemind ทักทายจากบันทึกของเธอว่า วันนี้ใจคงเต้นเป็นปกติดีนะคะ”

ทำให้ไดมีโอกาสคิดว่า การเจริญสติของเรานั้นเป็นอย่างไร

อ่านหนังสือครูบาอาจารย์ก็ได้เรียนรู้ว่าการเจริญสตินั้นแล้วแต่อารมณ์ที่เราถนัด

สำหรับตัวเองนั้น ในแต่ละวันได้ใช้กายใจทำงานอย่างไม่ทะนุถนอม ปล่อยให้สภาวะอารมณ์เกิดขึ้นตามสิ่งเร้ารอบกาย ปล่อยให้ทุกอย่างกระทบอย่างไม่ปลง ไม่วาง และปล่อยกาย ปล่อยจิต ให้ไปสัมผัสอย่างประมาณว่า ถ้าเกิดอะไรก็ตายกันไปข้างหนึ่ง  แต่ในความเป็นจริงสิ  ถ้าเจอแล้วตาย ก็ดีไป แต่ประเภทต้อง แขนหัก ขาหัก ซี่โครงเดี้ยง ม้ามแตก ปอดฉีก ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เราจะเยียวยามันได้อย่างไร

จึงได้มีโอกาสได้กลับมาเรียนรู้สภาวะตัวเองว่า สิ่งใดที่เหมาะที่จะทำให้เราได้เจริญสติในทางที่ถนัดนั้น

วิธีใช้มองกาย อาจจะไม่ถนัด เพราะวิเคราะห์ตัวเองว่าไฮเปอร์ แล้วการดำเนินชีวิตในทุกวัน มันโลดแล่นไปกับร่องอารมณ์เสนอ จึงใช้วิธีดูที่จิต จิตมันจะเจอสภาวะอารมณ์ใด ก็ปล่อยมันไป เรียนรู้่ไปทีละก้าว ทีละขั้น ทีละตอน และหลอมให้มันเป็นเรา  จิตมันจะสุข ทุกข์ คุ้มดี คุ้มร้าย หดหู่ ฟุ้งซ่าน กังวล ชื่นชม ยินดี ปรีดา จิ๊ด ๆ มันเป็นอย่างนี้ได้ในทุก ๆ วัน  เราก็ตามดูมันไป  เมื่อเรียนรู้ในอารมณ์ขณะนั้น ก็มีโอกาสได้กลับมาดูกายตัวเอง  ขณะที่จิ๊ด ๆ ใจเป็นอย่างไร เต้นแรงไหม มือสั่นหรือเปล่า  หรือว่าเท้ามันอยากจะนำไปประจันบานแล้ว หรือแฟ้มบินซะแล้ว(55555) ฯลฯ เราก็เรียนรู้สภาวะที่เกิดขึ้น ก็ปฏิบัติมา ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็เรียนรู้กันไป เพราะสิ่งที่เราได้ มันรู้อยู่ในใจ เราไม่ต้องไปบอกใครก็ได้ ใครเขาคิดอย่างไร ก็เป็นเรื่องของคนอื่น ไม่ใช่เรา  “สัญญา” เก่าที่เขามีกับเรา ก็เป็นเรื่องของเขา เพียงแต่เรารู้ว่าเราเป็นอย่างไร ก็ดีใจ เรียนรู้ที่จะไม่เอาจิตออกจากกายไปตัดสินคนอื่นเขา “มันก็เบา ที่ตัวเราเอง”

 

ย้อนกลับมาที่ประโยคของน้อง freemind ที่ทำให้คิดต่ออีกว่า  ในวันหยุด เราใจเต้นเป็นปกติ  แล้วทำไมในวันทำงาน เราไม่ทำให้เต้นเป็นปกติอย่างวันหยุดบ้าง (เหมือนที่หมอป่วนบอกเสมอ “ต้องรอให้ถึงวันนั้นหรือ” “หัวใจดวงเดียวกันหรือเปล่า” )

คำตอบคือ : ก็พยายามและถือปฏิบัติอยู่ค่ะ อิอิอิอิ

 

ซึมซับ และได้เรียนรู้ตัวเองจากประโยคสะกิดน้อง freemind แต่เช้า

ขอบคุณมิตรที่ดีอีกคน นะคะ 

Post to Facebook


น้ำดับไฟ

อ่าน: 1549

การเอาธัมมะมาเป็นน้ำดับไฟไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรง

เพราะต้นทุนบุญกุศล ในตัวแท้ของเรา

เป็นน้ำเปี่ยมชุ่มเต็มในใจอยู่แล้ว

เพียงแค่รักษาสติไว้ให้อยู่กับใจ

โลภะ โทสะ โมหะ กิเลสทั้งปวง

ก็ไม่สามารถเกาะใจเราได้ ไฟกิเลสก็สิ้นฤทธิ์

ทำให้ใจสงบ ร่วมเย็น เป็นธรรม

………

                  ขอบคุณครูอาจารย์

                  พญ.อมรา  มลิลา

ถวายเทียนเข้าพรรษา สถานธรรม ห้วยผาพลู ต.โป่งแยง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่

22 กรกฎาคม 2553

Post to Facebook


คุณอ่านได้ไหม….

อ่าน: 1127

เรื่องดีดีมีมาจากเพื่อนเสมอ

ได้รับเมลฉบับ หนึ่ง หัวข้อก็คือ “คุณอ่านได้มั้ย”

พออ่านแล้วรู้สึกสนุกดี ว่า….เอ้ !! แปลกจังเลย นี่เราก็ยังอ่านมันได้นี่หน่า แม้เหมือนจะงง ไม่เข้าใจ

แล้วทำให้เกิดข้อคิดบางอย่างขึ้นมา ท่ามการดำเนินชีวิตในสถานการณ์ที่ดูสับสนอลหม่านวุ่นวายในยุคปัจจุบันนี้

ไม่ รู้ว่าคุณเคยอ่านหรือยัง แต่เอาล่ะ เราไปอ่านกันดู ดูสิว่าคุณอ่านมันได้มั้ย แล้วค่อยมาคุยกันต่อ

คณุ อาน่ได้มยั้

ถ้า คณุอาน่บทคาวมนี้ได้
คณุมีความคดิที่แขง็แรงพอสวคมรเลยนะ
คณุอาน่ได้ หรอืเลป่าล่ะ
มีแค่ 55 คนจาก 100 เท่านนั้แล่หะที่อาน่ได้

ฉนั ไม่อายกจะเชอื่เลยว่า
ฉนัเข้าใจสงิ่ที่ฉนักำลงัอาน่อู่ยนี้
มนัเป น็ปฎกราากรณ์ของคาวมคดิของม์ษุยน
ผลการศกึาษวจิยัจาก มวหายิทัาลย แบมคิร์จด ก่าลวว่า

มนัไม่ สคำญเลยว่าตวัอรัษกเยีรงถตอ้กูงหรอืไม่ในคำคำหนงึ่
มนัสคำญแค่ว่า ตวัอษักรแรกและตวัอษกัรตวัสดุทาย้ของคำ
นนั้อู่ยในตนำแห่งที่ถกูตอ้ง ที่เลืหอนนั้มนัจะมวั่ซวั่อ่ายงไร
คณุก็อาน่มนัได้อู่ยดี ไม่มีปหญัา

ที่ เปน็อาย่งนี้เราพะคาวมคดิของมษุน์ยนนั้
ไม่ได้อาน่ตวัอษกัรทกุตวัซกัห อน่ย
แต่อาน่เปน็คำเตม็ ๆ คำ
สดุยอดเลยใช่มยั้ล่ะ…ใช่เลย
แต่ ยงัไงฉนัก็คดิว่าการสกะดมนัสคำญันะ
ถ้าคณุอาน่บควาบมนี้ได้ ชว่ยสง่ตอ่หอน่ยนะ


ฉะนั้น ความสับสันวุ่นวายไม่ได้เป็นเหตุทำให้เราไปต่อไม่ได้ และเราไม่ควรจะวิตกจริตกับสิ่งต่างๆที่ประดังประดาถ่าโถมเข้ามาในชีวิตจน เกินเหตุ

จงเผชิญกับมันเถิด แล้วคุณจะรู้ว่า

คุณสามารถอ่าน ปัญหาที่ดูงงงวยได้ไม่ยาก และสามารถเผชิญหน้ามันต่อไปได้ และไปจนถึงความสำเร็จ

ใช่….. คุณยังไหว…..และคุณอ่านมันได้

 

โอว…แม่เจ้า ทุกอย่างมีทางออกของมันเสมอจริง ๆ

Post to Facebook



Main: 1.1413810253143 sec
Sidebar: 0.089456796646118 sec