ไปเที่ยวงานที่ลาวใต้ (๒) ปากเซ เซกอง อัตตะปือ สายัญตะวันรอน

ไม่มีความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 25 ตุลาคม 2012 เวลา 1:37 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 4278

 

รถของน้องๆจากมหาวิทยาลัยแห่งซาด(มอซอ) ที่ออกเดินทางจากเวียงจันทน์ตั้งแต่ตีห้า แวะมารับผมที่ปากเซเวลาสี่โมงเย็นตรงตามเวลานัด แต่กว่าจะเจอกันได้ก็ขลุกขลักอยู่หลายนาทีทีมงานได้รับแจ้งว่าให้มาแวะรับ”คนไท”แต่ไหงโทรมาคุยแล้วเว้าลาวจ้อยๆทำให้น้องๆไม่แน่ใจเกรงจะรับผิดคน จากนั้นก็รีบห้อตะบึงต่อ ระยะทางยังเหลืออีกสองร้อยกว่ากิโลจึงจะถึงอัตตะปือ

รถแล่นผ่านตัวเมืองปากเซ เด็กนักเรียนนักศึกษากำลังเลิกชั้นเรียน พากันขับขี่รถถีบรถเครื่องกลับบ้านกันเต็มท้องถนน ชุดนักเรียนชายที่แขวงนี้ทั้งเด็กเล็กเด็กโตเขาใส่กางเกงขายาวสีกากี แปลกกว่าที่แขวงอื่น

“จากปากช่องมา เจ้าลืมสัญญา สัญญาเมื่อสายัณห์ …ก่อนเคยรัก ใจรักไม่เปลี่ยนผัน ทำไร่ใกล้กันจนตะวันตกดิน” แอบฮัมเพลงลูกทุ่งของพี่ไท ธนาวุธ เบาๆเมื่อรถวิ่งผ่านตัวเมืองปากช่อง(ปากซอง…น่าจะถูกต้องกว่า) ที่ไม่ใช่อำเภอปากช่องจังหวัดนครราชสีมาบ้านเรา แต่เป็นเมืองปากซองแขวงจำปาศักดิ์ เมืองปากซองตั้งอยู่บนภูเพียงบอละเวน หรือ ที่ราบสูงบอละเวน แหล่งผลิตกาแฟลาวลือชื่อ ไม่ว่าจะเป็นกาแฟดาวเรือง กาแฟสีหนุก และอีกหลายๆยี่ห้อ ที่เป็นมรดกตกทอดมาจากสมัยฝรั่งเศสนำเข้ามาปลูก ด้วยสภาพภูมิอากาศที่เย็นสบายตลอดปี มีปริมาณน้ำฝนที่เพียงพอ อยู่บนระดับความสูงจากน้ำทะเลที่พอเหมาะ และที่สำคัญคือดินสีแดงที่อุดมสมบูรณ์ด้วยธาตุอาหารพืช ทำให้ที่ราบสูงบอละเวนเป็นแหล่งปลูกไม้ผล และพืชผักนานาชนิด แล้วส่งออกไปเลี้ยงชาวลาวทั่งประเทศ ระหว่างทางจะมีรถบรรทุกพืชผักวิ่งสวนเข้าเวียงจันทน์หลายสิบคัน ตามริมถนนมีรถบรรทุกผักกำลังจอดลำเลียงผักขึ้นรถเตรียมเดินทางอีกหลายคัน ฤดูนี้ผักที่กำลังตัดขายได้แก่ กะหล่ำปลี ผักกาดขาว แตงร้าน ฟักทอง แตงไท และฟักแม้ว หรือบวบหวาน(ที่ชาวลุ่มน้ำโขงเรียกหมากซู ส่วนคนเจียงใหม่บ้านอ้ายเรียก บะเขือเครือ ส่วนยอดของเจ้าต้นนี้พอเอาไปผัดน้ำมันหอยขึ้นโต๊ะกลับเรียก ชาโยเต้ผัดน้ำมันหอย) ชาวเมืองปากซองขยันทำมาหากิน ประเภทที่ว่าข่วงบ้านไม่ปล่อยให้ว่าง ลานบ้านท่านจะมีค้างบะเขือเครือจนเกือบเต็มพื้นที่ บางบ้านก็ปลูกกาแฟจนชิดตัวเรือนเลยทีเดียว ที่ว่างที่พอจะมีนิดหน่อยก็ใช้เป็นลานตากกาแฟ    

เปรียบกับเมืองไทย เมืองปากซองน่าจะเหมือนกับแถวๆกลางดง  แหล่งปลูกข้าวโพดหวาน และผลไม้ ที่นักเดินทางแวะซื้อกันทุกบ่อยพ้นเขตเมืองปากซองก็โพล้เพล้สิ้นแสงตะวัน

จากปากซอง รถแล่นเข้าเขตแขวงเซกอง อ้ายน้องที่นั่งมาในรถเล่าให้ฟังว่า แขวงนี้มีเพียงสี่เมือง และหนึ่งในนั้นคือเมืองชื่อ “ดากจึ่ง” ก่อนที่จะคิดแปลเตลิดไปกันใหญ่ น้องเขาไขความต่อให้กระจ่างว่า “ดาก”เป็นภาษาชนเผ่า แปลว่าน้ำนั่นเอง หยิบเอาเรื่องที่น้องชายเล่าให้ฟังมาถ่ายทอดต่อ เขาเล่าว่าเมืองชื่อประหลาดนี้เจ้าเมืองเป็นผู้หญิง สาว โสด เป็นชนเผ่าลาวเทิงที่เรียนจบมาจากรัสเซีย เสียดายเที่ยวนี้ไม่มีโอกาสแวะชมโฉมแม่เมืองคนเก่ง

รถแล่นเข้าสู่แสงไฟของเมืองอัตตะปือเวลาใกล้สองทุ่ม(รถตู้ของท้าวเวียงออกจากเวียงจันทน์ตอนตีห้า มาถึงอัตตะปือสองทุ่มใช้เวลาเดินทาง ๑๕ชั่วโมงเต็มๆ) เลี้ยวเข้าจอดที่โรงแรม อาลูนสดใส เจ้าของเป็นชาวหลวงพระบาง เรียนจบหมอแล้วมาเป็นผู้อำนวยการโรงหมอแขวงอัตตะปือที่นี่ ด้านหลังโรงแรมเปิดเป็นคลินิกด้วย พักที่นี่ได้อยู่ใกล้หมอ น่าจะเหมาะสำหรับคนขี้โรค ราคาห้องพักสูงสุดไม่เกิน ๔๐๐บาทมีแอร์มีน้ำอุ่นพร้อม วันนี้มีรับเชิญไปกินพาข้าวแลงที่ร้านชาวเวียดนามชื่อ “เด็กร็อค” ฟังแต่ชื่อนึกว่าเป็นร็อคคาเฟ่ แต่ไม่ใช่ เป็นเพียงร้านขายอาหารธรรมดา ต้มปลา ผัดผัก อร่อยสมกับที่มีคนโฆษณาไว้ แต่ที่ขึ้นชื่อและเป็นที่นิยมของคนลาวได้แก่เครื่องในหมูต้มแล้วหั่นเป็นคำๆ เห็นชมกันว่าทำได้ไม่มีกลิ่นเหมือนที่ร้านอื่นๆทำกัน

มื้อเช้าก่อนออกไปพื้นที่ทำงาน เจ้าถิ่นพาไปกินเฝอที่ร้านชื่อดังของเมือง ชื่อร้านแสงสุลิจัน คนเยอะจนต้องต่อคิวรอโต๊ะนั่ง ปอเปี๊ยะทอด(แหนมจืน) และปอเปี๊ยะสด(แหนมขาว) ของร้านนี้ผมชวนให้ชิมครับ

อิ่มท้องแล้วออกเดินทางไปเมืองพูวัง ก่อนออกจากเมืองข้ามแม่น้ำเซโดน สะพานโค้งแบบเก่าสวยแปลกตา ที่เชิงสะพานเป็นย่านการค้าเก่าแก่ของเมือง

เท่านี้แหละครับเมืองอัตตะปือที่ได้เห็น หนึ่งค่ำคืนกับหนึ่งเช้าตรู่

ทิ้งท้ายด้วยคำว่า “อัตตะปือ หรือ อัตปือ” กร่อนมาจากคำว่า อิด-กระ-บือ แปลเป็นลาวว่า “ขี้ควาย” ที่ไปที่มาจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามต่อในตอนหน้า


ไปเที่ยวงานที่ลาวใต้ (๑) รถนอนสายใต้ น้ำใจเถ้าแก่เนี้ย

ไม่มีความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 23 ตุลาคม 2012 เวลา 7:52 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3953

 

มีงานที่อัตตะปือ มีงานที่เวียงจันทน์ มีนัดคุณหมอที่ขอนแก่น สามงานติดๆกัน จึงต้องเลือกใช้เส้นทาง กรุงเทพ-นั่งนครชัยแอร์ไปขอนแก่น-นั่งรถบัสข้ามประเทศไปเวียงจันทน์-นั่ง(นอน)รถทัวร์เตียงนอนไปปากเซ-นั่งรถตู้ทีมงานไปอัตตะปือ-นั่งรถต่อไปทำงานที่เมืองพูวงชายขอบลาวติดเขมร-นั่งรถย้อนกลับมาค้างปากเซ-นั่งรถข้ามประเทศผ่านช่องเม็กเข้าอุบล-บินเข้ากรุงเทพฯ

หลังจากรับยาหอบใหญ่จากหมอพร้อมคำขู่อีกครั้งว่ารอบหน้าถ้าไม่ดีขึ้นจะขออนุญาตเพิ่มยาอีกหนึ่งขนานหรือฉีดยาไปเลย(หุ หุ หมอใจดีพี่ท่านก็คงขู่ไปยังงั้นแหละ) นั่งรถเที่ยวเช้าจากขอนแก่นไปถึงเวียงจันทน์ตอนเที่ยง เข้าพักโรงแรมอนุพาราไดซ์สามคืน ทำงานในเวียงจันทน์ลุล่วงกับสองการประชุม อ้าวทีมงานเพิ่งมาบอกว่าขอตังค์ออกสนามวันพรุ่งนี้ เบิกจากไหนก็ไม่ทัน ข้ามกลับไปกดเอทีเอ็มของตัวเองให้ไปก่อนก็ได้(ว่ะ…เงินแสนกว่าบาทกดจากสามบัตรเต็มอัตรา….ธนาคารกสิกรที่เวียงจันทน์และทั่วลาวไม่มีนะครับ…เรื่องมันยาวเขาเล่าๆกันมา…สรุปคือต้องข้ามมากดเงินฝั่งไทย) ทีนี้ก็วางแผนเดินทางไปอัตตะปือ เที่ยวบินมีตอนเจ็ดโมงเช้าไม่ไหวแน่ๆตื่นไม่ทันแหงๆ(ตื่นจริงก็ทันนะ แต่เจ้าของงานดันจะไปไฟท์เดียวกันอีก…ไม่อยากไปครับๆเจ้าๆทั่นๆ) ทีมงานบางส่วนชวนขึ้นรถตู้ไปบอกว่าจะมารับตอนตีสี่ อันนี้ก็ไม่ไหวอีกเหมือนกัน จึงมาลงตัวที่ทางเลือกสุดท้าย คืนขึ้นรถบัสเตียงนอนไปถึงปากเซตอนเช้าแล้วรอขึ้นรถตู้ให้ไปแวะรับต่อไปอัตตะปือ

เปิดดูที่ฝรั่งแบกเป้เที่ยวเขียนกันไว้ เขาก็ว่ารถสภาพดีนอนไปตื่นที่ปากเซเลยทีเดียว ไปแวะจองตั๋วจำปาสักทัวร์ไว้ในราคาหนึ่งแสนเจ็ดสิบพันกีบน้องนางคนขายปี้เลือกที่นั่งเบอร์๕ให้  รถออกที่คิวรถขนส่งสายใต้ ออกจากตัวเมืองไปอีก ๙ กม. นอกจากมีรถไปทั่วทุกแขวงในลาวใต้แล้วยังเห็นมีรถไปหลายเมืองของเวียดนาม ใกล้เวลารถออกแบกเป้ไปแจ้งปี้แล้วก็ขึ้นประจำบ่อนนอน ไอ้หยา…เป็นเตียงนอนขนาดกว้างหนึ่งเมตรเรียงรายกันสองฟากตัวรถช่องทางเดินตรงกลางขนาดเดินได้เรียงเดี่ยว แต่ละเตียงมีหมอนสองใบผ้าห่มสองใบ โว้ว…แสดงว่าต้องนอนเบียดกันสองคน (แล้วผู้ใดจะมาเป็นคู่นอนตรูละเนี่ย) ถอดรองเท้าโดดขึ้นเตียงรอลุ้นดูหน้าคู่นอน อ้าวแล้วรองเท้าจะเอาไว้ตรงไหนล่ะขืนเอาไว้ตรงทางเดินสงสัยถูกเหยียบย่ำเตะกลิ้งไปๆมาแน่ๆ เจ้าหนุ่มเด็กรถมาช่วยจัดการยกรองเท้าวางบนชั้นเก็บของชั้นบน (โธ่ นี่แสดงว่าคุณเกือบได้อยู่ชั้นบนคนอยู่ข้างล่าง) ลองเหยียดหลังวัดความยาวปรากฏว่าพอดีกับตัวเองที่สูงร้อยหกสิบ(แล้วพวกที่ตัวยาวกว่านี้คงต้องงอตัวเวลานอน) งัดกระดานชนวนไฟฟ้ามาเปิด(เล่นเกมส์)รอรอรอ

ชะโงกมองหามุมถ่ายรูป จัดการเก็บรูปไว้อวดชาวบ้าน ได้ยินเสียงเด็กอืออออ้อแอ้อยู่เตียงใกล้ๆ แวะไปเก็บรูปเด็กตามประสาคนเฒ่าบ่มีลูกมีหลาน เจ้าหนูวัยซักขวบนิดๆนั่งอยู่ตรงกลางยิ้มใส่กล้องอย่างกับเด็กที่คุ้ยเคยกับกล้อง นั่งปุ๊กลุ๊กอยู่ตรงกลางระหว่างแม่กับยาย แวะไปเล่นด้วยก็ยิ้มโชว์ฟันสองซี่แบบไม่กลัวคนแปลกหน้า ยายของเจ้าหนูพูดภาษาเวียดกับลูกสาวด้วย(มาแอบเฉลยกันตอนหลังว่ากำลังช่วยกันดูว่าอีตาถือกล้องที่มายืนหยอกหลานตัวเองนั้นใช่คนลาวหรือไม่)

คู่นอน ใกล้เวลารถออกมีเสียงกลุ่มคนเดินคุยกันขึ้นรถมา แว่วบอกกันมาว่าที่นั่งหกถึงสิบ อ้อคู่นอนข้อยมาแล้ว ฮ่า ฮ่า ได้เจอหน้าค่าตากันเสียที อ้ายบ่าววัยใกล้เคียงกับผมในชุดซาฟารีถือถุงซาลาเปาอีกมือหนึ่งถือซาลาเปาที่กัดกินครึ่งลูกเดินเคี้ยวตุ้ยๆมาหยุดตรงเตียง พร้อมยื่นถุงซาลาเปามาชวนกิน ตอบไปว่า “สบายดีอ้าย ขอบใจเด้อ เซินแซบ น้องกินข้าวอิ่มแล้ว” พี่แกรกระโดดขึ้นเตียงกินซาลาเปาต่อ กินพลางชวนคุยกันไป “ขออนุญาตเด้อหัวหน้า เจ้าไปปากเซบ่ ยืมแว่นตาแนข้อยสิตึ่มเงินโทละสับเบิ่งบ่เห็นเลข ข้อยกินเบียร์หมดมื้อ มางานศพอ้ายช่วยเวียกเพิ่นได้สี่มื้อแล้วบ่ได้หลับได้นอน มื้อนี้เผาแล้วสิกลับปากเซ” (โห พี่ท่านจากงานสีดำมา อาบน้ำเปลี่ยนชุดมาป่าวว่ะเนี่ย…ช่างเหอะไม่เป็นไรเราเองก็ไปประชุมมาทั้งวันบ่ได้อาบน้ำเปลี่ยนชุดคือกัน ฮ่า ฮ่า สมน้ำสมเนื้อ) รถออกไม่ทันถึงสามแยกแรก พี่ท่านก็กลายร่างเป็นโรงสี โรงสีที่ปล่อยกลิ่นส่าเหล้าออกมาด้วย ก็พี่แกรไม่ได้นอนมาตั้งสามสี่วัน ทนได้ ทนได้ เดี๋ยวง่วงจัดๆลงหลับไปเองเรา ระหว่างนี้เอาหูฟังแบบเสียบเข้าไปในรูหูมาฟังเพลงจากกระดานชนวนไฟฟ้าไปพลางๆก่อน

รถวิ่งแบบกระฉึกกระชักตามแต่ที่จะตกหลุมเล็กใหญ่ขนาดไหน พอถึงเมืองใหญ่ๆก็เปิดไฟสว่างโร่พร้อมเด็กรถมาตะโกนบอกให้ผู้โดยสารที่จะลงกลางทางรีบเตรียมตัวลง เที่ยงคืนถึงเมืองปากซัน อีกสองชั่วโมงถึงเมืองท่าแขก ตีสี่ถึงเมืองสวรรณเขต ตอนนี้พี่ท่านตื่นมาดื่มน้ำแล้วไปห้องน้ำ ได้โอกาสลงไปห้องน้ำบ้างพี่แกรชี้ทางให้บอกว่าเดินไปทางท้ายรถแล้วมีบันไดลงไป ทุลักทุเลพอใช้กว่าจะเปิดประตูได้ หาที่เปิดไฟยังไงก็ไม่เจอ อาศัยแสงจากมือถือ

รถเสีย ม่อยหลับไปตอนไหนไม่รู้มารู้สึกตัวอีกทีตอนฟ้าสาง อ้ายคู่นอนปลุกรับผ้าเย็น รับมาแล้วนอนต่องัวเงียถามอ้ายว่าสิฮอดแล้วบ่อ้ายบอกว่าอีกร้อยกว่าหลัก แว่วเสียงคนคุยกันว่ารถช้ารถจอดมาสองครั้งแล้ว เออจริงแฮะ รถวิ่งแบบไม่มีความเร่ง ไปต่ออีกหนึ่งชั่วโมงก็จอดสนิท ผู้คนเริ่มทยอยกันลงไปใช้”ห้องน้ำรวม”สองข้างทาง เราลงมั่งดีกว่า เห็นเด็กรถลงไปนอนยาวใต้ท้องรถเคาะกันโป้งๆ สักพักก็เรียกขึ้นรถ คิงส์บัสเคลื่อนตัวเอื่อยๆอีกครั้ง และสุดท้ายก็แวะเข้าจอดที่ปั๊มน้ำมันที่อีกสี่สิบเจ็ดกม.จะฮอดปากเซ โชเฟอร์บอกว่าเดี๋ยวมีรถมารับ พร้อมให้เด็กยกกระเป๋าสัมภาระทุกใบลงกองไว้ที่ข้างรถ

รอ รอ รอ รอไปก็เล่นกับเจ้าตัวเล็กไป ซนใช้ได้วิ่งๆไปหกล้มไปร้องไห้ไปเดี๋ยวก็ยิ้มไป เดินมาป้วนเปี้ยนแถวกระดานชนวนพอเปิดเกมส์ให้เล่นก็วิ่งหนี ระหว่างนั้นบรรดาผู้โดยสารก็ทยอยกันให้ญาติมารับ แต่ไม่มีเสียงบ่นเรื่องรถเสีย บางคนบอกว่าชินแล้ว เสียประจำ ยายของเจ้าตัวเล็กบอกว่าเที่ยวนี้ดวงไม่ดีขาขึ้นเวียงจันทน์ก็เจอรถพัง ขากลับเปลี่ยนบริษัทรถทัวร์แล้วก็ยังไม่วายพังอีก เจ็ดโมงครึ่งรถปิกอัฟสี่ประตูของเถ้าแก่รถทัวร์มาดูอาการ รับแขกไปห้าคนและบอกว่าเดี๋ยวจะไปหาซื้อเฟืองเกียร์มาซ่อมแล้วจะส่งรถมารับคนโดยสารที่เหลือ(หมายความว่าต้องรออีกพักใหญ่ๆ ช้านานเท่าไรขึ้นอยู่กับว่าจะหาเฟืองเจ้ากรรมได้เร็วแค่ไหน)

เถ้าแก้เนี้ย คุณยายของเจ้าตัวเล็กรีบยกหูบอกให้ที่บ้านออกมารับด่วน บอกว่าบ้านอยู่หลักห้า ห่างจากจุดรถทัวร์ตายไปแค่สามสิบกิโลเอง ไม่ถึงยี่สิบนาทีรถสี่ประตูสีแดงสดของเถ้าแก่ก็มารับเจ้าหนูกับแม่และยาย เถ้าแก่เนี้ยเปิดประตูขึ้นนั่งตำแหน่งคนขับพร้อมเอ่ยปากชวนให้ไปด้วย แถมบอกว่าเดี๋ยวไปส่งในเมืองให้ (บ้านเถ้าแก่อยู่ก่อนถึงตัวเมืองห้ากิโล) ยกเป้ขึ้นรถอย่างจำยอมด้วยหมดหนทางและเกรงใจ บอกท่านไปว่าเอาผมไปส่งระหว่างทางก่อนถึงบ้านเพิ่นก็ได้ครับเอาบ้านพักโรงแรมแถวข้างๆทาง เดี๋ยวเย็นๆลูกน้องผมจะแวะรับไปอัตตะปือครับ ได้ยินเถ้าแก่กับเนี้ยคุยกันเรื่องโรงแรมโน้นโรงแรมนี้อยู่ตรงไหน สุดท้ายเถ้าแก่เนี้ยตัดสินใจให้ว่า ไปพักในเมืองดีกว่า หาของกินง่าย ไม่ต้องเกรงใจ งั้นขอแวะอาบน้ำที่บ้าน สั่งงานแล้วจะไปส่ง เจ้าตัวเล็กตื่นมาเล่นด้วยอีกครั้งจึงถอดกำไลกัลปังหาที่ซื้อมาคราวไปกระบี่ให้เจ้าตัวเล็กไปเป็นเครื่องคุ้มครอง

รถแล่นมาถึงร้านของเถ้าแก่ จอดรถแล้วเรียกให้ลงมากินน้ำกินท่า “ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ใช่พี่น้องก็ให้คิดว่าเป็นบ้านตัวเอง” เอากับพี่ท่านสิ คำพูดนี้ทำให้ลบความทรงจำด้านลบที่เคยมีต่อพี่น้องชาวไทยเชื้อสายเวียดนามไปจนหมดสิ้น ร้านคำเลิดแสงสว่าง แต่ทุกวันนี้เปลี่ยนเป็นร้านกลึง และมีป้ายใหม่เป็นโพนสีใคออโตร์ ดูโอ่อ่าหรูหรา นอกจากสี่ประตูสีแดงสด(ซึ่งน่าจะเป็นรถลูกชาย เพลงวัยรุ่นเครื่องเสียงกระหมึ่มเกินหรู) แล้วเห็นมีปราโด้จอดอยู่อีกคัน เถ้าแก่เนี้ยหายเข้าไปในบ้าน เถ้าแก่ใหญ่ยกน้ำชามาให้ ไอ้หนุ่มผมยาวลูกชายเถ้าแก่แวะมาถามว่าจะรับกาแฟไหม สักพักเถ้าแก่เนี้ยออกมาเผากระดาษไหว้เจ้า แล้วก็เรียกขึ้นรถ(เถ้าแก่เนี้ยขับเหมือนเคย เถ้าแก่ใหญ่นั่งประกบ) คุยกันมาในรถ มอบนามบัตรให้เถ้าแก่ใหญ่ เผื่อจะมีอะไรรับใช้หากไปเมืองไทย ถามอายุกันเถ้าแก่เนี้ยหัวเราะร่วน บอกว่าอายุเท่ากัน แถมยังสารภาพว่านึกว่าผมอายุหกสิบ (ปาดโท๊ะอาเจ๊นี่ ถ้าไม่ติดที่ใจดี มีเคืองกันนะเนี่ย) แต่ก็ได้แต่โทรศัพท์ไปหาคนรู้จักพรรคพวกกันที่อยู่หงสาสามสี่คน ที่นึกออกว่าเป็นคนทางปากเซ พูดให้ทางโน้นรู้ (และทางเถ้าแก่เนี้ยได้ยินด้วย) ว่ามาปากเซเจอคนใจดีช่วยเหลือชื่อร้านนี้นี้ อย่างน้อยเป็นการบอกทางอ้อมว่าเรารู้สึกขอบคุณจริงๆ

ตกลงเจ้าบ้านใจดีเลือกให้ผมมาพักที่โรงแรมแสงอรุณ โรงแรมนี้ก็เข้าท่าครับเช็คเอ้าท์สี่โมงเย็นคิดราคาแค่ครึ่งเดียว

มาปากเซ เจอแต่คนดีๆ จริงๆครับท่านผู้ชม


ภูเก็ต วีไอพี ขอบคุณไมตรีจาก Hillton Puket Arcadia และทอฝัน

ไม่มีความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 14 ตุลาคม 2012 เวลา 1:46 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3221

 
ก่อนที่จะเดินทางกลับเข้าลาว ตามที่ได้หลวมตัวใจอ่อนรับปากรับงานระยะสั้นๆมาอีกสองโครงการ ในวันพรุ่ง ไปเที่ยวงานคราวนี้ได้ไปเยือนถิ่นลาวใต้แถวมหานทีสี่พันดอน ไปเยือนถิ่นชาวกะเบา (นี่เป็นเหตุผลหลักที่รับงานชิ้นนี้)
ก่อนที่จะลืมเลือน ถือโอกาสเขียนถึงเรื่องราวการแปลกวิเวกของตัวกระผมในภูเก็ต เป็นการขอบคุณท่านเจ้าบ้านผู้อารี
น่าจะเป็นเรื่องปกติของหลายผู้คนที่มักมีช่วงเวลา “เข้าเงียบ ปลีกวิเวก แปลกวิเวก…ตามแต่จะเรียกขาน” ตัวข้าพเจ้าก็เช่นเดียวกัน ไหนๆก็ซื้อตั๋วมากระบี่แล้ว หลังจากพรรคพวกเดินทางกลับเจียงใหม่ ตัวกระผมเลยวางแผนที่จะแปลกวิเวกอยู่ภูเก็ตต่อสักสองคืน (ความจริงตั้งใจจะเขียนรายงานเจ๋งๆสักฉบับ รวบรวมผลงานห้าปีในหงสาส่งเจ้าของงาน ตามที่ฝาหรั่งเขาเรียกว่า คอมพลีชั่นรีพอร์ท นั่นเอง)
แจ้งต้นสังกัดเรียบร้อย มีวันลาเหลือตั้งยี่สิบวันยื่นครั้งนี้สี่วันไม่มีการทัดทาน แล้วก็เริ่มหาข้อมูลที่พักออนไลน์ พระเจ้าช่วยกล้วยทอดที่พักในภูเก็ตมีมากหลายลายตาเลือกไม่ถูก จัดแจงส่งข้อความปรึกษาท่านเจ้าเกาะฝ่ายพระอัยการ ท่านตอบมาสั้นๆว่า “จัดให้” แล้วถามมาอีกครั้งหนึ่งว่าชอบทะเลหรือในเมือง
เย็นวันที่ ๗ตุลา หลังจากญาติสายเหนือจับเที่ยวบินคืนสู่ล้านนา ครอบครัวเจ้าบ้านอันมีหนูทอฝันคุณปู่คุณย่าคุณพ่อคุณแม่และคุณอานิวก็พาผมมาแวะทานมื้อเย็นที่ร้านบายพลาสซีฟู๊ด ทอฝันสนใจนักร้องบนเวที ในขณะที่ผู้ใหญ่สั่งอาหารกันเต็มโต๊ะ มีทั้งไก่ทอดเกลือ กุ้ง ออส่วน ปลาทอดขมิ้น แกงหน่อไม้ดองกะทิใส่ปลาชิ้นโตๆ กับอีกหลากหลายเมนู
สี่ทุ่มครึ่งคุณปู่คุณย่าพาผมเข้าเมืองภูเก็ตแล้วผ่านเลยไปหาดกะรน เลี้ยวรถเข้าไปส่งที่ล็อบบี้ต้อนรับของ Hillton Puket Arcadia สวัสดีกันแล้วท่านก็กลับส่วนผมทางโรงแรมส่งรถมารับไปตึกเช็คอิน ไกลเข้าไปในสวน พอไปถึงมีผ้าเย็นกับน้ำลิ้นจี่มาเวลคัม น้องนางขอหลักฐานแสดงตนไปทำสำเนา แล้วแนะนำสถานที่พร้อมแจกแผนที่และคีย์การ์ด ชี้ทางให้ลุงว่าซ้ายมือไปไหนขวามือเป็นอะไร ทะเลอยู่ตรงไหน แล้วเรียกหาคนพาไปที่ห้อง เก็บความสงสัยไว้ไม่ได้ถามน้องนางร่างท้วมไปว่าผมต้องจ่ายเท่าไหร่ น้องนางคนงามตอบว่า “ไม่ต้องค่ะท่าน เป็นคอมพลีเมนทารี่รูมจากโอนเนอร์ค่ะ” อ้าวอะไรยังไงเนี่ย ลุงงงงง น้องนางเห็นสีหน้าลุงเลยยกหูโทรไปตรวจสอบกับที่ไหนไม่รู้ แต่ยืนยันมาว่าห้องนี้เป็นคอมพลีเมนทารี่จากคุณสงัดโอนเนอร์ค่ะ เอ้าคอมก็คอม ลุงเคยอ่านแถวขวดน้ำบนห้องพักว่าคอมฯเหมือนกัน อันนั้นแถมฟรีแต่น้ำดื่ม แต่ของลุงวันนี้แถมทั้งห้องทั้งอาหารเช้า …ขอบคุณครับ เข้าห้องไปคุณปู่ทอฝันโทรมาเช็คความเรียบร้อย เรียนท่านไปว่าเรียบทั้งร้อยครับแต่เขาไม่เก็บตังค์ผมอ่ะ
ห้องพักหรูเตียงใหญ่ดี มีโซฟานอนเล่น มีโต๊ะทำงาน แถมถาดผลไม้ ออกไปนอกระเบียงเห็นวิวทะเลยามดึกแสงจากเรือทะเลวิบวับ มีเตียงเล็กให้นั่งเล่นพร้อมหมอนอีกสามใบ ห้องน้ำหรูสมราคามีส่วนอาบน้ำฝักบัวแยกจากอ่างอาบน้ำ (แต่กับคนชอบลั่นดาลประตูห้องน้ำอย่างผมกลับรู้สึกโหวงๆพิกลกับประตูห้องน้ำที่เพียงแค่เลื่อนกระจกไม่มีที่ล็อค)
เช็คสัญญานอินเตอร์เน็ต น้องนางตอบว่าต้องซื้อชั่วโมงละ๒๕๐ ดีใจแบบลิงโลด ได้จ่ายตังค์แล้ววุ้ย ลงมาซื้อ๒๔ชั่วโมงเหมาจ่ายไป ๖๕๐บาท
มื้อเช้าที่ห้องอาหารริมสระ ดีทีเดียวชอบตรงที่มีพนักงานพาไปนั่งโต๊ะไม่ต้องไปเดินเก้ๆกังๆหาที่ว่าง ที่นี่เขาเสริฟกาแฟหรือชาคนละเหยือก ซดจนจุก มีน้ำผลไม้สกัด เจ้าหนุ่มคนสกัดน้ำคอยถามว่าเรดออร์กรีนกินน้ำแอปเปิ้ลแดงหรือเขียว อาหารมีให้เลือกครบทุกโซนทวีป
กินจนจุกแล้วก็กลับมาเขียนงานสองชั่วโมง พนักงานมาสปีคอิงลิชขอทำห้องขอเช็คหลอดไฟ เที่ยงๆออกไปเดินดูฝาหรั่งอาบแดดริมหาด น้ำทะเลฝั่งอันดามันนี่สวยจริงๆ เสียแต่คลื่นออกแรงไปหน่อย เดินเลาะลัดชายหาดไปจนถึงย่านการค้า แวะกินข้าวผัดปูกับน้ำแตงโมหมดไปไม่ถึงสองร้อย (ใครว่าของกินภูเก็ตแพง…ราคาเดียวกับหงสาแหละน่า) อิ่มแล้วเดินกลับมาโรงแรมตั้งใจจะว่ายน้ำ เดินเลือกระหว่างสามสระ เริ่มตั้งแต่สระริมทะเล สระร้านอาหาร(ตรงนี้มีสองสระใหญ่) ไปลงตัวที่สระในสวนชื่อสระเซฟตี้พอลงไปถึงได้รู้ว่าเป็นสระที่ปลอดภัยจริงๆเพราะทำระดับเสมอและน้ำลึกไม่เกินหนึ่งจุดห้าเมตร (ถึงว่าสิทำไมมีแตผู้สูงวัยฟ่ะ แฮะ แฮะ) ขึ้นจากสระแวะเวียนไปซาวน่าพักใหญ่หมดแรงแล้วลากสังขารขึ้นมาแวะซื้ออาเมลิกาโน่เย็น(แก้วละร้อยหกสิบบาท)ก่อนมางีบเอาแรงบนห้องพัก
มื้อเย็นชั่งใจว่าจะเลือกร้านไหนดี ร้านริมสระมีเทศกาลบาร์บีคิวแกะหัวละพันหนึ่ง ร้านอิตาเลี่ยนก็น่ากินแต่อยู่ตรงไหนไม่รู้สงสัยเดินไกล เปลี่ยนใจไปร้านอาหารไทยดีกว่า สั่งหมี่สะปำกับน้ำอะไรสักอย่างเห็นมีใบสะระแหน่เลยชี้ๆไป นางงามในชุดไทยสะสวยยกเวลคัมดริ๊งเป็นน้ำตะไคร้มาให้พร้อมผ้าอุ่นๆ ตามด้วยลาบไก่มาเรียกน้ำย่อยสองช้อน แล้วจึงได้กินอาหารที่สั่ง ก่อนกลับบอกน้องนางว่าลุงขอชำระสดที่นี่ไม่ต้องไปรวมบิล(กลัวคนมาแย่งจ่ายเป็นคอมพลีเม้นท์อีก) ทั้งค่าเสียหายกับทริปหมดไป๗๐๐บาท เอาน่ะคุ้มค่าจานอาหารที่ตกแต่งมาวิจิตร(แถมคนงามมาดูแล)
รุ่งเช้ารับอาหารที่เดิมแล้วเดินเก็บรูปกว่าจะทั่วใช้เวลาโข สถานที่เขากว้างขวาง มีอาคารแยกกันตามหมู่ไม้ มีสระน้ำบึงน้ำมีสนามกอล์ฟมีสนามเทนนิสมีห้องฟิตเนส และมีสปาที่แยกอยู่บนเกาะกลางบึงเป็นสัดส่วน เดินไปติดต่อรถไปสนามบิน น้องนางบอกราคาหนึ่งพันบาทแต่หากเป็นของโรงแรมเริ่มที่พันสี่ร้อยบาท เช็คเอ้าส์พร้อมรอยยิ้มไหว้งามๆและคำว่า”ไม่มีค่าใช้จ่ายค่ะ” ก่อนขึ้นรถโรงแรมมาลอ็บบี้นอกต่อรถแท็กซี่ไปสนามบิน  
อีกครั้งหนึ่ง ขอได้ความขอบคุณครับผม ปัจจัยที่พึงใช้จ่ายในครานั้นกระผมได้นำไปจ่ายเป็นค่าตั๋วขี่นกไปทำงานจิตอาสาที่น่าน เด้อครับเด้อ


กระบี่ครั้งที่สาม มาตามฟ้าลิขิต

1 ความคิดเห็น โดย silt เมื่อ 13 ตุลาคม 2012 เวลา 4:29 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2965

มากระบี่ครั้งที่สาม สารภาพตามตรงว่าพอดีประจวบเหมาะกับที่ปิดงานหงสา มีเวลาเหลวไหลให้กำไรรางวัลตัวเองบ้าง

ประจวบเหมาะกับ มีชาวคณะญาติสายเหนือคิดการมาร่วมกิจกรรม นำทีมโดยพ่อครูสุดจ๊าบส์ของผองชาวเฮ.

ที่สำคัญไปกว่านั้น เจ้าแม่หมอผู้ฝ่ายเหย้าได้ตกปากรับคำว่า “จะไม่ยุ่งไม่เกี่ยวกับความหวานของผม” อิอิ

บินไปวันที่ ๔ ตุลา เวลาค่ำ แล้วก็ดวลปูนึ่ง

วันที่ ๕ เคลื่อนไหวอยู่ในโรงพยาบาลกระบี่ มีสาวๆพยาบาลมาร่วมรายการให้ระทึกระทวยใจกับความหลังฝังรากลึก

(โอ้วววว…เขียนหวานสำนวนหยดย้อยไปหน่อยมั๊ง ปกติอาว์เปลี่ยนเขียนวิชาก๊านวิชาการนะ นี่แค่ไปอยู่กับเจ้าสำนักสวนป่ามาสองสามคืน ถ่ายทอดวิชาได้ถึงเพียงนี้ทีเดียวเชียวหรือ) ถือโอกาส ลิ้งค์ ให้ตามไปอ่านบันทึกของพ่อครูก็แล้วกัน note เรื่องไปเติมความรักที่กระบี่ พ่อท่านได้บรรยายแบบละเอียดครบถ้วนทั้งภายในภายนอกไว้หมดแล้ว คนอะไรไม่รู้เห็นเงียบๆเรื่อยๆแต่เก็บประเด็นไว้ได้หมดแม้กระทั่งน้าอึ่งกินปูกี่ตัว

หลังจากส่งพระเอกขึ้นเครื่องกลับไปแล้วน่ะสิ การเคลื่อนไหวหลังจากนั้นใคร่ขอรายงานโดยสังเขปให้ท่านครูบาฯ (ที่ครูใหญ่กับอุ้ยสร้อยว่า วาสนาอักเสบ) ได้ทราบว่าพวกเราที่ค้างอยู่กระบี่ อรยนท คิดถึงท่านเพียงไหนนะขอรับ

วันเวลาที่เหลือ หมอเจ๊ผู้ช่ำชองในการทัวร์สุขภาพประจำถิ่น บอกว่าจะพาไปคลองท่อม แล้วลงเรือไปนอนเกาะ เอาละสิ อันตัวข้าพเจ้าก็เป็ดดอนนั่งลุ้นข่าวพายุกูมีกูไม่มา กรมพยากรณ์ท่านว่าอันดามันจะมีคลื่นสองเมตรห้ามออกเรือ สงสัยแสดงออกทางสีหน้าชัดเจนไปหน่อย ชาวเฮฯที่ดูหน้าก็รู้ใจจึงตกลงงดโปรแกรมไปเกาะ แต่รายการทัวร์เสียเหงื่อตามแบบฉบับหมอเจ๊ก็ยังมิได้คลายความสนุก

เริ่มที่การบอกกล่าวไว้ว่า ไปคลองท่อมเดินประมาณเจ็ดกิโล เอาเข้าแล้วสิ ลูกทัวร์ชั้นดีต้องตื่นแต่เช้ามาฟาดข้าวขาหมูตุนเอาแรง แล้วเจ้าถิ่นคือหมอเจ๊กับพี่อี๊ด ก็พาเราไปสระมรกตที่คลองท่อม เดินลัดเลาะชมป่าชมไม้ไปก็บ่นถึงคนวาสนาอักเสบไปว่า หากท่านมาเห็นคงชื่นชอบ และคงช่วยเล่าบรรยายให้เราได้เพิ่มรอยหยักในสมอง เดินจากสระมรกตไปยังสระฤาษี อุ้ยตั้งชื่อลานบุษราคัม ไว้ด้วย เดินต่อไปชมผักกูดเจ็ดสี จนถึงสระกินรี หรือสระผุดที่สวยงาม มีพรายน้ำพร่างผุดตามเสียงปรบมือ หรือเสียงผิวปาก เดินกลับออกมาครูใหญ่กินไอติมแท่งที่สอง อุ้ยกินข้าวโพด

ที่ต่อไปคือ น้ำตกร้อนครับ สายน้ำตกทั้งสายร้อนพอแช่สบาย มีฝรั่งแขกจีนหญิงชายลงนอนแช่เล่นตามแอ่งโตรก หลังจากพาน้ากับครูอารามดูคนนุ่งน้อยชิ้นแช่น้ำตกแล้ว พวกเราก็มานั่งแช่เท้าในน้ำอุ่น

ย้อนกลับมาทางออกได้แวะชมบ่อน้ำพุเค็มในป่าโกงกาง สถานที่เขาสร้างเป็นบ่อให้แช่น้ำเรียงรายกันเจ็ดแปดบ่อ มีบ่อแม่ที่พบคุณป้าพาลูกหลานมาอธิษฐานอาบรักษาโรคเจ็บไข้ อยากมีเวลานานๆได้นอนแช่บ้าง…ฝากไว้ก่อน..เอาไว้กระบี่เที่ยวที่สี่จะแอบไปไม่บอกใคร

เวลาสามโมงบ่าย ถึงเวลาที่เจ้าถิ่นพาแวะร้านไก่กอแระเจ้าอร่อย

แล้วก็พากันไปแวะดูสวนพี่หมอ ทีนี้เราก็รู้พิกัดเซฟเฮ้าส์หมอแล้วว่าอยู่ตรงไหน ช่วยกันไปยืนวาดฝันเติมฝันแบ่งปันความรู้ โดยมีครูอารามเดินท่อมๆไปดูต้นนั้นตันนี้ที่ปลูกไว้ แล้วก็ผันผายเข้าเมือง

ชี้ชวนกันดูเจดีย์สิบสองชั้นแบบจีนที่ศาลเจ้า มัคคุเทศก์สั่งเลี้ยวขวับพาแวะทันที ที่ไหนได้อาโกของหมอท่านเป็นที่ปรึกษาขอศาลเจ้าแห่งนี้นี่เอง บัตรเบ่งไม่เคยหายไปจากชาวเฮฯจริงๆ

แล้วเราชาวดอยก็ได้สัมผัสทะเลเอาตอนโพล้เพล้แสงสวยราวสรวงสวรรค์

นึกๆแล้วก็เสียดายมัวแต่กลัวเจ้ากูมิกูมี แต่กูดันไม่มาเลยไม่ได้นอนเกาะ

เช้าวันถัดมา จะไปสนามบินภูเก็ต อาว์เปลี่ยนสังหรณ์ว่าเจ้าของทัวร์สุขภาพจะต้องพาเดินถ้ำแถวพังงาแน่ๆ แอบเตือนเพื่อนร่วมก๊วนว่าตุนข้าวไว้บ้างก็ดี อิ อิ

แต่ไม่ใช่หรอก หมอเจ๊ไม่ได้พาแวะถ้ำ กลับพาไปไหว้พระที่วัดบางเหรียงแทน แม้จะไม่ใช่ถ้ำ แต่ระยะทางเดินขึ้นบันไดไปไหว้พระธาตุ แล้วก็ไต่ลงไปยังยอดเจ้าแม่กวนอิม จากนั้นก็วกผ่านยอดพระนาคปรกกลับมาขึ้นรถ ก็ทำเอาชาวคณะโดยเฉพาะผู้เขียนต้องทำทีเป็นแวะถ่ายรูปไปหลายจุด เออ้อออ… ผู้อาวุโสท่านใดไปปล่อยไก่จนต้องไถ่โทษตัวเองน้อ…ครูใหญ่น่าจะเฉลย (แอบกระซิบให้พ่อครูฟังหน่อยเด้อ) ฮ่า ฮ่า

แล้วเราก็แวะกินข้าวกลางวันที่บางพัฒน์ โฮมสเตย์ที่มีธนาคารปูม้า ที่นักศึกษาเทคนิคพังงามาพาออกรายการคนพันธุ์อาร์ ได้เห็นวิถีชีวิตคนท้องถิ่น ได้กินอาหารทะเลสดๆ(โปรดสังเกตว่าไม่มีใครสั่งปู) ได้คุยกับปราชญ์ชาวบ้านผู้ก่อตั้งธนาคารปู(แหมมมมมมๆๆๆ อยากให้สองปราชญ์ได้มาเจ๊อะกันจริงๆ ท่านนี้ก็ปลูกป่าชายเลน ตั้งธนาคารปู น่าจะผูกเสี่ยวให้คนของแผ่นดินที่หากยากมากๆ) แม้ท่านจะแวะมาคุยได้ไม่นานแต่ผมถือว่าการเจอท่านครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งคุณค่าของชีวิต นอกเหนือจากการได้มาเห็นอ่าวพังงาตามฝัน ที่ในวัยเด็กแอบอ่านนิยายของน้าสาวเรื่องตะวันขึ้นที่อ่าวพังงา ของเพ็ญแข วงค์สง่า (แม่นบ่น้อ???)

เดินทางต่อมารอท่านอัยการกับคุณแอ๊ด ที่หาดในยางรำลึกถึงงานเฮฯภูเก็ต มะรุมมะตุ้มกอดกันคุยกัน แล้วก็เคลื่อนขบวน พร้อมของฝากคนละถุงเบ้อเร้อเห้อจากครอบครัวทองตัน ของลุงเปลี่ยนไม่มีขนมเลยแม้แต่ชิ้นเดียว จริงจริ๊งครับพี่หมอ มารอแม่หนูทอฝันที่สนามบิน คุณพ่อเนติกำลังพาห้อมาจากสุราษฎร์ โผล่มาให้คุณย่าๆๆๆกอดสมใจอย่างฉิวเฉียด แล้วก็แยกย้ายกลับอย่างอิ่มใจ

จบรายงานทริปกระบี่

เรียนมาเพื่อโปรดทราบ ในโอกาสที่พ่อครูวาสนาอักเสบผู้เยาว์เห็นสมควรให้ท่านซ่อมทริปนี้ให้เต็ม มีตั๋วภูเก็ตกรุงเทพฯอยู่แล้วนี่ขอรับ ไฉนเลยหลังเสร็จภารกิจที่น่าน บินเชียงใหม่ภูเก็ตพร้อมทั่นอัยการก็ได้นะครับ ไปหอมแม่สาวทอฝันแล้วค่อยบินอ้อมกลับกรุงเทพฯครับ



Main: 0.15573406219482 sec
Sidebar: 0.023673057556152 sec