ไปเที่ยวงานที่ลาวใต้ (๑) รถนอนสายใต้ น้ำใจเถ้าแก่เนี้ย

โดย silt เมื่อ 23 ตุลาคม 2012 เวลา 7:52 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3968

 

มีงานที่อัตตะปือ มีงานที่เวียงจันทน์ มีนัดคุณหมอที่ขอนแก่น สามงานติดๆกัน จึงต้องเลือกใช้เส้นทาง กรุงเทพ-นั่งนครชัยแอร์ไปขอนแก่น-นั่งรถบัสข้ามประเทศไปเวียงจันทน์-นั่ง(นอน)รถทัวร์เตียงนอนไปปากเซ-นั่งรถตู้ทีมงานไปอัตตะปือ-นั่งรถต่อไปทำงานที่เมืองพูวงชายขอบลาวติดเขมร-นั่งรถย้อนกลับมาค้างปากเซ-นั่งรถข้ามประเทศผ่านช่องเม็กเข้าอุบล-บินเข้ากรุงเทพฯ

หลังจากรับยาหอบใหญ่จากหมอพร้อมคำขู่อีกครั้งว่ารอบหน้าถ้าไม่ดีขึ้นจะขออนุญาตเพิ่มยาอีกหนึ่งขนานหรือฉีดยาไปเลย(หุ หุ หมอใจดีพี่ท่านก็คงขู่ไปยังงั้นแหละ) นั่งรถเที่ยวเช้าจากขอนแก่นไปถึงเวียงจันทน์ตอนเที่ยง เข้าพักโรงแรมอนุพาราไดซ์สามคืน ทำงานในเวียงจันทน์ลุล่วงกับสองการประชุม อ้าวทีมงานเพิ่งมาบอกว่าขอตังค์ออกสนามวันพรุ่งนี้ เบิกจากไหนก็ไม่ทัน ข้ามกลับไปกดเอทีเอ็มของตัวเองให้ไปก่อนก็ได้(ว่ะ…เงินแสนกว่าบาทกดจากสามบัตรเต็มอัตรา….ธนาคารกสิกรที่เวียงจันทน์และทั่วลาวไม่มีนะครับ…เรื่องมันยาวเขาเล่าๆกันมา…สรุปคือต้องข้ามมากดเงินฝั่งไทย) ทีนี้ก็วางแผนเดินทางไปอัตตะปือ เที่ยวบินมีตอนเจ็ดโมงเช้าไม่ไหวแน่ๆตื่นไม่ทันแหงๆ(ตื่นจริงก็ทันนะ แต่เจ้าของงานดันจะไปไฟท์เดียวกันอีก…ไม่อยากไปครับๆเจ้าๆทั่นๆ) ทีมงานบางส่วนชวนขึ้นรถตู้ไปบอกว่าจะมารับตอนตีสี่ อันนี้ก็ไม่ไหวอีกเหมือนกัน จึงมาลงตัวที่ทางเลือกสุดท้าย คืนขึ้นรถบัสเตียงนอนไปถึงปากเซตอนเช้าแล้วรอขึ้นรถตู้ให้ไปแวะรับต่อไปอัตตะปือ

เปิดดูที่ฝรั่งแบกเป้เที่ยวเขียนกันไว้ เขาก็ว่ารถสภาพดีนอนไปตื่นที่ปากเซเลยทีเดียว ไปแวะจองตั๋วจำปาสักทัวร์ไว้ในราคาหนึ่งแสนเจ็ดสิบพันกีบน้องนางคนขายปี้เลือกที่นั่งเบอร์๕ให้  รถออกที่คิวรถขนส่งสายใต้ ออกจากตัวเมืองไปอีก ๙ กม. นอกจากมีรถไปทั่วทุกแขวงในลาวใต้แล้วยังเห็นมีรถไปหลายเมืองของเวียดนาม ใกล้เวลารถออกแบกเป้ไปแจ้งปี้แล้วก็ขึ้นประจำบ่อนนอน ไอ้หยา…เป็นเตียงนอนขนาดกว้างหนึ่งเมตรเรียงรายกันสองฟากตัวรถช่องทางเดินตรงกลางขนาดเดินได้เรียงเดี่ยว แต่ละเตียงมีหมอนสองใบผ้าห่มสองใบ โว้ว…แสดงว่าต้องนอนเบียดกันสองคน (แล้วผู้ใดจะมาเป็นคู่นอนตรูละเนี่ย) ถอดรองเท้าโดดขึ้นเตียงรอลุ้นดูหน้าคู่นอน อ้าวแล้วรองเท้าจะเอาไว้ตรงไหนล่ะขืนเอาไว้ตรงทางเดินสงสัยถูกเหยียบย่ำเตะกลิ้งไปๆมาแน่ๆ เจ้าหนุ่มเด็กรถมาช่วยจัดการยกรองเท้าวางบนชั้นเก็บของชั้นบน (โธ่ นี่แสดงว่าคุณเกือบได้อยู่ชั้นบนคนอยู่ข้างล่าง) ลองเหยียดหลังวัดความยาวปรากฏว่าพอดีกับตัวเองที่สูงร้อยหกสิบ(แล้วพวกที่ตัวยาวกว่านี้คงต้องงอตัวเวลานอน) งัดกระดานชนวนไฟฟ้ามาเปิด(เล่นเกมส์)รอรอรอ

ชะโงกมองหามุมถ่ายรูป จัดการเก็บรูปไว้อวดชาวบ้าน ได้ยินเสียงเด็กอืออออ้อแอ้อยู่เตียงใกล้ๆ แวะไปเก็บรูปเด็กตามประสาคนเฒ่าบ่มีลูกมีหลาน เจ้าหนูวัยซักขวบนิดๆนั่งอยู่ตรงกลางยิ้มใส่กล้องอย่างกับเด็กที่คุ้ยเคยกับกล้อง นั่งปุ๊กลุ๊กอยู่ตรงกลางระหว่างแม่กับยาย แวะไปเล่นด้วยก็ยิ้มโชว์ฟันสองซี่แบบไม่กลัวคนแปลกหน้า ยายของเจ้าหนูพูดภาษาเวียดกับลูกสาวด้วย(มาแอบเฉลยกันตอนหลังว่ากำลังช่วยกันดูว่าอีตาถือกล้องที่มายืนหยอกหลานตัวเองนั้นใช่คนลาวหรือไม่)

คู่นอน ใกล้เวลารถออกมีเสียงกลุ่มคนเดินคุยกันขึ้นรถมา แว่วบอกกันมาว่าที่นั่งหกถึงสิบ อ้อคู่นอนข้อยมาแล้ว ฮ่า ฮ่า ได้เจอหน้าค่าตากันเสียที อ้ายบ่าววัยใกล้เคียงกับผมในชุดซาฟารีถือถุงซาลาเปาอีกมือหนึ่งถือซาลาเปาที่กัดกินครึ่งลูกเดินเคี้ยวตุ้ยๆมาหยุดตรงเตียง พร้อมยื่นถุงซาลาเปามาชวนกิน ตอบไปว่า “สบายดีอ้าย ขอบใจเด้อ เซินแซบ น้องกินข้าวอิ่มแล้ว” พี่แกรกระโดดขึ้นเตียงกินซาลาเปาต่อ กินพลางชวนคุยกันไป “ขออนุญาตเด้อหัวหน้า เจ้าไปปากเซบ่ ยืมแว่นตาแนข้อยสิตึ่มเงินโทละสับเบิ่งบ่เห็นเลข ข้อยกินเบียร์หมดมื้อ มางานศพอ้ายช่วยเวียกเพิ่นได้สี่มื้อแล้วบ่ได้หลับได้นอน มื้อนี้เผาแล้วสิกลับปากเซ” (โห พี่ท่านจากงานสีดำมา อาบน้ำเปลี่ยนชุดมาป่าวว่ะเนี่ย…ช่างเหอะไม่เป็นไรเราเองก็ไปประชุมมาทั้งวันบ่ได้อาบน้ำเปลี่ยนชุดคือกัน ฮ่า ฮ่า สมน้ำสมเนื้อ) รถออกไม่ทันถึงสามแยกแรก พี่ท่านก็กลายร่างเป็นโรงสี โรงสีที่ปล่อยกลิ่นส่าเหล้าออกมาด้วย ก็พี่แกรไม่ได้นอนมาตั้งสามสี่วัน ทนได้ ทนได้ เดี๋ยวง่วงจัดๆลงหลับไปเองเรา ระหว่างนี้เอาหูฟังแบบเสียบเข้าไปในรูหูมาฟังเพลงจากกระดานชนวนไฟฟ้าไปพลางๆก่อน

รถวิ่งแบบกระฉึกกระชักตามแต่ที่จะตกหลุมเล็กใหญ่ขนาดไหน พอถึงเมืองใหญ่ๆก็เปิดไฟสว่างโร่พร้อมเด็กรถมาตะโกนบอกให้ผู้โดยสารที่จะลงกลางทางรีบเตรียมตัวลง เที่ยงคืนถึงเมืองปากซัน อีกสองชั่วโมงถึงเมืองท่าแขก ตีสี่ถึงเมืองสวรรณเขต ตอนนี้พี่ท่านตื่นมาดื่มน้ำแล้วไปห้องน้ำ ได้โอกาสลงไปห้องน้ำบ้างพี่แกรชี้ทางให้บอกว่าเดินไปทางท้ายรถแล้วมีบันไดลงไป ทุลักทุเลพอใช้กว่าจะเปิดประตูได้ หาที่เปิดไฟยังไงก็ไม่เจอ อาศัยแสงจากมือถือ

รถเสีย ม่อยหลับไปตอนไหนไม่รู้มารู้สึกตัวอีกทีตอนฟ้าสาง อ้ายคู่นอนปลุกรับผ้าเย็น รับมาแล้วนอนต่องัวเงียถามอ้ายว่าสิฮอดแล้วบ่อ้ายบอกว่าอีกร้อยกว่าหลัก แว่วเสียงคนคุยกันว่ารถช้ารถจอดมาสองครั้งแล้ว เออจริงแฮะ รถวิ่งแบบไม่มีความเร่ง ไปต่ออีกหนึ่งชั่วโมงก็จอดสนิท ผู้คนเริ่มทยอยกันลงไปใช้”ห้องน้ำรวม”สองข้างทาง เราลงมั่งดีกว่า เห็นเด็กรถลงไปนอนยาวใต้ท้องรถเคาะกันโป้งๆ สักพักก็เรียกขึ้นรถ คิงส์บัสเคลื่อนตัวเอื่อยๆอีกครั้ง และสุดท้ายก็แวะเข้าจอดที่ปั๊มน้ำมันที่อีกสี่สิบเจ็ดกม.จะฮอดปากเซ โชเฟอร์บอกว่าเดี๋ยวมีรถมารับ พร้อมให้เด็กยกกระเป๋าสัมภาระทุกใบลงกองไว้ที่ข้างรถ

รอ รอ รอ รอไปก็เล่นกับเจ้าตัวเล็กไป ซนใช้ได้วิ่งๆไปหกล้มไปร้องไห้ไปเดี๋ยวก็ยิ้มไป เดินมาป้วนเปี้ยนแถวกระดานชนวนพอเปิดเกมส์ให้เล่นก็วิ่งหนี ระหว่างนั้นบรรดาผู้โดยสารก็ทยอยกันให้ญาติมารับ แต่ไม่มีเสียงบ่นเรื่องรถเสีย บางคนบอกว่าชินแล้ว เสียประจำ ยายของเจ้าตัวเล็กบอกว่าเที่ยวนี้ดวงไม่ดีขาขึ้นเวียงจันทน์ก็เจอรถพัง ขากลับเปลี่ยนบริษัทรถทัวร์แล้วก็ยังไม่วายพังอีก เจ็ดโมงครึ่งรถปิกอัฟสี่ประตูของเถ้าแก่รถทัวร์มาดูอาการ รับแขกไปห้าคนและบอกว่าเดี๋ยวจะไปหาซื้อเฟืองเกียร์มาซ่อมแล้วจะส่งรถมารับคนโดยสารที่เหลือ(หมายความว่าต้องรออีกพักใหญ่ๆ ช้านานเท่าไรขึ้นอยู่กับว่าจะหาเฟืองเจ้ากรรมได้เร็วแค่ไหน)

เถ้าแก้เนี้ย คุณยายของเจ้าตัวเล็กรีบยกหูบอกให้ที่บ้านออกมารับด่วน บอกว่าบ้านอยู่หลักห้า ห่างจากจุดรถทัวร์ตายไปแค่สามสิบกิโลเอง ไม่ถึงยี่สิบนาทีรถสี่ประตูสีแดงสดของเถ้าแก่ก็มารับเจ้าหนูกับแม่และยาย เถ้าแก่เนี้ยเปิดประตูขึ้นนั่งตำแหน่งคนขับพร้อมเอ่ยปากชวนให้ไปด้วย แถมบอกว่าเดี๋ยวไปส่งในเมืองให้ (บ้านเถ้าแก่อยู่ก่อนถึงตัวเมืองห้ากิโล) ยกเป้ขึ้นรถอย่างจำยอมด้วยหมดหนทางและเกรงใจ บอกท่านไปว่าเอาผมไปส่งระหว่างทางก่อนถึงบ้านเพิ่นก็ได้ครับเอาบ้านพักโรงแรมแถวข้างๆทาง เดี๋ยวเย็นๆลูกน้องผมจะแวะรับไปอัตตะปือครับ ได้ยินเถ้าแก่กับเนี้ยคุยกันเรื่องโรงแรมโน้นโรงแรมนี้อยู่ตรงไหน สุดท้ายเถ้าแก่เนี้ยตัดสินใจให้ว่า ไปพักในเมืองดีกว่า หาของกินง่าย ไม่ต้องเกรงใจ งั้นขอแวะอาบน้ำที่บ้าน สั่งงานแล้วจะไปส่ง เจ้าตัวเล็กตื่นมาเล่นด้วยอีกครั้งจึงถอดกำไลกัลปังหาที่ซื้อมาคราวไปกระบี่ให้เจ้าตัวเล็กไปเป็นเครื่องคุ้มครอง

รถแล่นมาถึงร้านของเถ้าแก่ จอดรถแล้วเรียกให้ลงมากินน้ำกินท่า “ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ใช่พี่น้องก็ให้คิดว่าเป็นบ้านตัวเอง” เอากับพี่ท่านสิ คำพูดนี้ทำให้ลบความทรงจำด้านลบที่เคยมีต่อพี่น้องชาวไทยเชื้อสายเวียดนามไปจนหมดสิ้น ร้านคำเลิดแสงสว่าง แต่ทุกวันนี้เปลี่ยนเป็นร้านกลึง และมีป้ายใหม่เป็นโพนสีใคออโตร์ ดูโอ่อ่าหรูหรา นอกจากสี่ประตูสีแดงสด(ซึ่งน่าจะเป็นรถลูกชาย เพลงวัยรุ่นเครื่องเสียงกระหมึ่มเกินหรู) แล้วเห็นมีปราโด้จอดอยู่อีกคัน เถ้าแก่เนี้ยหายเข้าไปในบ้าน เถ้าแก่ใหญ่ยกน้ำชามาให้ ไอ้หนุ่มผมยาวลูกชายเถ้าแก่แวะมาถามว่าจะรับกาแฟไหม สักพักเถ้าแก่เนี้ยออกมาเผากระดาษไหว้เจ้า แล้วก็เรียกขึ้นรถ(เถ้าแก่เนี้ยขับเหมือนเคย เถ้าแก่ใหญ่นั่งประกบ) คุยกันมาในรถ มอบนามบัตรให้เถ้าแก่ใหญ่ เผื่อจะมีอะไรรับใช้หากไปเมืองไทย ถามอายุกันเถ้าแก่เนี้ยหัวเราะร่วน บอกว่าอายุเท่ากัน แถมยังสารภาพว่านึกว่าผมอายุหกสิบ (ปาดโท๊ะอาเจ๊นี่ ถ้าไม่ติดที่ใจดี มีเคืองกันนะเนี่ย) แต่ก็ได้แต่โทรศัพท์ไปหาคนรู้จักพรรคพวกกันที่อยู่หงสาสามสี่คน ที่นึกออกว่าเป็นคนทางปากเซ พูดให้ทางโน้นรู้ (และทางเถ้าแก่เนี้ยได้ยินด้วย) ว่ามาปากเซเจอคนใจดีช่วยเหลือชื่อร้านนี้นี้ อย่างน้อยเป็นการบอกทางอ้อมว่าเรารู้สึกขอบคุณจริงๆ

ตกลงเจ้าบ้านใจดีเลือกให้ผมมาพักที่โรงแรมแสงอรุณ โรงแรมนี้ก็เข้าท่าครับเช็คเอ้าท์สี่โมงเย็นคิดราคาแค่ครึ่งเดียว

มาปากเซ เจอแต่คนดีๆ จริงๆครับท่านผู้ชม

« « Prev : ภูเก็ต วีไอพี ขอบคุณไมตรีจาก Hillton Puket Arcadia และทอฝัน

Next : ไปเที่ยวงานที่ลาวใต้ (๒) ปากเซ เซกอง อัตตะปือ สายัญตะวันรอน » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

ความคิดเห็นสำหรับ "ไปเที่ยวงานที่ลาวใต้ (๑) รถนอนสายใต้ น้ำใจเถ้าแก่เนี้ย"

ไม่มีความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.18358492851257 sec
Sidebar: 0.030800104141235 sec