ไปเที่ยวงานที่ลาวใต้ (๑) รถนอนสายใต้ น้ำใจเถ้าแก่เนี้ย
มีงานที่อัตตะปือ มีงานที่เวียงจันทน์ มีนัดคุณหมอที่ขอนแก่น สามงานติดๆกัน จึงต้องเลือกใช้เส้นทาง กรุงเทพ-นั่งนครชัยแอร์ไปขอนแก่น-นั่งรถบัสข้ามประเทศไปเวียงจันทน์-นั่ง(นอน)รถทัวร์เตียงนอนไปปากเซ-นั่งรถตู้ทีมงานไปอัตตะปือ-นั่งรถต่อไปทำงานที่เมืองพูวงชายขอบลาวติดเขมร-นั่งรถย้อนกลับมาค้างปากเซ-นั่งรถข้ามประเทศผ่านช่องเม็กเข้าอุบล-บินเข้ากรุงเทพฯ
หลังจากรับยาหอบใหญ่จากหมอพร้อมคำขู่อีกครั้งว่ารอบหน้าถ้าไม่ดีขึ้นจะขออนุญาตเพิ่มยาอีกหนึ่งขนานหรือฉีดยาไปเลย(หุ หุ หมอใจดีพี่ท่านก็คงขู่ไปยังงั้นแหละ) นั่งรถเที่ยวเช้าจากขอนแก่นไปถึงเวียงจันทน์ตอนเที่ยง เข้าพักโรงแรมอนุพาราไดซ์สามคืน ทำงานในเวียงจันทน์ลุล่วงกับสองการประชุม อ้าวทีมงานเพิ่งมาบอกว่าขอตังค์ออกสนามวันพรุ่งนี้ เบิกจากไหนก็ไม่ทัน ข้ามกลับไปกดเอทีเอ็มของตัวเองให้ไปก่อนก็ได้(ว่ะ…เงินแสนกว่าบาทกดจากสามบัตรเต็มอัตรา….ธนาคารกสิกรที่เวียงจันทน์และทั่วลาวไม่มีนะครับ…เรื่องมันยาวเขาเล่าๆกันมา…สรุปคือต้องข้ามมากดเงินฝั่งไทย) ทีนี้ก็วางแผนเดินทางไปอัตตะปือ เที่ยวบินมีตอนเจ็ดโมงเช้าไม่ไหวแน่ๆตื่นไม่ทันแหงๆ(ตื่นจริงก็ทันนะ แต่เจ้าของงานดันจะไปไฟท์เดียวกันอีก…ไม่อยากไปครับๆเจ้าๆทั่นๆ) ทีมงานบางส่วนชวนขึ้นรถตู้ไปบอกว่าจะมารับตอนตีสี่ อันนี้ก็ไม่ไหวอีกเหมือนกัน จึงมาลงตัวที่ทางเลือกสุดท้าย คืนขึ้นรถบัสเตียงนอนไปถึงปากเซตอนเช้าแล้วรอขึ้นรถตู้ให้ไปแวะรับต่อไปอัตตะปือ
เปิดดูที่ฝรั่งแบกเป้เที่ยวเขียนกันไว้ เขาก็ว่ารถสภาพดีนอนไปตื่นที่ปากเซเลยทีเดียว ไปแวะจองตั๋วจำปาสักทัวร์ไว้ในราคาหนึ่งแสนเจ็ดสิบพันกีบน้องนางคนขายปี้เลือกที่นั่งเบอร์๕ให้ รถออกที่คิวรถขนส่งสายใต้ ออกจากตัวเมืองไปอีก ๙ กม. นอกจากมีรถไปทั่วทุกแขวงในลาวใต้แล้วยังเห็นมีรถไปหลายเมืองของเวียดนาม ใกล้เวลารถออกแบกเป้ไปแจ้งปี้แล้วก็ขึ้นประจำบ่อนนอน ไอ้หยา…เป็นเตียงนอนขนาดกว้างหนึ่งเมตรเรียงรายกันสองฟากตัวรถช่องทางเดินตรงกลางขนาดเดินได้เรียงเดี่ยว แต่ละเตียงมีหมอนสองใบผ้าห่มสองใบ โว้ว…แสดงว่าต้องนอนเบียดกันสองคน (แล้วผู้ใดจะมาเป็นคู่นอนตรูละเนี่ย) ถอดรองเท้าโดดขึ้นเตียงรอลุ้นดูหน้าคู่นอน อ้าวแล้วรองเท้าจะเอาไว้ตรงไหนล่ะขืนเอาไว้ตรงทางเดินสงสัยถูกเหยียบย่ำเตะกลิ้งไปๆมาแน่ๆ เจ้าหนุ่มเด็กรถมาช่วยจัดการยกรองเท้าวางบนชั้นเก็บของชั้นบน (โธ่ นี่แสดงว่าคุณเกือบได้อยู่ชั้นบนคนอยู่ข้างล่าง) ลองเหยียดหลังวัดความยาวปรากฏว่าพอดีกับตัวเองที่สูงร้อยหกสิบ(แล้วพวกที่ตัวยาวกว่านี้คงต้องงอตัวเวลานอน) งัดกระดานชนวนไฟฟ้ามาเปิด(เล่นเกมส์)รอรอรอ
ชะโงกมองหามุมถ่ายรูป จัดการเก็บรูปไว้อวดชาวบ้าน ได้ยินเสียงเด็กอืออออ้อแอ้อยู่เตียงใกล้ๆ แวะไปเก็บรูปเด็กตามประสาคนเฒ่าบ่มีลูกมีหลาน เจ้าหนูวัยซักขวบนิดๆนั่งอยู่ตรงกลางยิ้มใส่กล้องอย่างกับเด็กที่คุ้ยเคยกับกล้อง นั่งปุ๊กลุ๊กอยู่ตรงกลางระหว่างแม่กับยาย แวะไปเล่นด้วยก็ยิ้มโชว์ฟันสองซี่แบบไม่กลัวคนแปลกหน้า ยายของเจ้าหนูพูดภาษาเวียดกับลูกสาวด้วย(มาแอบเฉลยกันตอนหลังว่ากำลังช่วยกันดูว่าอีตาถือกล้องที่มายืนหยอกหลานตัวเองนั้นใช่คนลาวหรือไม่)
คู่นอน ใกล้เวลารถออกมีเสียงกลุ่มคนเดินคุยกันขึ้นรถมา แว่วบอกกันมาว่าที่นั่งหกถึงสิบ อ้อคู่นอนข้อยมาแล้ว ฮ่า ฮ่า ได้เจอหน้าค่าตากันเสียที อ้ายบ่าววัยใกล้เคียงกับผมในชุดซาฟารีถือถุงซาลาเปาอีกมือหนึ่งถือซาลาเปาที่กัดกินครึ่งลูกเดินเคี้ยวตุ้ยๆมาหยุดตรงเตียง พร้อมยื่นถุงซาลาเปามาชวนกิน ตอบไปว่า “สบายดีอ้าย ขอบใจเด้อ เซินแซบ น้องกินข้าวอิ่มแล้ว” พี่แกรกระโดดขึ้นเตียงกินซาลาเปาต่อ กินพลางชวนคุยกันไป “ขออนุญาตเด้อหัวหน้า เจ้าไปปากเซบ่ ยืมแว่นตาแนข้อยสิตึ่มเงินโทละสับเบิ่งบ่เห็นเลข ข้อยกินเบียร์หมดมื้อ มางานศพอ้ายช่วยเวียกเพิ่นได้สี่มื้อแล้วบ่ได้หลับได้นอน มื้อนี้เผาแล้วสิกลับปากเซ” (โห พี่ท่านจากงานสีดำมา อาบน้ำเปลี่ยนชุดมาป่าวว่ะเนี่ย…ช่างเหอะไม่เป็นไรเราเองก็ไปประชุมมาทั้งวันบ่ได้อาบน้ำเปลี่ยนชุดคือกัน ฮ่า ฮ่า สมน้ำสมเนื้อ) รถออกไม่ทันถึงสามแยกแรก พี่ท่านก็กลายร่างเป็นโรงสี โรงสีที่ปล่อยกลิ่นส่าเหล้าออกมาด้วย ก็พี่แกรไม่ได้นอนมาตั้งสามสี่วัน ทนได้ ทนได้ เดี๋ยวง่วงจัดๆลงหลับไปเองเรา ระหว่างนี้เอาหูฟังแบบเสียบเข้าไปในรูหูมาฟังเพลงจากกระดานชนวนไฟฟ้าไปพลางๆก่อน
รถวิ่งแบบกระฉึกกระชักตามแต่ที่จะตกหลุมเล็กใหญ่ขนาดไหน พอถึงเมืองใหญ่ๆก็เปิดไฟสว่างโร่พร้อมเด็กรถมาตะโกนบอกให้ผู้โดยสารที่จะลงกลางทางรีบเตรียมตัวลง เที่ยงคืนถึงเมืองปากซัน อีกสองชั่วโมงถึงเมืองท่าแขก ตีสี่ถึงเมืองสวรรณเขต ตอนนี้พี่ท่านตื่นมาดื่มน้ำแล้วไปห้องน้ำ ได้โอกาสลงไปห้องน้ำบ้างพี่แกรชี้ทางให้บอกว่าเดินไปทางท้ายรถแล้วมีบันไดลงไป ทุลักทุเลพอใช้กว่าจะเปิดประตูได้ หาที่เปิดไฟยังไงก็ไม่เจอ อาศัยแสงจากมือถือ
รถเสีย ม่อยหลับไปตอนไหนไม่รู้มารู้สึกตัวอีกทีตอนฟ้าสาง อ้ายคู่นอนปลุกรับผ้าเย็น รับมาแล้วนอนต่องัวเงียถามอ้ายว่าสิฮอดแล้วบ่อ้ายบอกว่าอีกร้อยกว่าหลัก แว่วเสียงคนคุยกันว่ารถช้ารถจอดมาสองครั้งแล้ว เออจริงแฮะ รถวิ่งแบบไม่มีความเร่ง ไปต่ออีกหนึ่งชั่วโมงก็จอดสนิท ผู้คนเริ่มทยอยกันลงไปใช้”ห้องน้ำรวม”สองข้างทาง เราลงมั่งดีกว่า เห็นเด็กรถลงไปนอนยาวใต้ท้องรถเคาะกันโป้งๆ สักพักก็เรียกขึ้นรถ คิงส์บัสเคลื่อนตัวเอื่อยๆอีกครั้ง และสุดท้ายก็แวะเข้าจอดที่ปั๊มน้ำมันที่อีกสี่สิบเจ็ดกม.จะฮอดปากเซ โชเฟอร์บอกว่าเดี๋ยวมีรถมารับ พร้อมให้เด็กยกกระเป๋าสัมภาระทุกใบลงกองไว้ที่ข้างรถ
รอ รอ รอ รอไปก็เล่นกับเจ้าตัวเล็กไป ซนใช้ได้วิ่งๆไปหกล้มไปร้องไห้ไปเดี๋ยวก็ยิ้มไป เดินมาป้วนเปี้ยนแถวกระดานชนวนพอเปิดเกมส์ให้เล่นก็วิ่งหนี ระหว่างนั้นบรรดาผู้โดยสารก็ทยอยกันให้ญาติมารับ แต่ไม่มีเสียงบ่นเรื่องรถเสีย บางคนบอกว่าชินแล้ว เสียประจำ ยายของเจ้าตัวเล็กบอกว่าเที่ยวนี้ดวงไม่ดีขาขึ้นเวียงจันทน์ก็เจอรถพัง ขากลับเปลี่ยนบริษัทรถทัวร์แล้วก็ยังไม่วายพังอีก เจ็ดโมงครึ่งรถปิกอัฟสี่ประตูของเถ้าแก่รถทัวร์มาดูอาการ รับแขกไปห้าคนและบอกว่าเดี๋ยวจะไปหาซื้อเฟืองเกียร์มาซ่อมแล้วจะส่งรถมารับคนโดยสารที่เหลือ(หมายความว่าต้องรออีกพักใหญ่ๆ ช้านานเท่าไรขึ้นอยู่กับว่าจะหาเฟืองเจ้ากรรมได้เร็วแค่ไหน)
เถ้าแก้เนี้ย คุณยายของเจ้าตัวเล็กรีบยกหูบอกให้ที่บ้านออกมารับด่วน บอกว่าบ้านอยู่หลักห้า ห่างจากจุดรถทัวร์ตายไปแค่สามสิบกิโลเอง ไม่ถึงยี่สิบนาทีรถสี่ประตูสีแดงสดของเถ้าแก่ก็มารับเจ้าหนูกับแม่และยาย เถ้าแก่เนี้ยเปิดประตูขึ้นนั่งตำแหน่งคนขับพร้อมเอ่ยปากชวนให้ไปด้วย แถมบอกว่าเดี๋ยวไปส่งในเมืองให้ (บ้านเถ้าแก่อยู่ก่อนถึงตัวเมืองห้ากิโล) ยกเป้ขึ้นรถอย่างจำยอมด้วยหมดหนทางและเกรงใจ บอกท่านไปว่าเอาผมไปส่งระหว่างทางก่อนถึงบ้านเพิ่นก็ได้ครับเอาบ้านพักโรงแรมแถวข้างๆทาง เดี๋ยวเย็นๆลูกน้องผมจะแวะรับไปอัตตะปือครับ ได้ยินเถ้าแก่กับเนี้ยคุยกันเรื่องโรงแรมโน้นโรงแรมนี้อยู่ตรงไหน สุดท้ายเถ้าแก่เนี้ยตัดสินใจให้ว่า ไปพักในเมืองดีกว่า หาของกินง่าย ไม่ต้องเกรงใจ งั้นขอแวะอาบน้ำที่บ้าน สั่งงานแล้วจะไปส่ง เจ้าตัวเล็กตื่นมาเล่นด้วยอีกครั้งจึงถอดกำไลกัลปังหาที่ซื้อมาคราวไปกระบี่ให้เจ้าตัวเล็กไปเป็นเครื่องคุ้มครอง
รถแล่นมาถึงร้านของเถ้าแก่ จอดรถแล้วเรียกให้ลงมากินน้ำกินท่า “ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ใช่พี่น้องก็ให้คิดว่าเป็นบ้านตัวเอง” เอากับพี่ท่านสิ คำพูดนี้ทำให้ลบความทรงจำด้านลบที่เคยมีต่อพี่น้องชาวไทยเชื้อสายเวียดนามไปจนหมดสิ้น ร้านคำเลิดแสงสว่าง แต่ทุกวันนี้เปลี่ยนเป็นร้านกลึง และมีป้ายใหม่เป็นโพนสีใคออโตร์ ดูโอ่อ่าหรูหรา นอกจากสี่ประตูสีแดงสด(ซึ่งน่าจะเป็นรถลูกชาย เพลงวัยรุ่นเครื่องเสียงกระหมึ่มเกินหรู) แล้วเห็นมีปราโด้จอดอยู่อีกคัน เถ้าแก่เนี้ยหายเข้าไปในบ้าน เถ้าแก่ใหญ่ยกน้ำชามาให้ ไอ้หนุ่มผมยาวลูกชายเถ้าแก่แวะมาถามว่าจะรับกาแฟไหม สักพักเถ้าแก่เนี้ยออกมาเผากระดาษไหว้เจ้า แล้วก็เรียกขึ้นรถ(เถ้าแก่เนี้ยขับเหมือนเคย เถ้าแก่ใหญ่นั่งประกบ) คุยกันมาในรถ มอบนามบัตรให้เถ้าแก่ใหญ่ เผื่อจะมีอะไรรับใช้หากไปเมืองไทย ถามอายุกันเถ้าแก่เนี้ยหัวเราะร่วน บอกว่าอายุเท่ากัน แถมยังสารภาพว่านึกว่าผมอายุหกสิบ (ปาดโท๊ะอาเจ๊นี่ ถ้าไม่ติดที่ใจดี มีเคืองกันนะเนี่ย) แต่ก็ได้แต่โทรศัพท์ไปหาคนรู้จักพรรคพวกกันที่อยู่หงสาสามสี่คน ที่นึกออกว่าเป็นคนทางปากเซ พูดให้ทางโน้นรู้ (และทางเถ้าแก่เนี้ยได้ยินด้วย) ว่ามาปากเซเจอคนใจดีช่วยเหลือชื่อร้านนี้นี้ อย่างน้อยเป็นการบอกทางอ้อมว่าเรารู้สึกขอบคุณจริงๆ
ตกลงเจ้าบ้านใจดีเลือกให้ผมมาพักที่โรงแรมแสงอรุณ โรงแรมนี้ก็เข้าท่าครับเช็คเอ้าท์สี่โมงเย็นคิดราคาแค่ครึ่งเดียว
มาปากเซ เจอแต่คนดีๆ จริงๆครับท่านผู้ชม
« « Prev : ภูเก็ต วีไอพี ขอบคุณไมตรีจาก Hillton Puket Arcadia และทอฝัน
Next : ไปเที่ยวงานที่ลาวใต้ (๒) ปากเซ เซกอง อัตตะปือ สายัญตะวันรอน » »
ความคิดเห็นสำหรับ "ไปเที่ยวงานที่ลาวใต้ (๑) รถนอนสายใต้ น้ำใจเถ้าแก่เนี้ย"