พ่อขุนรามคำแหงมหาราชน่าจะประสูติที่ “นครไทย”????

4844 ความคิดเห็น โดย แสวง เมื่อ 13 February 2010 เวลา 12:26 am ในหมวดหมู่ การศึกษา, การเรียนกรสอน
อ่าน: 25929

ไฟล์:Ramkhamhaeng the Great.jpg

ตั้งแต่วันที่ผมไปเยี่ยมชมอำเภอนครไทย เมื่อสัปดาห์ก่อน เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ไทย ที่เกี่ยวข้องกับการก่อกำเนิดของราชวงศ์พระร่วงและกรุงสุโขทัย

ทำให้ผมได้มีโอกาสคิดใคร่ครวญถึงว่า พ่อขุนรามคำแหง น่าจะประสูติที่เมืองนี้ และไม่น่าจะไกลจากต้นจำปาขาว ที่พ่อขุนบางกลางท่าวได้ปลูกเป็นอนุสรณ์ไว้ เมื่อกว่า ๗๐๐ ปีมาแล้ว

และบริเวณนี้ปัจจุบันเป็นวัดกลาง อยู่ริมแม่น้ำเดิมที่เป็นลำน้ำสำคัญของเมือง ในบริเวณตัวอำเภอเมืองนครไทยนั่นเอง

ที่ผมคิดเช่นนี้เนื่องมาจากพ่อขุนบางกลางท่าวอพยพมาตั้งกองกำลังอยู่ที่เมืองบางยางตั้งแต่ปี พ.ศ. ๑๗๗๘ และ พ่อขุนรามคำแหงมหาราชก็ประสูติเมื่อประมาณ ปี พ.ศ. ๑๗๘๒

เมื่อพ่อขุนบางกลางท่าวได้ครองกรุงสุโขทัย เมื่อปี พ.ศ. ๑๗๙๒ นั้น พ่อขุนรามคำแหง ก็อาจย้ายตามไปอยู่กรุงสุโขทัย เมื่อพระชนมายุ ๑๐ พรรษา

และ หลังจากนั้นท่านก็ได้เข้าศึกษาที่เมืองละโว้ ร่วมชั้นกับพระยาเม็งรายมหาราช และพ่อขุนงำเมือง แห่งเมืองพะเยา ณ สำนักพระสุตทันตฤๅษี

เมื่อประมาณ พ.ศ. ๑๘๐๑ เมื่อท่านมีพระชนมายุได้ ๑๙ พรรษา ได้ชนช้างชนะขุนสามชน เจ้าเมืองฉอด จนได้ครองราชย์ในปี พ.ศ. ๑๘๒๒ ถึง ๑๘๔๑ รวม ๑๙ ปี โดยประดิษฐ์ “ลายสือไทย” ในปี พ.ศ. ๑๘๒๖

จากลำดับเหตุการณ์ทั้งในเชิงเวลาและสถานที่ที่มีผู้สันนิษฐานไว้

แม้จะมีข้อสันนิษฐานทางประวัติศาสตร์ของไทย แตกต่างออกไป

แต่ภายใต้เงื่อนไขนี้

ผมจึงขอสันนิษฐานต่อว่า บริเวณวัดกลาง หรือใกล้เคียงบริเวณนั้นน่าจะเป็นสถานที่ประสูติของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชครับ

ไม่ทราบว่าท่านผู้รู้ มีข้อมูลชัดกว่านี้ไหมครับ

ขอบคุณมากครับ


เหรียญ ๑๒ นักษัตรของจีน สำหรับคนเกิดปีขาล

15057 ความคิดเห็น โดย แสวง เมื่อ 11 February 2010 เวลา 4:35 am ในหมวดหมู่ ปรัชญาชีวิต
อ่าน: 98428

ในปี ๒๕๕๓ เป็นปีขาล ที่ถือว่าเป็น “ปีชง” สำหรับคนเกิดปีขาล

และบังเอิญผมมีเหรียญประเภทนี้อยู่ชุดหนึ่ง ตั้งแต่สมัยที่ผมทำตัวเป็นนักสะสมเหรียญกษาปณ์

ได้มีคนนำมาให้ ผมก็เก็บไว้แบบนักสะสมมากกว่าที่จะนำมาใช้จริงๆ

เหรียญทั้งหมดเป็นเหรียญที่กำกับไว้ด้วยภาษาจีน

Coin001

ด้านหลังของทุกเหรียญ มีสัญญลักษณ์หยินหยาง ล้อมรอบด้วยตราประจำนักษัตร

Coin003

สำหรับคนที่เกิดปีขาล นั้น ผมได้ข้อมูลมาว่า

เหรียญที่ควรพกพาให้ถูกโฉลก ก็คือ

Coin002

และ นักษัตรที่เป็นบริวารของคนปีขาล ก็คือคนปีจอ

Coin004

สิ่งที่ควรพกพาเสริมบารมี ของคนปีขาลก็ยังมี สัญญลักษณ์รูปม้า

Coin005

และ สัญญลักษณ์รูปหมู

Coin006

โดยมี “กวนอู” เป็นเทพเจ้าประจำราศี

ที่อาจใช้รูป รูปหล่อ รูปแกะสลัก หรือลูกปัดที่มีรูปของกวนอู แขวนก็ได้

Coin00001

ลูกปัดรูปเทพเจ้ากวนอู

 

ผมได้ข้อมูลมาประมาณนี้ครับ


พระพุทธรูปยุคทวาราวดี คือต้นแบบของพระกรุ และพระพุทธรูปปัจจุบัน

7905 ความคิดเห็น โดย แสวง เมื่อ 10 February 2010 เวลา 7:12 pm ในหมวดหมู่ การศึกษา
อ่าน: 35007

ในระยะสองสามเดือนที่ผ่านมา ผมมีวาสนาที่ได้รับพระกรุยุคทวาราวดีมาบูชา เป็นจำนวนหลายองค์ ที่นับได้ว่ามากพอที่จะจัดหมวดหมู่ทั้งในเชิงของวัสดุ และศิลปะ ได้อย่างหลากหลาย

เนื่องจากผมมีพรรคพวกในวงการพระเครื่อง ที่รู้ว่าผมชอบพระ “ทวาราวดี” ก็เลยนำมาให้บ่อยมาก จนเกือบจะเป็นทุกวัน

ทำให้ผมสามารถศึกษารูปแบบของพระพุทธรูปได้

เช่น ที่ผมเคยเขียนไปแล้วก็คือ พระจุฬามณี ที่เป็นทั้งต้นแบบของพระนางพญา และพระพุทธชินราช และพระหลักๆของเมืองพิษณุโลก

Shinarat024small

พระจุฬามณี ที่เป็นต้นแบบของพระนางพญาพิษณุโลก

Chulamanee3

ลักษณะของซุ้มพระจุฬามณี ที่เหมือนซุ้มของพระพุทธชินราช จังหวัดพิษณุโลก

เมื่อหลายเดือนก่อนผมก็ได้ พระทวาราวดีของภาคกลาง ที่มีเค้าร่างของพระพุทธรูปศิลปะอู่ทอง

007

พระทวาราวดีไม่ทราบที่ ที่มีเค้าของพระศิลปะอู่ทอง

เมื่อเดือนที่แล้วก็ได้พระกรุดอยคำ ที่เป็นเค้าร่างของพระรอด

Evolution013

พระกรุดอยคำ ยุคทวาราวดี

เมื่อวันก่อนผมก็ได้พระทวาราวดี ที่เป็นเค้าร่างของพระร่วงนั่ง

Sritep5

พระทวาราวดี ไม่ทราบที่ ที่เป็นต้นแบบของพระร่วงนั่งสมัยลพบุรี

 005

พระยุคทวาราวดี ไม่ทราบที่ ที่เป็นต้นแบบของพระร่วงยืนลพบุรี

 

เมื่อวานผมก็ได้พระทวาราวดี ที่มีลักษณะคล้ายพระศิลปะเชียงแสน (ดังรูป)

Coin007

พระทวาราวดี ที่คล้ายกับพระศิลปะเชียงแสน

เมื่อมีเหตุการณ์คล้ายคลึงกันซ้ำๆ หลายครั้ง

ผมจึงได้สรุปคร่าวๆว่า พระทวาราวดี น่าจะเป็นต้นแบบของพระกรุในระยะหลังๆ ตั้งแต่ยุคลพบุรี เชียงแสน ลำพูน สุโขทัย และอยุธยาตามลำดับ

ที่เป็นวิวัฒนาการของศิลปของการสร้างพุทธรูปที่น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง

ถูกผิดอย่างไรก็หวังว่าผู้รู้จะชี้แนะครับ


เรียนประวัติ “กรุงสุโขทัย” จากการเดินทางไป “นครไทย”

16460 ความคิดเห็น โดย แสวง เมื่อ 10 February 2010 เวลา 12:55 am ในหมวดหมู่ การศึกษา, การเรียนกรสอน
อ่าน: 95143

เมื่อวันที่ ๘ กพ ๒๕๕๓ ผมได้มีโอกาสไปศึกษาประวัติศาสตร์ไทย ที่ผมศึกษามาตั้งแต่ชั้นประถม แต่ไม่เคยเข้าใจเท่าวันนี้

ในประเด็นการก่อกำเนิดของกรุง “สุโขทัย” ที่เราเริ่มนับว่าเป็น “ไทย” ซึ่งแม้ปัจจุบันผมก็ยังไม่ทราบว่าทำไมเริ่มจากยุคสุโขทัย

เพราะจากการศึกษาประวัติศาสตร์แถบนี้ ผมคิดว่าชนชาติที่เป็นต้นตระกูลของเรา น่าจะย้อนไปถึงยุคบ้านเชียงเป็นอย่างน้อย

แล้วก็ไล่เลียงมาถึงเมืองโบราณต่างๆต่อมาจากนั้น อีกหลายร้อยเมือง ที่ไม่ปรากฏชื่อจริง มีแต่นามสมมติแบบเดียวกับบ้านเชียง

หรือแม้กระทั่งใต้ถุนบ้านผมเองในปัจจุบันก็เป็นเมืองเก่า ที่กำหนดเป็นชื่อใหม่ว่า “โนนชัย”

แต่โดยยุคแล้วเราก็น่าจะนับย้อนไปถึงยุค ศรีเกษตร ยุคฟูนัน ยุคทวาราวดี ยุคลพบุรี อีกด้วย

ที่มีเมืองมีชื่อจริงปรากฏอยู่มากมาย เช่น จำปาศรี (นาดูน) คันธาระ (กันทรวิชัย) ฟ้าแดดสงยาง (กมลาไสย) ศรีมหาโพธิ์ ศรีมโหสถ ฯลฯ

แต่ก็ไม่เป็นไร จะเริ่ม สุโขทัยก็สุโขทัย

และเป็นเรื่องที่ผมไม่เคยทราบมาก่อนว่าเมืองบางยางอยู่ในหุบเขา แบบเดียวกับเมืองราด (ของพ่อขุนผาเมือง)

ที่น่าจะเป็นที่ที่เหมาะสมในการตั้งกองกำลังซ้องสุมผู้คน ที่คนภายนอกบุกรุกได้ยาก แต่บุกไปโจมตีผู้อื่นภายนอกหุบเขาได้ง่าย เพราะมีแนวเขาเป็นกำแพงเมืองตามธรรมชาติ

และเมื่อผมพยายามเชื่อมโยงทั้งสองเมืองเข้าด้วยกัน ก็พบว่า ทั้งสองเมืองเกือบจะเป็นเมืองแฝด

ที่อยู่ในหุบเขาทั้งคู่ ที่น่าจะติดต่อกันเป็นประจำ เมื่อจะต้องรบ ก็คงช่วยกันรบ

 

Bangyang001

อนุสาวรีย์ พ่อขุนบางกลางท่าว

Bangyang002

ประวัติย่อของพ่อขุนบางกลางท่าว

จากประวัติที่ว่า มีการซ่องสุมไพร่พล ข้อนี้ผมเพิ่งทราบ เพราะที่เรียนมาก็แค่เป็นเจ้าเมืองที่ถูกกดขี่ ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการมากมาย จึงยกกำลังเข้าสู้

ที่อาจแตกต่างไปเล็กน้อย

และการยกไปตีเอากรุงสุโขทัย (เมืองหน้าด่านของขอม) ก็เป็นเรื่องใหม่ที่ผมเพิ่งเข้าใจ

ว่า เดิมที่นั่น คงจะเป็นเมืองขอม เมื่อยึดได้ก็ตั้งเป็นเมือง “ไทย” โดยถือว่าราชวงค์และพสกนิกรของพ่อขุนบางกลางท่าวเป็น “ต้นตระกูลไทย”

แล้วครองราชต่อมาอีกหลายรัชกาล จนกะทั่งศูนย์ขั้วอำนาจเปลี่ยนไปเป็นกรุงศรีอยุธยาในเวลาต่อมา

ที่ผมคิดว่าคนกลุ่มนี้ก็น่าจะเป็นเผ่าไทยเช่นเดียวกัน

แต่ทำไมเราจึงไม่นับเผ่าไทยเหล่านั้นเป็นต้นตระกูลไทยด้วย

ข้อนี้ผมก็ยังคงเป็นข้อสงสัยเช่นเดิม

แต่ เอาเป็นว่า

พ่อขุนบางกลางท่าว หรือพ่อขุนศรีอินทราทิตย์นั้น ได้มีชัยภูมิของการตั้งกองกำลังที่ดี อยู่ในหุบเขา มีแนวเขาเป็นกำแพงเมือง เข้าออกยาก

สามารถรบได้ดี จนได้ชัยชนะเหนือ “ขอม” และควบคุมเมืองอื่นๆ ให้อยู่ใต้อำนาจ จนมีการเปลี่ยนแปลงศูนย์อำนาจในระยะต่อๆมา

นี่คือบทเรียนที่ผมได้จากการไปกราบไหว้อนุสาวรีย์ของท่าน

ที่วัดกลาง อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก ครับ

วันหลังจะไปเยื่ยมชมเมืองราด และเมืองศรีเทพ ที่ผคิดว่าน่าจะไขปริศนาได้อีกหลายประเด็นครับ

แล้วจะมาเล่าให้ฟังครับ


ความรู้และเทคโนโลยีเพื่อการหลอกลวงตนเอง

6 ความคิดเห็น โดย แสวง เมื่อ 8 February 2010 เวลา 9:04 am ในหมวดหมู่ อาหารปลอดภัย
อ่าน: 2286

วันนี้ผมได้สนทนาวิชาการเล็กๆน้อยๆกับลูกสาวที่กำลังเรียนมหาวิทยาลัย ชั้นปีที่ ๓ และเตรียมสอบวิชาเกี่ยวกับ “ระบบประสาทของมนุษย์”

ที่เป็นสื่อสำคัญทำให้ให้เรา “รู้ตัว” “รักษาตัวเอง” และ “เอาตัวรอด” ในสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างน่าทึ่งจริงๆ

มี ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจมากคือ ความสามารถในการรับรสชาติอาหาร ที่เป็นสื่อของความ “อร่อย” ว่าคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร มีอะไรเป็นตัวกระตุ้นระบบทำงาน มีไว้ทำอะไรในระบบของสิ่งมีชีวิต

หลัง จากการวิเคราะห์ประเด็นทางชีววิทยาและวิวัฒนาการ เราได้ข้อสรุปว่า แท้ที่จริง “ความอร่อย” ก็คือการรับรู้ว่ามี “กลูตาเมท” ในอาหารชนิดนั้นๆ

แล้ว “กลูตาเมท” มีประโยชน์ต่อระบบการบริโภคอาหารของสิ่งที่มีชีวิต อย่างไร

เรา เริ่มวิเคราะห์แบบสืบค้นต่อไป ก็พบว่า “กลูตาเมท” จะมีมากในเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิตที่มีกิจกรรมสูง เมื่อมีกิจกรรมสูง ก็น่าจะมีสารอาหารมาก เมื่อมีสารอาหารมาก ก็มีคุณค่าควรแก่การบริโภคมาก

คิดไปแล้วน่าทึ่งจริงๆ ทางด้านวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ช่างชาญฉลาดจริงๆ

แสดงว่า ความอร่อยน่าจะเป็นระบบการรับรู้ที่ช่วยให้เราบริโภคอาหารที่มีคุณค่าโดยแทบไม่ต้องใช้ความรู้ทางโภชนาการอะไรเลย ก็ได้

ไม่ต้องมีความรู้อะไรมาก แค่ “อร่อย” แบบธรรมชาติ ก็มีโอกาสได้สารอาหารดีๆ ที่สุดที่มีในอาหารประเภทนั้นแล้ว

แต่ต้องเป็น “ความอร่อย” ตามธรรมชาติ ไม่มีการ “ปรุงแต่ง” หรือ “ใช้สารเคมีหลอกตัวเอง”

ในอีกมุมหนึ่ง การรับรสชาติน่าจะกลไกธรรมชาติในการป้องกันการบริโภคสารพิษ อาหารบูดเน่า ที่อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้

แต่

ใน ในสังคมของเรากลับหาวิธี “หลอกตัวเอง” ด้วยการปรุงแต่งรสชาติอาหารโดยวิธีต่างๆ เพื่อ ทำอาหารให้เสมือนหนึ่ง “มีคุณค่า” ทางโภชนาการ กระตุ้นการบริโภค ด้วยเครื่องปรุงรสต่างๆ

ตั้งแต่สมัยโบราณมาก็ใช้ เกลือ น้ำตาล เครื่องเทศ ที่บางอย่างก็อาจมีคุณค่าทางโภชนาการ หรือด้านเภสัชกรรม แต่หลายๆอย่างก็ไม่ค่อยมีประโยชน์ และอาจเป็นพิษเป็นภัยก็เป็นได้ เช่นการบริโภคอาหารรสจัดทั้งหลายนั้น เป็นการหลอกตัวเองอย่างสุดๆ และน่าจะมีผลเสียมากกว่าผลดี

ใน ปัจจุบัน เรายังมีการผลิตสารเคมี “กลูตาเมท” เพื่อใส่ในอาหารแบบ “ยิงหมัดตรง” หลอกตัวเองอย่างสุดๆ ว่า อาหารที่ตนเองรับประทานนั้นมี “กลูตาเมท” ที่เป็นตัวชี้วัดทางธรรมชาติ และชีววิทยา ว่า มีคุณค่าทางโภชนาการ โดยที่ สิ่งที่จะบริโภคนั้น อาจจะไม่ใช่อาหาร หรือ ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการแต่อย่างใด

และพบว่า การหลอกตัวเองในลักษณะนี้ มีอยู่ในทุกรูปแบบ ทั้ง สัมผัส รูป รส กลิ่น เสียง

ทั้งๆ ที่ ระบบประสาทเหล่านี้ น่าจะมีไว้เพื่อการรับรู้ธรรมชาติ สิ่งที่เป็นอยู่รอบตัวเรา เพื่อให้เราได้รู้ตัวว่า เรากำลังเผชิญอะไรอยู่ และควรตอบสนองอย่างถูกต้องได้อย่างไร ทั้งการตอบรับ การวางเฉย หรือปฏิเสธ

แต่ มนุษย์เรากลับใช้สมอง ใช้ความรู้เพื่อจะหลอกตัวเองให้ไม่รู้ตัว ด้วยการปรุงแต่งอย่างเทียมๆ ให้เกิดการบริโภคอย่างผิดๆ ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว

ตั้งแต่ การปรุงอาหาร ที่ส่วนใหญ่ก็ “หลอก” แบบ “หวังดี” ที่บางทีก็เกิด “ผลร้าย” ไปจนถึง การปรุงรสสารพิษ สารเสพติด (เช่น แอลกอฮอล์ นิโคติน แอมเฟตามีน ฯลฯ) ให้บริโภคง่ายขึ้น ที่ไม่ทราบว่า “หวังดี” หรือ “หวังร้าย” กันแน่

แต่ ผมกลับคิดว่า เราน่าจะเน้นความพยายามเข้าใจตนเอง เข้าใจธรรมชาติ ใช้ความรู้ เทคโนโลยีเพื่ออยู่กับธรรมชาติแบบ “ไม่หลอกตัวเอง” น่าจะดีกว่า

สิ่ง ที่ครอบครัวของผมเลิกไปนานกว่า ๒๐ ปีแล้วก็คือ ไม่สนับสนุน และไม่บริโภคสารเคมีปรุงรส อาหารซอง หรือน้ำอัดลมใส่สี ใส่กลิ่น ใส่สารปรุงรส และสารกันบูดเน่า ที่หลอกให้เราบริโภคสิ่งที่ไม่ค่อยเป็นประโยชน์

และ เราเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มีโทษ มากกว่ามีประโยชน์

ส่วน ตัวผมเอง แม้แต่ยาแก้ไข้แก้ปวด ที่หลอกตัวเองว่า “ปกติดี” ผมก็ไม่รับประทาน เพราะผมอยากรู้ว่าตอนนี้ ร่างกายกำลังเป็นอะไร มากแค่ไหน ที่ตรงไหน

ที่ผมคิดว่าดีกว่า “การปิดบังตัวเอง ไม่ให้ตัวเองรู้ ว่าตัวเองกำลังเป็นอะไร”

ข้อนี้ก็แล้วแต่ความชอบส่วนบุคคล ที่ไม่จำเป็นต้องว่าอะไรดีไม่ดี

แต่ผมคิดว่า การใช้ความรู้และเทคโนโลยี เพื่อการหลอกตัวเอง ปิดบังตัวเอง หรือแม้กระทั่งทำลายตนเอง ไม่น่าจะดีสักเท่าไหร่

ผมไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยครับ



Main: 0.16737699508667 sec
Sidebar: 5.7053618431091 sec