รักแม่

649 ความคิดเห็น โดย น้องจิ เมื่อ 12 สิงหาคม 2009 เวลา 23:33 ในหมวดหมู่ Uncategorized #
อ่าน: 5619

…..ตลอดระยะเวลา ๑๘ ปีที่ลืมตาดูโลก…ไม่ว่าวันไหนๆ…ไม่เคยมีวันใดที่คุณแม่ไม่ใส่ใจลูกคนนี้….มีคำกล่าวมากมายว่า รักใดใด มิเทียบเท่ารักของแม่ที่มอบให้ลูก…น้องจิก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้…

…..พอถึงวันแม่…ทุกคนก็จะให้ความสำคัญกับแม่เป็นหลัก….ส่วนใหญ่ก็จะเขียนบันทึกที่เกี่ยวกับความรักของแม่….แต่สำหรับน้องจิแล้ว…วันนี้ถือว่าเป็นวันธรรมดามาก ไม่ได้พิเศษไปกว่าทุกวัน…เพราะความรัก ความห่วงใยที่น้องจิมีต่อแม่..ก็มีอย่างนี้สม่ำเสมอ ไม่เคยลดน้อยลง…

…..สองมือแม่ที่คอยอุ้มชูน้องจิมาตั้งแต่น้องจิลืมตา มาวันนี้มือคู่นั้นก็ยังอุ้มและมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้น้องจิมิเคยเปลี่ยนแปลง

…..สองตาแม่  ที่สอดแทรกความห่วงใย ความหวังดีให้น้องจิเป็นแววตาที่มองแล้วรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ตาคู่นั้นแหละ คือหัวใจของแม่โดยแท้

…..วันนี้น้องจิเดินทางกลับจากมหาวิทยาลัย  น้องจิทำของขวัญมาให้แม่  แต่ชีวิตของน้องจิเติบโตมาได้ มิเพียงแค่สองมือแม่เท่านั้น แต่ชีวิตน้องจิมีอีกหลายมือที่คอยอุ้มอยู่จนน้องจิมีถึงทุกวันนี้

…..ทุกครั้งที่น้องจิเขียนบันทึกเกี่ยวกับวันแม่…ก็จะขาดป้าไม่ได้….ทุกวันนี้ ผู้ที่มีศักดิ์เป็นป้าน้องจิ ….น้องจิไม่เคยเอ่ยปากเรียกว่าป้าสักคำ…เพราะน้องจิใช้คำเรียกว่า แม่  มาตลอดดังนั้น น้องจิมิได้มีแม่ผู้ให้กำเนิดเท่านั้น ยังมีแม่ผู้คอยถนุถนอมน้องจิอีกด้วย

……ขอบคุณสวรรค์ที่บันดาลให้ฉันได้อยู่กับแม่

……ขอบคุณสวรรค์ที่ส่งรักแท้มาให้ฉัน

……ขอบคุณสองมือที่โอบอุ้มคุ้มชีวัน

……อุ่นในรักยังคงมั่น ให้แด่บรรดาแม่ของน้องจินั้น  มีความสุขทุกวันคืน

……..แม่ครู ผู้มอบวิชาความรู้  ฝึกให้กางปีกใช้ชีวิต…บินอยู่ในสังคมอย่างกล้าหาญและมีคุณค่า

……..แล้วอย่างนี้ คำว่าแม่ จะไปจบที่ตรงไหน ในความรู้สึกของน้องจิแล้ว คำว่า แม่ไม่มีคำบรรยายหรือประเมินค่าได้  มันคงจะเป็น อินฟินิตี้ ในความรู้สึก

…….ขอให้ทุกวัน เป็นวันของแม่ และของทุกๆคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนนับถือ สิ่งประเสริฐที่ทุกคนยอมรับ จงมาอยู่กับ “แม่” ทุกคืนวัน

อยากบอกว่า ” รักคุณแม่ทุกวัน ไม่เว้นเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดราชการ นะคะ “


สะเก็ดภาพ…จากกะเหรี่ยง

6 ความคิดเห็น โดย น้องจิ เมื่อ 20 กรกฏาคม 2009 เวลา 22:46 ในหมวดหมู่ Uncategorized #
อ่าน: 3110

สวัสดีเจ้าค่ะทุกๆท่าน…วันนี้น้องจิเก็บภาพบรรยากาศจากหมู่บ้านตะเพินคี่มาฝากอีกเช่นเคย…คราวนี้มีมากกว่าเดิม…ลองมาชมภาพบรรยากาศกันนะคะ

ถึงท่ารถด่านช้างแล้วค่ะ รอครูใหญ่มารับไปหมู่บ้าน…เก๊กกันก่อนขึ้นรถสักหน่อย อิอิ

พอไปถึงหมู่บ้านก็ไม่เป็นแสงอาทิตย์ซะแล้ว ……..เย็นมากๆค่ะ

ตื่นเช้ามาพบกับธรรมชาติที่สดใส..ล้างหน้า แปรงฟัน ..(ไม่ต้องอาบน้ำ)

อิ่มพุงกางไปกับกุนเชียงย่างฝีมืออาจารย์….แล้วออกลุยสวนลำไยค่ะ

ต้นไม้หลากหลายชนิด…ที่ไม่เคยเห็น

ไปหาผู้ใหญ่บ้านจะเอ็งในไร่…ผู้ใหญ่กำลังดายหญ้าด้วย”แหวะ”และ”ตะเพ้า”(เสียม)ในไร่ข้าว…ในไร่ข้าวก็จะมีผักนานาชนิด เช่น ฟักทอง(เล่อเก้ซา) แตงกวา(ถี่คว้าซา) ฯลฯ

เด็กซ่าอยากชิมพริกกะเหรี่ยงว่าเผ็ดแค่ไหน…ดูสีหน้าแล้วคงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณเลยค่ะ อิอิ

บรรยากาศสดชื่นมากๆน่าวิ่งขึ้นเขาสัก 10 รอบ

สำรวจหมู่บ้านไปเรื่อยๆก็ไปถึงน้ำตกตะเพินคี่น้อย….น้ำเย็นมากๆค่ะ

พักเหนื่อยกันนิดหน่อย….ก่อนออกเดินต่อ

ชาวบ้านกำลังทอย่ามเจ้าค่ะ…สีสันสดใสสุดๆ

ตอนเช้าชาวบ้านจะตักบาตรกันแต่เช้า….และก็ต้องกินข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตา..มื้อนี้มีน้องจิร่วมวงด้วยนะเนี่ย อิอิ…

ไปเจอยายน้ำเย็น…กำลังปลูกต้นไม้อยู่เลยเข้าไปทักทายเล็กน้อยค่ะ

ที่ตะเพินคี่เขามีโครงการดีๆมากมาย…และแล้วก็ไปเจอเจ้าหมูหลุม อิอิ

ยายน้ำเย็นกำลังทอผ้าถุงอยู่ค่ะ….ดูแล้วอยากทอมั่งแต่อย่าต้องเลย เดี๋ยงของเขาจะเสีย อิอิ

นี่คือจีจี้ หลานสาวยายน้ำเย็น  น่ารักมากมาย  รำตงด้วยนะเนี่ย เก่งมากๆ ขอบอก

น้องๆแสดงรำตงให้ดูค่ะ  ใส่ชุดกันสวยงาม น่ารักมาก

ดูเสร็จก็กลับมานั่งหนาวกันต่อ  ไฟไม่มีก็ต้องจุดเทียนกัน  อิอิ

ดูเจ้าเอ็ม..หันจนคอจะหักอยู่แล้ว..มองสาวๆหรือจ๊ะเพื่อน

นี่คือกองหินที่ชาวบ้านนำมาวางกั้นเขตพื้นที่ของตนเองค่ะ…เป็นความเชื่อว่าจะเดินทางปลอดภัย

ออกจากกะเหรี่ยงที่สุพรรณ…ก็มาเยี่ยมเยียนกะเหรี่ยงที่บ้านไร่ จ.อุทัยค่ะ…บรรยากาศไม่แพ้กันเลย

ฝนตกตลอดทั้งวันค่ะ…ทางแฉะมากๆ แต่ว่ามันสุดๆ

ไปรับพี่ๆอีกชุดหนึ่งที่ท่ารถด่านช้าง….พี่ๆเริ่มเรียนรู้ไปกับธรรมชาติและวัฒนธรรมของชาวกะเหรี่ยง

นี่คือไม้ที่ชาวบ้านนำมาวางค้ำต้นไม้ใหญ่ไว้…เป็นความเชื่อว่าจะต่ออายุให้ยืนนานค่ะ

เจอสัตว์น้อยใหญ่….พวกเราก็ลุยกันต่อไป อิอิ

พี่อ๊อบจ๋าหอบอะไรมามากมาย….พี่ๆเขากำลังขอความรู้เรื่องดนตรีกะเหรี่ยงจากลุงอยู่ค่ะ

และแล้วน้องจิก็กลายเป็นเด็กกะเหรี่ยงไปแล้ว….ขอลองใส่ชุดนิดหนึ่งนะคะ

ตอนกลางคืนชมลุงเตี้ยเป่าแคน..และร้องเพลงภาษากะเหรี่ยงให้ฟังเจ้าค่ะ…

ขากลับแวะน้ำตกตะเพินคี่ใหญ่…เดินเท้าจากถนนประมาณ500 เมตรก็มาพบกับความงามอย่างคาดไม่ถึง

นี่แหละเจ้าค่ะแก๊งค์ของเรา…(อาจารย์-น้องจิ-เจ้าเอ็ม-เจ้าเติ้ล)

เห็ดนาๆชนิดที่น่าสนใจ

สำรวจหมู่บ้านไปเจอถ้ำ……มีสิ่งที่น่าสนใจมากมายเลย

 

….น้องจิไปขอภาพจากพี่อ๊อฟมาค่ะ พี่ถ่ายรูปเก่งมากๆ  วันนี้เขียนไว้แค่นี้ก่อนนะคะ ..รักษาสุขภาพด้วยนะเจ้าค่ะ เป็นกำลังใจให้เจ้าค่ะ….หนูจิ

 


กะเหรี่ยงตะเพินคี่

16 ความคิดเห็น โดย น้องจิ เมื่อ 12 กรกฏาคม 2009 เวลา 13:10 ในหมวดหมู่ Uncategorized #
อ่าน: 4622

…….. น้องจิไปลงพื้นที่ศึกษาวัฒนธรรมกะเหรี่ยงที่หมู่บ้านตะเพินคี่ อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี..(จังหวัดคุ้นๆชะมัด อิอิ)….อันที่จริงแล้วการลงพื้นที่คราวนี้ไม่ได้อยู่ในวิชาเรียนของน้องจิเจ้าค่ะ แต่มันอยู่ในวิชาเรียนของรุ่นพี่ปี 3 ทีนี้น้องจิกับเพื่อนอีกคนหนึ่งเลยขอติดไปด้วย เพราะอยากไปดูวิถีชีวิตกะเหรี่ยงแล้วก็อยากไปสัมผัสบรรยากาศที่ได้ขึ้นชื่อว่า สวิซเซอร์แลนด์เมืองไทย…….รุ่นพี่ปี 3 จะเดินทางในวันที่ 6 กรกฏาคม…แต่อาจารย์ น้องจิกับเพื่อนและมีรุ่นพี่อีกสองคน ชื่อ พี่อ๊อฟ กับ พี่หล้า  จะเดินทางล่วงหน้าไปก่อนเพื่อเตรียมดูพื้นที่และถือโอกาสสำรวจหมู่บ้านไปก่อนด้วย อาจารย์  พี่อ๊อฟ  พี่หล้า เจ้าเอ็ม น้องจิ ออกเดินทางตั้งแต่วันที่ 3 กรกฏาคม…

……พอไปถึงขนส่งด่านช้าง….ก็มีเพื่อนของอาจารย์ชื่อว่า ครูใหญ่…ขับรถมารับ…ระยะทางจากขนส่งด่านช้างไปหมู่บ้านตะเพินคี่ประมาณ 50 กิโลเมตรเจ้าค่ะ…น้องจิกับเพื่อนแล้วก็พี่ๆนั่งข้างหลังไป…เพราะอยากรับลมและก็ถ่ายรูป…ส่วนหน้ารถเอาไว้เก็บของ 5555++…..อาจารย์บอกว่า ที่หมู่บ้านนั้นไม่มีไฟฟ้า น้ำปะปา ….น้องจิกับเพื่อนจึงเตรียมเทียนไปเต็มที่….พอรถวิ่งขับไปสิ้นสุดที่ถนนลาดยาง…ทีนี้ก็เป็นถนนดินธรรมดาแล้วเจ้าค่ะ…เป็นอะไรที่สนุกและผจญภัยมากๆ….เส้นทางคดเคี้ยว ต้องขึ้นไปบนเขาข้ามเขาประมาณ 3-4 ลูกเจ้าค่ะ….ลุยจริงๆ

เส้นทางที่ผจญภัย

……พอไปถึงหมู่บ้านตะเพินคี่แล้ว พวกเราก็กางเต้นท์ จุดไฟ ต้มน้ำ…แล้วก็เข้านอน…สิ่งที่ไม่คาดหวังว่าจะได้เจอในเมืองสุพรรณก็คือ..ทะเลหมอกในตอนเช้าตรู่เจ้าค่ะ….อากาศที่หมู่บ้านแทบจะไม่มีแสงแดดเลย อุณหภูมิประมาณ 19 องศา…แอบไปดูเทอร์โมมิเตอร์ของเจ้าหน้าที่มา อิอิ…หนาวมากๆ….แต่ก็คุ้มค่าเมื่อตื่นมายามเช้าแล้วเจอภาคบรรยากาศที่ขึ้นชื่อว่า ” สวิซเซอร์แลนด์เมืองไทย”  ใครน้อเป็นคนตั้งฉายานี้ให้กับหมู่บ้านตะเพินคี่ แจ๋วจริงๆ…อยากให้ทุกท่านมาสัมผัสด้วยตัวเองจังเลยค่ะ

ดอกหญ้าออกมาเต้นระบำกันอย่างเริงร่าในยามเช้า………….อิอิ

ทะเลหมอกยามเช้า……ที่สุพรรณมีด้วยหรือเนี่ย อิอิ

…….วันแรกของการผจญภัยคือ..อาจารย์กับครูใหญ่พาพี่อ๊อฟ พี่หล้า น้องจิ เจ้าเอ็ม ไปพบลุงผู้ใหญ่บ้าน ลุงผู้ใหญ่ชื่อ จะเอ็ง..ซึ่งแปลว่า เทวดา ….เราไปหาลุงที่บ้านแต่ภรรยาลุงบอกว่า ลุงไปตัดหญ้าในไร่…พวกเราก็เลยเดินไปหาลุงในไร่…ซึ่งตลอดทางที่เราได้เดินไปหาลุงนั้น อาจารย์ก็ได้อธิบายพืชพรรณต่างๆที่น้องจิไม่เคยเห็น… ซึ่งทำให้เห็นวิถีชีวิตการอยู่ร่วมกันในสังคมของชุมชนกะเหรี่ยงเป็นอย่างดีและน่าอยู่มากๆค่ะ….น้องจิจะยังไม่เล่าเรื่องราวต่างๆที่ไปมานะคะ..แต่จะบอกว่าไปแล้วได้อะไรมาบ้างก่อน…เรื่องเล่าสนุกๆมีมากมายแต่เอาไว้ทีหลัง อิอิ

ด้านการเกษตรและการทำมาหากิน

…….สวนของลุงผู้ใหญ่มีผลไม้หลายชนิด…เช่น  เงาะ ส้มโอ ลูกจาก ส่วนผักก็มีมากมาย เช่น เฉอเก้ซา(พริก) โละเก้ซา(ฟักทอง)  ถี่คว้าซา(แตงกวา) ถี่มึงซา (แตงไทย)  หย่องคว้าทองหมุ่งซา (มะเขือพวง)  และที่น้องจิเห็นอีกส่วนหนึ่งของการเกษตรกะเหรี่ยงก็คือ..การปลูกข้าวไร่…ชาวกะเหรี่ยงนั้นมีวัฒนธรรมประเพณีเกี่ยวกับข้าวไม่เหมือนกับเกษตรกรอย่างเราๆ…นั่นก็คือเขาจะมีการทำ สะเด่อ เปรียบเสมือนฉัตร เอาไว้ขอพรเจ้าพ่อเจ้าแม่ให้พืชผลออกมาดี  แต่แถวบ้านน้องจิหรือที่น้องจิเคยพบเห็นมานั้นจะมีการทำขวัญข้าว มีการลงแขกเกี่ยวข้าว…ซึ่งชุมชนกะเหรี่ยงไม่มี…ที่สำคัญพันธุ์ข้าวที่ใช้ปลูกนั้นจะเป็นพันธุ์เหลืองเงิน(บึ๊จิว่ะ) หนวดดำ(บึ๊ซาลิน่า)…ซึ่งชาวกะเหรี่ยงนั้นจะไม่ปลูกเพื่อขายแต่จะปลูกเพื่อกินภายในบ้านเท่านั้น…..ชาวกะเหรี่ยงส่วนใหญ่จะปลูกพืชผักเพื่อดำรงชีวิตมากกว่าการทำงานในส่วนอื่นๆ…ที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งก็คือจะไม่พบเด็กที่รุ่นๆเดียวกับน้องจิเลยภายในหมู่บ้าน(เด็กหายไปไหนหมด????)….พืชที่น้องจิสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ ลำไย…แทบทุกบ้านจะมีต้นลำไยปลูกไว้แถมดกอีกด้วย…ทำให้น้องจิกับเพื่อนกินลำไยกันอย่างอร่อยเหาะไปเลยเจ้าค่ะ….ซึ่งไปมีผลกับเพื่อนน้องจิที่เกิดอาการไข้ขึ้น..หน่วยพยายาลอย่างน้องจิก็ต้องคอยส่งยาสิเจ้าค่ะ อิอิ

ด้านความเป็นอยู่และวิถีชีวิตของคนกะเหรี่ยงในชุมชนตะเพินคี่

……..เท่าที่น้องจิสังเกตุดู…คนในชุมชนตะเพินคี่นั้นจะอยู่กันแบบญาติพี่น้อง….ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารมักจะพูดเป็นภาษากะเหรี่ยง ….พระอาทิตย์ส่องแสงก็ออกไปทำไร่ทำนา…พอพระอาทิตย์ตกดินก็กลับบ้าน…แต่คนกะเหรี่ยงนั้นจะรอให้สมาชิกทุกคนในบ้านครบหมดจึงจะกินข้าวพร้อมกัน(น่ารักชะมัด)…..ลักษณะของบ้านจะเป็นบ้านที่ทำง่ายๆมีบันได ซึ่งบันไดแต่ละขั้นนั้นจะมีขนาดไม่เท่ากันเจ้าค่ะ ใครที่เดินตกบันไดหรือกระโดดข้ามบันไดนั้นต้องทำการขอขมาครั้งใหญ่เลยเพราะเขาถือมากๆ….

ด้านประเพณีวัฒนธรรม

……..ประเพณีของคนกะเหรี่ยงนี้น่าสนใจเจ้าค่ะ….ตั้งแต่เกิดเลย เด็กแรกเกินนั้นจะโกนผมออกเพราะเขาเชื่อกันว่า เด็กจะโตเร็ว…ส่วนประเพณีที่เกี่ยวกับการเกษตรก็มี  ประเพณีข้าวใหม่ เป็นการบูชาแม่โพสพ จะทำกันในเดือน 3 ของทุกปี…และประเพณีที่เกี่ยวการเรียกขวัญกำลังใจก็คือ ประเพณีการผูกข้อมือ…กะเหรี่ยงชุมชนนี้เป็นกะเหรี่ยงด้ายเหลืองเจ้าค่ะ…ซึ่งประเพณีผูกข้อมือนี้จะทำกันในเดือน 5 ของทุกปีค่ะ….นอกจากนี้ยังมีประเพณีการแต่งงาน….ซึ่งน่าสนใจมากค่ะ ลุงผู้ใหญ่บอกว่า เกิดมาเป็นคนกะเหรี่ยงนี้ขาดทุนแม้กระทั่งจะไปขอลูกสาวเขาแต่งงาน…ซึ่งคนกะเหรี่ยงเวลาจะแต่งงานจะไม่ใช้สินสอดในการสู่ขอ ถ้ารักใคร่ชอบคอกันก็จะให้ผู้ใหญ่ไปสู่ขอแล้วก็มาอยู่เลย…ถ้าลูกชายเราไปชอบลูกสาวคนไทยละก็ เราจะต้องหาสินสอดไปให้เขา…แต่ถ้าลูกชายที่เป็นคนไทยมาชอบลูกสาวกะเหรี่ยงเขาไม่ต้องให้สินสอดเรา (มีงี้ด้วยนะเนี่ย)

ด้านดนตรีและภาษา

……..ชาวกะเหรี่ยงมีภาษาที่น่าฟังมากค่ะ…น้องจิไปอยู่ที่นั่นก็พอจะพูดจะฟังได้บ้าง(นิดหน่อย)ประมาณ 2-3 คำ อิอิ….น้องจิพยายามฝึกพูดภาษากะเหรี่ยงให้ได้มากที่สุด อย่างน้อยก็เป็นคำทักทายและคำที่ต้องใช้กันบ่อยๆ…ภาษาของเขามีตัวเขียน…ซึ่งลุงคนหนึ่งเขียนภาษาให้น้องจิและพี่ๆที่ไปทำวิจัยดูเป็นภาษาที่เขียนแล้วสับสนเหมือนกัน 55555++…แต่อาจารย์ของน้องจิ อ่านออก เขียนได้สบายมาก…เรื่องดนตรีของชุมชนนั้น ส่วนใหญ่แล้ว ชาวบ้านจะมีการรำตง..เป็นการแสดงที่หาดูได้ยากมากๆ..น้องจิก็โชคดีที่มีโอกาสได้เห็น ทั้งการเต้น ท่ารำ เครื่องดนตรีที่ใช้…ซึ่งท่ารำแต่ละท่านั้นก็มีความหมายที่แตกต่างกันออกไปและสอดคล้องกับเนื้อเพลงที่เป็นภาษากะเหรี่ยงที่ร้องด้วย (ฟังแล้วมันได้บรรยากาศของชาวเขามากๆค่ะ)

ด้านหัตถกรรมและงานฝีมือ

……ชุมชนกะเหรี่ยงส่วนใหญ่นั้น ..ผู้ชายจะออกไปทำไร่ทำนา…ส่วนผู้หญิงนั้นจะอยู่บ้านเลี้ยงลูกและทอผ้า…ผ้าที่ทอนั้นจะมีลวดลายต่างๆเช่น ไช่เผลว  ไช่เด้ยอง  อะมีซา  เฌออะไก  อะสะ (ภาษาสำเนียงที่น้องจิเขียนนี้อาจจะเพี้ยนหน่อยนะคะ เพราะว่าน้องจิเป็นกะเหรี่ยงเหน่อ เอ๊ยไม่ใช่  ความจริงภาษากะเหรี่ยงไม่สามารถจะนำมาเขียนเป็นภาษาไทยได้เพราะมันมีเสียงก้องเสียงกักออกเสียงต่างจากภาษาไทยมากๆเลยค่ะ ถ้าเพี้ยนเสียงวรรณยุกต์ไปแค่นิดเดียวก็เป็นอีกความหมายหนึ่งเลย อันนี้น่ากลัวมากๆขอบอก อิอิ )สีสันสดใสมากๆเลยค่ะทั้งสีแดง สีเหลือง สีฟ้า สมกับเป็นชาวกะเหรี่ยงจริงๆ….น้องจิซื้อย่ามกะเหรี่ยงมาหนึ่งใบสีฟ้า ซึ่งไปดูเขาทอมาด้วย อิอิ…ผ้าถุงที่ชาวบ้านทอนั้นจะนำไว้ใช้เองในพิธีกรรมต่างๆ…แต่ถ้ามีนักท่องเที่ยวจะซื้อ เขาก็ยินดีขายให้…เห็นยายนั่งทอผ้าแล้วมันแสดงให้เห็นถึงความละเอียดอ่อน ความอดทน มานะ ที่จะนำด้ายทีละเส้นมาเรียงและเย็บเข้าด้วยกัน…นี่แหละเจ้าค่ะงานฝีมือแท้ๆเลย

ด้านการปกครอง

……ชาวกะเหรี่ยงนี้มีการควบคุมภายในหมู่บ้านที่แตกต่างไปจากเราเจ้าค่ะ…ถ้าเป็นบ้านเรานั้น พระภิกษุจะมีหน้าที่สั่งสอนให้ประชาชนเป็นคนดี ตำรวจมีหน้าที่ตรวจตราดูแลความสงบสุข ….แต่ชาวกะเหรี่ยงนี้มีเจ้าวัด ซึ่งเป็นบุคคลภายในหมู่บ้านที่เชื่อกันว่า เจ้าพ่อเป็นผู้สั่งให้เขามาคอยสั่งสอนควบคุมดูแลความประพฤติ…ดังนั้น ผู้ที่เป็นเจ้าวัด จึงมีหน้าที่คอยตักเตือนสั่งสอนคนในหมู่บ้านให้มีพฤติกรรมที่เหมาะสม ห้ามนำเหล้า สิ่งเสพย์ติดเข้ามาในหมู่บ้านเด็ดขาด…..และผู้ที่จะทำหน้าที่ตัดสินความผิดเมื่อเกิดการฝ่าฝืนก็คือ ผู้ใหญ่บ้าน….ดังนั้นคนที่จะมีอำนาจในชุมชนก็มี 2 คนก็คือ  เจ้าวัดและผู้ใหญ่บ้าน

ภายในถ้ำตะเพินทองเจ้าค่ะ

ภายในถ้ำตะเพินธรรมค่ะ

 

น้ำตกตะเพินคี่น้อยค่ะ….มีสัตว์แปลกๆอยู่เต็มเลยเอาไว้น้องจิจะเอารูปมาลงให้ดูอีกนะคะ

ด้านการท่องเที่ยว

……ที่หมู่บ้านตะเพินคี่ อ.ด่านช้าง จังหวัดสุพรรณนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวของชาวสุพรรณที่มีคนขนานนามว่า สวิซเซอร์แลนด์เมืองไทยเลยเจ้าค่ะ เพราะอากาศที่นั่นเย็นสบายตลอดทั้งวัน แถมวิวทิวทัศน์สวยงามไปด้วยเนินเขาน้อยใหญ่ที่สลับกันไปมามองแล้วเวียนหัว 55555++….(เว่อเกิน)….ข้างหมู่บ้านมีน้ำตกด้วยเจ้าค่ะ น้ำตกก็มีอยู่สองที่ด้วยกันก็คือ น้ำตกตะเพินคี่น้อยและน้ำตกตะเพินคี่ใหญ่…ระหว่างการเดินทางไปน้ำตก อาจารย์ก็ชี้ต้นไม้แปลกๆให้ดูมากมายโดยเฉพาะเห็นพันธุ์ต่างๆ เช่น เห็ดร่างแห(เยื่อไผ่)  เห็ดปะการัง (เหมือนปะการังมากๆ ถ้าเอามาปลูกไว้ที่บ้านคงจะมีคนมาขอหวยกันแน่ๆ อิอิ )  นอกจากน้ำตกแล้วยังมีถ้ำอีก 4 แห่งด้วยกันเจ้าค่ะ…คือ ถ้ำตะเพินทอง ถ้ำตะเพินเงิน ถ้ำเพชร ถ้ำตะเพินธรรม  ซึ่งน้องจิไปได้แค่ 2 ถ้ำคือ ตะเพินทอง กับ ถ้ำตะเพินธรรม อีกสองถ้ำเอาไว้โอกาสหน้านะจ๊ะ …แถมยังมีที่ให้นักไต่เขาปีนขึ้นไปบนยอดเขาเทวดา ซึ่งถือว่าใครมาถึงตะเพินคี่แล้วไม่ขึ้นเขาเทวดาถือว่ามายังไม่ถึง บนยอดเขาก็จะเขียนไว้ว่าเป็นจุดสูงสุดของสุพรรณเลยค่ะ  อิอิ….

เห็นเขาแล้วเวียนหัวเจ้าค่ะ……อิอิ

……ที่หมู่บ้านนี้มีตาน้ำผุด(ไถ่ทองผุ)….ซึ่งเป็นแหล่งน้ำที่ชาวบ้านใช้สอยกัน….เวลาเอามือล้วงลงไปแล้วมันเหมือนจะดูดนิดๆด้วยเจ้าค่ะ…ตาน้ำผุดของหมู่บ้านนี้มี 4 จุดด้วยกันจุดแรกคือ “ที่ไคร่เซอะ” แปลว่า ห้วยเต่าดำเป็นตาน้ำผุดที่สูบน้ำมาใช้บนเขาในอุทยาน   จุดที่สองคือ “ที่กะเพ้อ” จุดนี้เป็นจุดที่ชาวบ้านนำมาใช้สอยกัน  จุดที่สามคือ “ที่ขรุเผ่อ” จุดนี้ชาวบ้านก็นำมาใช้ในหมู่บ้านเช่นกัน จุดสุดท้ายคือ “ที่ต่าไม่” เป็นตาน้ำผุดที่นำมาใช้บริเวณที่เป็นบ้านสวนกล้วยไม้ ดังนั้น หมู่บ้านนี้ไม่มีน้ำปะปาแต่น้ำใสเย็นยิ่งกว่าปะปาบ้านเราอีกเจ้าค่ะ…ลงไปแช่มาแล้ว…อิอิ

……..นี่คือรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่น้องจิเก็บมาฝาก..หลังจากไปบุกหมู่บ้านกะเหรี่ยงมานะเจ้าค่ะ….ส่วนเรื่องราวสนุกๆนั้นยังไม่ได้เล่าเจ้าค่ะ…มีอีกมากเอาไว้เป็นคราวหน้าก็แล้วกัน ตอนนี้น้องจิขอตัวไปทำกิจกรรมหอพักก่อนนะเจ้าคะ เดี๋ยวจะตกหอซะก่อน อิอิ….

………รักและคิดถึงทุกๆท่านนะคะ รักษาสุขภาพด้วยเจ้าค่ะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ…หนูจิ…กอดๆๆๆๆๆๆ

………น้องจิต้องขอบคุณอาจารย์โกวิท แก้วสุวรรณ  ….ครูใหญ่  ที่เป็นผู้มอบโอกาสดีๆให้กับน้องจิและเพื่อนๆพี่ๆ แล้วยังคอยดูแลพวกเราตลอดการเดินทางไปหมู่บ้านกะเหรี่ยงเลยค่ะ…อิอิ…”รักอาจารย์ที่สู๊ดดดดดดดดดดดดดดด”


เรียนรู้งานวิจัยจนได้ฉายา”เจ้าแม่”

7 ความคิดเห็น โดย น้องจิ เมื่อ 4 มิถุนายน 2009 เวลา 19:12 ในหมวดหมู่ Uncategorized #
อ่าน: 2137

…..สวัสดีเจ้าค่ะทุกๆท่านที่คิดถึง…วันนี้น้องจิเดินทางกลับมาบ้านที่สุพรรณ หลังจากช่วยงานวิจัยอาจารย์สำเร็จไปส่วนหนึ่ง…มีเรื่องมาเล่ามากมายโดยไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก่อน…แต่จะขอนำเสนอเรื่องที่น้องจิจดจำเป็นภาพติดตาก็แล้วกันนะคะ

                         

…..ในงานวิจัยวัฒนธรรมของชาวลาวครั่งซึ่งถือว่าเป็นชาวลาวที่อพยพย้ายถิ่นฐานมาจากเวียงจันทน์นั้น น้องจิได้ลงพื้นที่ที่ตำบลโพรงมะเดื่อ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม…ซึ่งหมู่บ้านนี้มีความน่าสนใจมากมายทั้งในด้าน ศิลปหัตถกรรม  อาหาร  ประเพณีความเชื่อ และดนตรี

…..ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา น้องจิได้ไปลงพื้นที่กับอาจารย์และเพื่อนก็ได้ศึกษาวิถีชีวิตของชาวบ้าน…(ไปจนชาวบ้านคุ้นเคยและสนิทสนมกันดี อิอิ)…

…..ในเรื่องของประเพณีความเชื่อของหมู่บ้านนี้น่าสนใจคะ เพราะเขามีสิ่งที่เคารพบูชาก็คือ ศาลเจ้าพ่อสิงหาญฟ้าแลบ  ทุกปีต้องมีการแก้บนคุ้มปี  ซึ่งก็มีงานเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ที่ผ่านมานี้เอง ….ก็นับเป็นโอกาสดีที่น้องจิได้เข้าร่วมงานนี้ด้วย…ไปช่วยงานตั้งแต่ 1 สัปดาห์แรกก่อนงานจะเริ่ม…ทำตั้งแต่ล้างจาน เหลาตอกทำธง  ตัดต้นไม้ข้างทาง…เพื่อช่วยลุงที่ดูแลศาลอยู่..ที่น้องจิช่วยลุงเขาเพราะว่า ลุงเขาทำคนเดียวหมดทุกอย่างเลยคะ ชาวบ้านไม่ค่อยมาช่วยกันเพราะถือว่าไม่ใช่หน้าที่ นี่ก็เป็นการประเมินอะไรได้บางอย่าง…แต่ก็มีชาวบ้านบางส่วนที่ได้ตำแหน่งจากเจ้าพ่อสิงหาญให้เป็นทหารซ้ายและทหารขวา….ลุงทหารซ้ายและขวาทั้งสองคนก็ช่วยบ้างบางส่วน

……บนศาลเจ้าพ่อนั้น ลุงจันทร์ (ผู้ดูแลศาล)….บอกว่า ห้ามใครขึ้นไปบนชั้นสองเด็ดขาด….เนื่องจากน้องจิมาช่วยลุงปัดกวาดเช็ดถูศาลเป็นประจำ….ลุงจันทร์บอกว่า อนุญาตให้น้องจิขึ้นไปได้คนเดียว ทั้งๆที่ไม่ใช่คนในหมู่บ้านนะนั่น อิอิ…..มีอยู่วันหนึ่ง ก่อนวันงาน….ลุงบอกว่ามาแต่เช้านะมาถูศาล..น้องจิบอกว่า ถ้าน้องจิมาช้าก็ให้คนอื่นขึ้นไปถูก่อนก็ได้..ลุงบอกว่าไม่ได้..ให้น้องจิถูคนเดียว ก๊ากๆๆๆ…สรุป…เรามีหน้าที่เป็นผู้ถูศาลไปแล้ว

…..เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน…เป็นวันที่ชาวบ้านต้องมาแก้บนคุ้มปี…มีกิจกรรมมากมายที่น้องจิไม่เคยเห็นในวันนั้น เริ่มตั้งแต่การ แห่ไก่เพื่อมาแก้บนถวายเจ้าพ่อ….ตอนแห่ไก่นั้นมีแคน กลองครึกครื้นสนุกสนาน ชาวบ้านมาร่วมรำ ร่วมแห่ไก่มายังศาลเจ้าพ่อ….พอมาถึงศาลก็นำไก่ 14 ตัวที่หามมาทุบเพื่อนำเลือดไก่สดๆ  มาบูชาเจ้าพ่อ…

…..ผู้ที่รับอาสาทีไก่นั้นเป็นมือใหม่..เพราะไม่ค่อยมีใครกล้าตีสักเท่าไหร่…เขาจับปีกไก่ แล้วเอาไม้ตีตรงหัวไก่ พอตีแล้วไก่ก็ดิ้น ไม่มีเลือดสักหน่อย ไก่คงมึน วิ่งวนไปวนมาแล้วก็ล้มลงตาย….ไก่ 14 ตัวนั้น จะปล่อย 2 ตัวให้แก่ศาลเจ้าพ่อ…ส่วนไก่อีก 12 ตัวอย่าคิดว่าจะรอด….คนตีไก่เขาก็ตีไก่ทั้ง 12 ตัวเรียบร้อยแต่เนื่องจากมือใหม่ตีไม่เป็น ไก่จึงเลือดไม่ออก สรุปเจ้าพ่อได้เลือดไก่ไป 3 หยด…ไก่ที่ตีแล้วนั้นจะต้องนำไปต้มเพื่อมาถวายเจ้าพ่อ….

…..และแล้วก็เกิดเรื่องตื่นเต้นขึ้น…ซึ่งไก่ตัวหนึ่งที่ถูกตีมันดั้นวิ่งเข้าป่าไป มันไม่ตาย เหล่าบรรดาทหารเจ้าพ่อก็ช่วยกันหา..แต่ก็หาไม่เจอ สรุป เจ้าไก่ 2 ตัวที่ถูกปล่อย ตัวใดตัวหนึ่งก็ต้องมา(ซวย)…ไม่รอดมือของผู้ตีไก่… เมื่อชาวบ้านช่วยกันจับไก่ที่ถูกตี 12 ตัวไปต้มน้ำร้อน และถอนขนเพื่อทำไก่ต้มถวายเจ้าพ่อ…มีไก่อยู่ตัวหนึ่ง มันถูกต้มน้ำร้อนแล้วเขาก็เอาไปแช่ไว้ในน้ำเย็น…เจ้าไก่ตัวนี้ดวงแข็ง….อยู่ดีๆ ก็ดิ้น กระปือปีกไม่ยอมตาย..ขนาดโดนตีตัว  ต้มน้ำร้อน แช่น้ำเย็นแล้วนะเนี่ย เหอๆๆ (น้องจิไม่กล้ากินไก่อีกเลยค่ะ)…

…..เมื่อได้ไก่ 12 ตัวเพื่อบูชาเจ้าพ่อแล้ว เหล่าบรรดาร่างทรงก็มารวมพล..เพื่อทำการทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด….เจ้าพ่อมาลงร่างของหญิงคนหนึ่ง…เมื่อลงแล้วเจ้าพ่อก็รำดาบบ้าง กินเหล้า สูบบุหรี่…(เจ้าพ่อบอกตอนรำดาบว่า พ่อไม่ชอบเพลงงึกๆงักๆ พ่อขอเพลงแคน) 5555++ เจ้าพ่อทันสมัยซะด้วยรู้จักเพลงงึกๆงักๆ

…..ขนลุกอยู่เหมือนกันเจ้าคะ เวลาเจ้าพ่อมาลงทรง ขนลุกเพราะว่า…ร่างทรงเขาสั่นน่าดูเลยค่ะ….บางคนก็โอ้กอ้ากๆ….เห็นแล้วต้องมองค้างอยู่เหมือนกัน อิอิ

…..อาจารย์ของน้องจิบอกว่า…เขาจะตั้งฉายาให้น้องจิเป็น “เจ้าแม่”  มีสัตว์ประจำตัวคือ ตะขาบ (ทำไมถึงเป็นตะขาบมันมีที่มาที่ไป เดี๋ยวน้องจิจะเล่าให้ฟังวันหลังนะคะ รับรองฮาแน่นอน..เพราะความหลอนของน้องจิเนี่ยแหละค่ะ)….อิอิ….ของที่จะนำมาเส้นก็คือ  ” บะหมี่น้ำไม่ผักไม่กะเทียมเจียว” ผลไม้ของเจ้าแม่คือ ” ลิ้นจี่และฝรั่ง”  สัตว์ที่ห้ามนำมาใกล้ศาลคือ ” แมว”  เพลงประจำตัวเจ้าแม่เวลาเจ้าแม่รำดาบคือ ” ท้องนาอินคอนเสิร์ต”   เวลาเจ้าแม่ลงจะต้องมี ” ซูกัสเป็นอาหารว่าง ส่วน น้ำเงาะกระป๋อง เป็นน้ำดื่มบริการเจ้าแม่แทนเหล้า”…แล้วเวลาร่างทรงที่จะทรงเจ้าแม่กะแหร่งนั้น อาการที่จะรับรู้ว่าเจ้าแม่จะลงแล้วก็คือ ” หาวแล้วหาวอีก” 555555++++…….อาจารย์จะจับน้องจิเป็นเจ้าแม่แล้ว ….เอิ๊กๆๆ

…..มีอยู่วันหนึ่งก่อนงาน…น้องจิง่วงมาก เพราะเพลีย…ก็เลยหาวแล้วหาวอีก ลุงจันทร์บอกว่า อาการเนี้ย เจ้าพ่อจะมาลง…น้องจิร้องไห้บอกว่า ไม่เป็นร่างทรง ….ร้องจนอาจารย์ต้องพากลับมหาวิทยาลัยเลยเจ้าค่ะ 55555++ ก็กลัวอ่ะ เขาจะจับเป็นร่างทรง ก๊ากๆๆๆๆ

……มีเรื่องมาเล่าอีกมากมายเจ้าค่ะ แต่ว่าไม่รู้จะเริ่มยังไงก่อนดี วันนี้ก็เล่าเพียงเท่านี้ก่อนนะเจ้าค่ะ…รักและคิดถึงทุกๆท่านนะคะ เป็นกำลังใจให้เจ้าค่ะ

…..รักษาสุขภาพด้วยนะเจ้าคะ ด้วยความรักและห่วงใยจากเด็กสำเนียงอินเตอร์สุดๆ อิอิ……หนูจิ


ฝังตรึง…(อีกนาน อีกนาน อีกนาน)

7 ความคิดเห็น โดย น้องจิ เมื่อ 12 พฤษภาคม 2009 เวลา 9:51 ในหมวดหมู่ Uncategorized #
อ่าน: 2064

สวัสดีเจ้าค่ะทุกๆท่าน….ลานเด็กเหน่อเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง..เพราะมันนิ่งเฉยมาหลายวัน…วันนี้น้องจิต้องมาเขย่ามันสักหน่อย เดี๋ยวจะหลับเพลิน อิอิ

                       

…………..เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม ที่ผ่านมาหลังจากที่น้องจิเล่นเพลงอีแซวในงานบวชของลูกชายท่านนายอำเภอนิธิภัทร และ คุณนายนวรัตน์ เสนาะดนตรี เรียบร้อยแล้ว…ก็ได้เดินทางไปที่อนุสาวรีย์…ป้าแห่งชาติมารอรับอยู่ที่เส้นทางใจ

…………..พอไปถึงบ้านป้าจุ๋มพวกเราก็ช่วยกันทำไอติม  เยลลี่  น้ำข้าวกล้อง เพื่อนำไปร่วมในงานระพีในตอนเช้า….งานนี้ป้าจุ๋มกับน้องจิแล้วก็พี่หยี ทำไปสนุกกันไปเพราะว่า ไอติมสูตรป้าจุ๋มนี่  กินยังไงก็อร่อยเหาะ…(เป็นเพราะคนกวนไอติมแน่ๆเจ้าค่ะ) 555555+++

……………พวกเราทำขนมเสร็จก็อาบน้ำนอน กว่าจะกลับจริงๆก็ประมาณ ตี 1-2 เลยแหละค่ะ…ตื่นอีกที..ตะวันยิ้มแฉ่งแล้ว ประมาณ 6 โมงได้….ป้าจุ๋มกับน้องจิก็เลยรีบไปเตรียมของที่ยังค้างอยู่อีกนิดหน่อยแล้วก็มาอาบน้ำ แต่งตัว…ขนของขึ้นรถ โอ๊ย!!! ล้อหมุนประมาณ 8 โมงกว่าๆ…พ่อครูโทรมาบอกให้ไปรับและเอาของที่รังนกกระจอกด้วย อิอิ

…………….ตอนที่นั่งอยู่ในรถ…น้องจิบอกป้าจุ๋มว่า น้องจิลืมเอาขลุ่ยลิงของอาคอนมา…สวรรค์บันดาลเจ้าค่ะ…พ่อครูส่งขลุ่ยเต่าให้น้องจิ….อิอิ งานนี้น้องจิมีทั้งขลุ่ยเต่า ขลุ่ยลิงเลยเจ้าค่ะ อิอิ พกทีเดียว 2 อัน อิอิ ขอบคุณอาคอนและพ่อครูมากๆค่ะ ที่มอบขลุ่ยลิง ขลุ่ยเต่าให้น้องจิ…เป็นเจ้าแม่ขลุ่ยไปเลย อิอิ

…………….พอไปถึงที่ SCB แล้วก็ช่วยกันขนของที่เตรียมมาไปจัดที่บูท  งานนี้น้องจิได้เจอพี่ออตเป็นครั้งแรกเจ้าค่ะ อิอิ พี่ออตน่ารักมาก แถมเก่งอีกต่างหาก….และแล้วน้องจิก็ได้รับหน้าที่ให้เขียนป้ายเฮฮาศาสตร์เพราะว่า ป้ายที่เตรียมไว้นอนเล่นอยู่ที่สวนป่า……ครูเสียงเหน่อหากระดาษ ปากกาเคมีสีดำ&สีแดง มาให้น้องจิเพื่อเขียนป้ายว่า ” กลุ่มเฮฮาศาสตร์ “  น้องจิก็นำกระดาษและปากกาเคมีไปเขียนที่โต๊ะจะได้เขียนได้สะดวกๆ  เขียนเสร็จหยิบกระดาษจะนำไปให้ครูเสียงเหน่อติด พอยกกระดาษขึ้น ป๊าดดดดดดดดด เอาแล้วซิ งานเข้าแล้วพี่น้อง….ปากกาเคมีซึมลงไปบนผ้าปูโต๊ะสีขาว  พอดูตรงป้าย เขาเขียนว่า ” VIP “  น้องจิไปจารึกคำว่า “กลุ่มเฮฮาศาสตร์ “  ไว้ที่โต๊ะ VIP เลยเจ้าค่ะ เลยเรียก ครูเสียงเหน่อไปดู….แหม!! รักน้องจิมากๆเลยเจ้าค่ะ ปัดความผิดมาทางนี้ลูกเดียวเลย

……………..พอเขียนป้ายเสร็จครูเสียงเหน่อก็ติดป้าย…น้องจิก็เขียนป้ายให้ลุงแฮนดี้ด้วย…พอเขียนเสร็จก็ไปช่วยพี่ออตดูบูท ช่วยพูดแนะนำพืชผักที่อยู่บนโต๊ะ อาทิ แตงกวา มะเขือพวง ฟักยักษ์ น้ำเต้ายักษ์ มะกรูด (แหม!!ที่พูดมานี่ รู้สึกว่า เขาคงจะไม่รู้กันสักอย่างเนาะ)…มีสิ่งหนึ่งที่คนส่วนใหญ่สนใจกันมากเจ้าค่ะและมักจะถามว่าที่อะไร ??? ..นั่นก็คือ ” ไข่ไก่ต๊อก” เจ้าค่ะ…อิอิ…

                                            

             

………………น้องจิได้เจอกับอาฤาษีไม่มีหนวดด้วยเจ้าค่ะ…เป็นครั้งแรกที่ได้เจอ..แต่ยังไม่คุ้นเคยสักเท่าไหร่เพราะเจอกันครั้งแรก แต่ดูอาเป็นคนสุขุมมากๆ ดังนั้น พวกเราก็รุมกอดเป็นธรรมดา อิอิ  และงานนี้น้องจิก็ได้เจอกับ คุณป้าอมรา ผู้ใจดีด้วย อิอิ

                                     

………………ตกบ่าย พ่อครูขึ้นเวที น้องจิ อาคอน ลุงแฮนดี้ ครูปู ป้าจุ๋ม อาฤาษี พี่นา  ได้เข้าไปฟังเนื่องจากตัวน้องจิเองเป็นคนที่นั่งเฉยๆไม่ได้ จึงชอบเดินถ่ายรูป อิอิ

                                             

………………เมื่องานเลิกก็ช่วยกันเก็บข้าวเก็บของ…อาคอนก็เอาของรางวัลมาให้น้องจิกับน้องโย่แถมมีซองเขียวๆมาด้วย อิอิ…ต้องขอบคุณอาคอนมากๆเลยนะคะที่นำรางวัลมาให้ ดีใจที่สุดเลย รักอาคอนเน้อ จุ๊บๆ กอดๆๆ

………………ก่อนกลับ  ลุงแฮนดี้มอบไมโครโฟนให้น้องจิด้วยเจ้าค่ะ เป็นไมค์ที่ทำด้วยปากกา อิอิ เสียงดีกว่าซื้อจริงๆ…ขอบคุณลุงมากๆเลยเจ้าค่ะ  เดี๋ยวจะฝึกร้องเพลงไปร้องให้ลุงฟังนะคะ 55555++

………………ป้าจุ๋มมาส่งน้องจิที่อนุสาวรีย์เจ้าค่ะ….แล้วน้องจิก็เดินทางกลับศิลปากรเลยเพราะมีงานต่อ…งานนี้น้องจิก็ช่วยเต็มที่เจ้าค่ะ ถึงจะช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่พอจะมีประโยชน์บ้างนิดหน่อยก็ยังดี อิอิ….

……………….วันนี้น้องจิกลับมาบ้านที่สุพรรณหลังจากงานระพีก็พึ่งจะได้กลับมานี่แหละเจ้าค่ะ อิอิ เดี๋ยวจะกลับไปมหาวิทยาลัยวันพฤหัสนี้อีกเจ้าค่ะ ….รักและคิดถึงทุกๆท่านนะเจ้าคะ

                             

 

………………..รักษาสุขภาพด้วยเจ้าค่ะ..เป็นกำลังใจให้ทุกท่านค่ะ………..หนูจิ

 

ปล.เนื่องจากไม่มีภาพเป็นของตัวเอง จึงอาศัยการ จิ๊กภาพ เป็นวิธีเดียวที่ทำได้เจ้าค่ะ อิอิ ขอบคุณภาพสวยๆจากกล้องพ่อครูและป้าจุ๋มมากๆเจ้าค่ะ กอดๆๆ คิดถึงนะเจ้าคะ อิอิ อีกครั้ง



Main: 0.19189810752869 sec
Sidebar: 0.18252992630005 sec