กรณีพิพาท

โดย maeyai เมื่อ 5 เมษายน 2011 เวลา 7:02 (เช้า) ในหมวดหมู่ ชีวิตกับโรงเรียน #
อ่าน: 1369

ทำโรงเรียน จะเจอปัญหาคู่กรณีอยู่เป็นประจำ ไม่ว่า ครูกับครู ครูกับผู้บริหาร เด็กกับครู และครูกับผู้ปกครอง ซึ่งผู้ที่จะต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกรณีอย่างนี้ ก็ไม่พ้น ผู้บริหาร
แต่ที่พัฒนาเด็ก ผู้บริหารคนปัจจุบันยกหน้าที่ ไกล่เกลี่ย กรณีต่างๆนี้มาให้ที่ปรึกษา เพราะคงเชื่อในความเก๋าที่อยู่ใน แวดวงนี้มาสามสิบกว่าปี แม่ใหญ่ก็รับหน้าที่มาด้วยความเต็มใจ

งานนี้ต้องใช้ทั้งศาสตร์ทั้งศิลป ต้องไม่หูเบา ต้องฟังแยะๆ วิเคราะห์เยอะๆ ไม่ไปมีอารมณ์ร่วม ทิ้งเวลาพอสมควร เพื่อให้เรื่องตกผลึก ไม่ด่วนตัดสินตอนที่กำลังร้อนทั้งคู่ และเมื่อจัดการแล้ว ต้องให้คู่กรณีมีความรู้สึกว่า ถูกทั้งคู่ และก็ผิดทั้งคู่ ด้วย โดยที่เราก็ไม่ได้ชี้แนะผิดถูก หรือเข้าข้างใดข้างหนึ่ง พูดอย่างไร จึงจะให้เขารู้ตัวเอง ว่าเขาทำอะไรถูกบ้าง ผิดบ้าง โดยไม่ต้องยกย่องและชมเชยจนเกินเหตุ หรือติเตียนชี้ข้อผิดพลาดอย่างชัดเจน ให้เขาคิดได้เองจะดีกว่า

รู้สึกว่าที่เขียนไปนั้น มันเป็นเรื่องปฏิบัติยากนะ ดังนั้นขอยกตัวอย่างเป็นกรณีศึกษาสักเรื่องก็แล้วกัน เพราะเพิ่งจัดการไปหนึ่งเรื่องเมื่อวานนี้เอง (ไม่ยืนยันหรอกว่าเป็นวิธีดีที่สุด แต่นี่คือวิธีหนึ่งของโรงเรียนเรา)

เหตุเกิดก่อนปิดเทอม มีพ่อแม่ มาฟ้องว่า ครูไม่รักลูก มีอคติต่อลูก ยกตัวอย่างการกระทำหลายอย่าง เช่นเรียกมาสะกดคำต่อหน้าเพื่อน พอเด็กทำไม่ได้ รู้สึกว่าครูเอาเขามาประจานต่อหน้าคนอื่น เด็กกลับไปบ้านก็เครียด ครูแจกงานให้คนอื่นทำก่อน ครูไม่มองหน้า ถูกครูตี!!!! ฯลฯ อื่นๆอีกมากมาย……..มากมาย จนถ้าเรามีอารมณ์ร่วมก็จะรู้สึกว่าครูคนนี้ ช่างเป็นแม่มดใจร้ายเสียจริงๆ พ่อแม่กลัวผู้บริหารไม่เชื่อ ถึงกับอัดเทปคำพูด ความรู้สึกที่ลูกมีต่อครูท่านนี้มาให้ฟัง คำพูดแต่ละคำที่เด็ก กล่าวหาครูล้วนรุนแรงในความรู้สึกของเด็ก เช่น ครูลำเอียง ครูใช้แต่อารมณ์ ไม่มีเหตุผล ครูแสดงออกแบบผักชีโรยหน้า สารพัดที่ครูไม่ดี ไม่อยากเรียนกับครูคนนี้ พาลไปถึงอยากลาออกจากโรงเรียนไปเลย พ่อแม่ที่มีลูกคนเดียว และมามีลูกเมื่ออายุย่างห้าสิบแล้ว ฟังลูกเล่าถึงครูแล้ว หัวใจแทบสลาย โทรหาผู้บริหารเพื่อระบายความในใจกลางดึก และมาพบอีกตอนเช้า ด้วยน้ำตานองหน้า โดยเฉพาะคุณแม่ ใช้เวลาเล่าเรื่องความคับข้องใจ ประมาณ สามชั่วโมง บอกว่าลูกออกจากโรงเรียนเก่า ก็เพราะไม่มีความสุข ที่เลือกโรงเรียนนี้ เพราะนึกว่าดีที่สุดสำหรับลูกแล้ว ก็ยังมาเจอครูอย่างนี้อีก แม่ใหญ่ก็ฟัง ให้กำลังใจ และชื่นชมว่าเขารักลูกและเอาใจใส่ลูกเป็นอย่างมาก แต่ฝากให้เขาไปคิดก่อนจากกันว่า สิ่งที่เขากำลังปฏิบัติต่อลูกในวันนี้นั้น “พอดี” หรือไม่

เมื่อวาน หลังจากปิดเทอมไปแล้ว สองอาทิตย์ คุณครูทุกท่าน สรุปงานของตนเองในรอบปีที่ผ่านมา ทำคะแนนปลายปีเสร็จเรียบร้อย เพื่อส่งให้ผู้ปกครอง เตรียมการสำหรับเทอมหน้า ด้วยการ ประชุมกับเพื่อนครูที่สอนวิชาต่างๆกัน เพื่อบูรณาการหลักสูตรของวิชาเข้าด้วยกัน เพื่อในการสอนจริงจะได้ไม่เกิดความซ้ำซ้อนระหว่างวิชา แล้วร่วมกันเขียนกรอบกว้างๆ โดยมีจุดประสงค์เดียวกัน เตรียมการสั่งหนังสือ ให้พอดีกับจำนวนนักเรียนปีหน้า เรียกว่าทำทุกอย่างให้เรียบร้อย ก่อนที่จะพักผ่อนหยุดเทอม และกลับมาอีกทีในช่วงใกล้เปิดเทอม เพื่อมาเตรียมห้องเรียน

แม่ใหญ่เชิญคุณครูคู่กรณีมาคุยตอนบ่ายสามโมง ด้วยบรรยากาศสบายๆในสวน ให้คุณครูเล่าให้ฟังถึงความรู้สึกในการทำงานในรอบปี ว่ารู้สึกอย่างไรบ้าง เพราะคุณครูเพิ่งมาทำงานกับโรงเรียนเราเพียงหนึ่งปี หลังจากเคยเป็นครูอยู่โรงเรียนอื่นมาแล้วถึงสิบปี
คุณครูท่านนี้เป็นคุณครูสอนภาษาไทย มีประสบการณ์การสอนที่ดี สอนเก่ง พูดจาฉะฉาน ออกเสียงภาษาไทยชัดเจน เป็นรูปแบบที่ดี เวลาสอนมีการเตรียมการอย่างดี เด็กสนใจ สนุก มีเกมส์มีลูกเล่นแพรวพราว ให้เด็กเรียนได้อย่างสนุก ตลอดชั่วโมงที่สอน

เมื่อเปิดโอกาสให้พูด คุณครูเริ่มพูด ด้วยเสียงสั่นเครือ ดวงตามีน้ำตารื้นๆขึ้นมานิดหน่อย ไม่ถึงกับไหลออกมา จนแม่ใหญ่ต้องบอกให้นั่งสงบๆดื่มน้ำก่อน ยืนยันว่าไม่ได้เรียกมาตำหนิ เชิญมาคุยเกี่ยวกับเรื่องทั่วๆไป เพราะคุณครูยังเป็นคนใหม่สำหรับโรงเรียนเรา หนึ่งปีผ่านไปต้องมาสรุปเรื่องราวการทำงานกันบ้าง

คุณครูไม่พูดประเด็นการทำงานโดยทั่วไปเลย แต่ขอเข้าประเด็นที่ผู้ปกครองที่มาพบแม่ใหญ่ก่อนปิดเทอม คุณครูน่าจะรอวันนี้มานานพอสมควร รอวันที่จะได้พูดบ้าง
คุณครูบอกว่า เริ่มจากการที่ผู้ปกครองมาขอให้ไปสอนน้องที่บ้าน โดยบอกว่าน้องอ่อนภาษาไทย ยังอ่านเขียนไม่คล่อง ไม่ทันเพื่อน ครูก็รับปากไปสอนให้นอกเวลา ทั้งๆบ้านครูก็อยู่ไกล ครูไม่ค่อยว่างในวันหยุด ไปสอนให้ได้ตอนแปดโมงเช้า บางวันไปถึงน้องยังไม่ตื่นนอน ต้องไปนั่งรอ และเวลาสอน พ่อแม่ก็มานั่งกำกับ อยู่ด้วย คอยถามว่าทำไมต้องให้น้องทำอย่างนั้น อย่างนี้ เรียนภาษาไทยทำไมมีระบายสีวาดภาพด้วย ไม่ระบายได้ไหมฯลฯ บางทีก็ขอให้มาสอนวันอื่นแทน วันที่เคยสอนบ้าง ก็สอนกันเป็นเทอม อยู่ๆไป คุณครูรู้สึกอึดอัด ไม่อยากไปสอนตัวต่อตัวที่บ้าน คุณครูรู้สึกว่าผู้ปกครองทำเหมือนครูเป็นลูกจ้าง คุณครูก็ใช้คำแรงเหมือนกัน บอกว่า เหมือนกับใช้เงินฟาดหัว ครูว่าครูก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกัน จึงแนะให้ผู้ปกครองพาลูกไปเรียนกับครูคนอื่น (ความหมายก็คือครูไม่อยากสอนนั่นเอง )

นั่นคงเป็นสาเหตุที่พ่อแม่เริ่มไม่พอใจครู และครูก็ไม่อยากยุ่งกับพ่อแม่ ต่างฝ่ายต่างไม่พอใจกัน เมื่อพ่อแม่ มาโรงเรียน ครูก็หลบหน้า ไม่พูดคุยด้วยเหมือนก่อน และอาการนี้ครูคิดว่า อาจจะ ต่อเนื่องมาถึงเด็กได้โดยที่ครูเองก็ไม่รู้ตัว ความรู้สึกรักและเมตตาเด็ก อาจจะน้อยลง เมื่อมีความรู้สึกลึกๆต่อต้านผู้ปกครองอยู่ในใจ ครูบอกว่า ขอ CD ที่อัดเสียงเด็กไปฟังได้ไหม ครูเองก็คิดว่าต้องปรับตัวเหมือนกัน เพราะถ้าสอนแล้วเด็กไม่รักครู ครูก็รู้ว่าครูไม่ประสบความสำเร็จ ในการสอน
เรื่องตีเด็ก คุณครูบอกว่าไม่เคยทำ เพราะรู้ดีว่าที่นี่ห้ามขาด อาจมีอาการตบก้น ตบไหล่บ้าง ซึ่งแม่ใหญ่ก็บอกว่า เมื่อเด็กเขารู้สึกว่าครูไม่รัก เด็กก็สามารถสรุปได้ว่านั่นคือการตี เรื่องเอาเด็กมาสะกดคำหน้าห้องก็เหมือนกัน จริงๆแล้วคุณครูก็ทำกับทุกคนเมื่อมีเวลาว่าง ด้วยประสงค์ดี เป็นการทบทวนที่สอนไปแล้ว และทำแบบตัวต่อตัว แต่เด็กที่สะกดไม่ได้ ก็มองไปว่าครูเอาเขามาประจาน เรื่องการหลบหน้า ไม่อยากเจอกับผู้ปกครอง คุณครูยอมรับ บอกว่าบางครั้งต้องสงบสติอารมณ์ตนเองเหมือนกัน ไม่พูดดีกว่า แม่ใหญ่ก็เห็นใจ แต่ก็เสนอแนะไปว่า ต้องไปฝึกสตินะ การใช้อารมณ์นำ ไม่ว่าเป็นครูหรือเป็นอาชีพอะไร มันก็ไม่ดีทั้งนั้น กับทั้งผู้อื่นและกับตัวเอง

คุยกับครูก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมงเหมือนกัน ครูจากไปด้วยหน้าตาสดใสกว่าตอนเข้ามา บอกว่ารู้สึกสบายใจที่ได้ระบายความในใจ และ รู้ว่าตัวเองบกพร่องตรงไหน ครูบอกว่าครูยังเข้าไปไม่ถึงหัวใจของเด็กคนนี้ ครูจะพยายามต่อไป ครูเชื่อที่ใครๆเขาพูดกันว่า ต้องให้ความรักก่อนให้ความรู้ แต่ในภาคปฏิบัติ ครูยอมรับว่าครูก็บกพร่องในส่วนนี้

ก่อนจากกัน คุณครูหยอดคำหวานให้ชื่นใจว่า ขอบคุณที่ให้โอกาสมาทำงานร่วมกัน มาทำงานที่นี่ รู้สึกว่าผู้บริหารให้เกียรติครูมาก ไม่เคยมาจ้ำจี้จ้ำไชคอยด่าว่า ทำตัวเป็น โคช มากกว่าเป็นนาย แม่ใหญ่ก็เติมไปว่า ผู้บริหารให้เกียรติครู เพื่อที่ครูจะได้ให้เกียรตินักเรียนเช่นกัน

ก็ขอบใจเขาแทน ผ.อ. ที่เขาให้คำชมมา แล้วก็คงต้องเอาคำพูดของคุณครูท่านนี้ไปเล่าต่อให้ ผอ.คนปัจจุบันของโรงเรียนให้ได้รับฟังด้วย

« « Prev : เรื่องความฝัน

Next : ดอกไม้ไทย 5 ชนิด…พิชิตโรค » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

1 ความคิดเห็น


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.33996391296387 sec
Sidebar: 0.27622699737549 sec