ไร้กรอบหรือทะลายกำแพง
อ่าน: 2061ไร้กรอบหรือทะลายกำแพง
การได้มาพูดคุยที่โรงพยาบาลกระบี่ตามคำเชิญของหมอเจ๊ครั้งนี้ ( แต่บอกไปก่อนว่าจะมาตรัง จะให้ช่วยอะไรไหม? อิอิ ) มีกิจกรรมหนึ่งที่นักการอิ่ม แซ่เฮ ได้ให้ทีมงานของโรงพยาบาลกระบี่วาดรูปคนละสองรูป รูปหนึ่งเกี่ยวกับความสุข อีกรูปหนึ่งเกี่ยวกับความทุกข์ แล้วให้จับคู่คุยกันเป็นการฝึกการฟัง
ก็ด้อมๆมองๆ แฝงตัวไปนั่งฟังเขาคุยกัน ชอบใจรูปหนึ่งเพราะชอบที่เจ้าของภาพ (น้องปาน)เล่าเรื่องของรูปนี้ไห้ฟังมากๆ
น้องปานเล่าเรื่องความทุกข์โดยอธิบายรูปที่น้องปานวาดว่า ตัวน้องปานเป็นวงกลมในกรอบรูป ลายเส้นมากมายในรูปภาพเปรียบเสมือนเรื่องราวต่างๆที่เข้ามากดดันทำให้อึดอัดเพราะถูกกดดันอยู่ในกรอบ ทำให้เกิดความทุกข์ รู้สึกอยากหนีออกมาจากกรอบดังกล่าว
ได้ยินน้องปานเล่าก็คิดถึงอาจารย์ไร้กรอบ (อ.วรภัทร์ ภู่เจริญ)
คิดถึงคำพูดของการทำให้ไร้กรอบ การทะลายกำแพงที่แต่ละคนสร้างขึ้นมาเอง เป็นตัวขวางกั้นหรือขังตัวเองไว้ หรือการออกจากไข่แดง
ในการพูดคุยกันวงใหญ่ก็มีการพูดถึงการที่จะมีความกล้าที่จะทำอะไรใหม่ที่ดีๆ ที่ไม่เคยทำ ทำอย่างไรที่จะทะลายกรอบหรือกำแพงที่ตัวเองสร้างขึ้นมา ? กรอบหรือกำแพงตัวเราแต่ละคนสร้างขึ้นมาเองจากประสบการณ์ที่แตกต่างกันตั้งแต่เด็ก ครอบครัว สังคม โรงเรียนก็มีส่วนตรงนี้ เวลาจะทะลายก็ต้องทะลายเอง คนอื่นทำให้ไม่ได้ (ถึงเป็นแฟนก็ทำแทนไม่ได้)
… การพัฒนาองค์กรคือการพัฒนาคน
การพัฒนาคนคือพัฒนาตัวเอง
การพัฒนาตัวเองคือการพัฒนาจิตใจ….
เปรมฤดี ชามพูนท
นายกเทศมนตรีนครพิษณุโลก
« « Prev : รู้สึกยังไง? รู้สึกเฉยๆ
Next : นิยาม… » »
13 ความคิดเห็น
คุณหมอค่ะ……..รูปภาพที่น้องวาดเห็นภาพแล้วรู้สึกได้ถึงความบีบคั้นของความทุกข์ได้ชัดเจนมากเลยคะ
คนบางคนอยากจะทะลายกรอบหรือกำแพงนั้นออกมา
เพียงแต่ต้องอาศัยการรวบรวมความกล้าให้มากหน่อย
ถึงจะทะลายมันออกมาได้
คนบางคนก็คิดอยาก…….แต่ไม่กล้า
ไม่มีใครมาทะลายกำแพงนั้นให้เราได้ นอกจากตัวเราเองใช่ไหมค่ะคุณหมอ
ไม่มีใครทะลายกำแพงนั้นให้เราได้ นอกจากตัวเราเอง…. ใช่แล้วครับ น้องมิม
แต่ยืมค้อนปอนด์ไปได้นะ อิอิ
ระดับนี้ไม่ต้องอาศัยค้อนก็ได้มั้งค่ะ
หรือจะมีให้ยืมก็ดีค่ะ
เผื่อกำแพงนี้มันทะลายยากส์ค่ะ
อิอิ
บางอารมณ์ อาจไม่อยากทำอย่างอื่น อยากเอาหัวโหม่งกำแพงให้รู้แล้วรู้รอด
บางอารมณ์ ออกไปได้ แต่อยากอยู่ เป็นซะอย่างนั้น…
แต่..จริงๆ..เราทำตามอารมณ์ไม่ได้ตลอดไป…. ปล่าวป่วนค่ะ อิอิอิ
มนุษย์เราเปรียบเหมือนผ้าขาว เมื่อถูกปนเปื้อนทางอารมณ์ ย่อมทำให้ผ้าผืนนั้นเป็นสีที่ต่างกันออกไป
เซลกระจกเงาจะทำหน้าที่บันทึกอารมณ์ต่าง ๆ คละเคล้ากันไป ต้นแบบเป็นอย่างไรเราก็จะเป็นอย่างนั้น
อารมณ์ที่ฟาดฟันกัน ก็จะกระแทกกระทั้นให้เกิดความรุนแรงเป็นระยะ ๆ การฝึกสติ โดยมีกัลยาณมิตรเป็นผู้ช่วยเหลือ จะเป็นตัวกระตุ้น ตัวหน่วง ให้ได้คิดให้ห้อยแขวน ไม่พิพากษา รู้จักให้อภัย ดีดเสียงที่อยู่ภายในให้ออกไป เฝ้าระวังจิตอยู่เสมอ จะช่วยให้เรารู้สุขสงบสุข และปฏิบัติบ่อย ๆ อาจเกิดความยั่งยืน กล้าที่จะเผชิญ เรียนรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น “ยอมรับ และดับให้ทัน” จะมีอะไรมากไปกว่านี้ล่ะ
ขอบคุณครูค่ะ
การมีทุกข์/ติดกรอบ ไม่ใช่เรื่องแปลกครับ สำคัญที่รู้ตัวได้เร็ว และละทิ้งมันไป
ในขณะที่รู้สึกว่ามีทุกข์ ข้อเท็จจริงคือยังไม่ตาย ยังผ่านทุกข์ของเมื่อวานมาได้ จึงไม่มีเหตุผลว่าทำไมจึงจะผ่านเรื่องเหล่านี้ไปไม่ได้
เอาระเบิดเลยมั๊ย อิอิ
เราปล่อยตัวตามอารมณ์ หรือเรามีสติดี แต่มีสตางค์ดีกว่ามั๊ง อิอิ
แหย่ๆแค่นี้ละอ่อนๆ ไม่ป่วนหรอก อิอิ
อิอิ
ทุกข์เมื่อวานกับทุกข์วันนี้มันคนละทุกข์ ถ้าเก่งแล้วก็ดับทุกข์ได้หมด ?
แต่ถ้ายังฝึกอยู่ อาจผ่านเมื่อวานได้ แต่วันนี้ไม่แน่? มันคนละกรอบ คนละกำแพง ?
ผมเห็นว่าถ้าทุกข์ของเมื่อวานกับทุกข์ของวันนี้เป็นคนละตัวกัน ก็ยังดีนะครับ
แต่ถ้าเป็นความทุกข์เรื้อรัง ในระดับที่ท้องผูกเหมือนมีจุกก๊อกยัดอยู่ในทวาร คงอึดอัดน่าดู
ขอยาระบายหน่อยครับ
ขอบคุณพี่หมอค่ะ เรื่อง 1 สติ 2 สตางค์ 3 โหม่ง..และ ขอบคุณที่โลกนี้มีพี่หมอคนนี้
ขอบคุณน้องมิม คิดถึงน้องมิมนะคะ ส่งใจมา ให้ความอบอุ่นใจนะ รู้สึกหรือยัง….
ขอบคุณพี่ครูอึ่งอ๊อบค่ะ . ยอมรับและดับให้ทัน หน่วงใจ แขวนไว้ ไม่พิพากษา ให้อภัย อยากกอดครูจัง..
ขอบคุณท่านรอกอดค่ะ ขอบคุณข้อคิดที่เจ๋งๆ…ทุกข์เรื้อรังระดับท้องผูก .ฮาๆๆๆ…คิดได้ยังไงคะนี่..เอิ้กๆๆๆ