เดือนชุลมุน

โดย อุ๊ยสร้อย เมื่อ กันยายน 4, 2011 เวลา 4:21 (เย็น) ในหมวดหมู่ การเรียนรู้ชีวิต #
อ่าน: 6845

เดือนสิงหาคมปีนี้ ดูอะไรก็มะรุมมะตุ้มไปหมด..รู้สึกว่าเดือนผ่านไปเร็ว(จนเกือบไม่ทันใช้ตังค์…แฮ่ๆ)

ตั้งแต่ต้นเดือน มีชั่วโมงสอนทั้งทฤษฎีและปฏิบัติทุกวัน จันทร์ถึงศุกร์ วิ่งๆ เดินๆ นั่งๆ บนวอร์ด

แม่ก็ป่วยด้วยโรคคลื่นไส้อาเจียนทุกรอบ 7 วัน หาหมอเป็นระยะๆ เข้าโรงพยาบาลไป 2 รอบ รอบแรกพักห้องสังเกตอาการ ต้องนั่งเฝ้าทั้งคืน …คืนนั้นได้รับรู้ถึงคำว่า ทุกขเวทนา อย่างชัดเจน …ได้อาศัยการเฝ้าดูลมหายใจของตัวเองเพื่อให้ได้พักผ่อนอย่างลึกแทนการนอน การเข้าโรงพยาบาลรอบแรกนั้นเจอหมอเป๋า หลานอาอึ่ง และหมอที่เป็นลูกหลานของพี่พยาบาลที่รู้จักกันทำให้รู้สึกว่าโชคดีมาก

พอรอบที่ 2 อาการของแม่ไม่ได้แย่เหมือนคราวแรก แต่ตัดสินใจเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเอกชน เพราะต้องการให้มีห้องแยกที่ญาติสามารถนอนเฝ้าได้ ในรอบที่สองนี้ หมอ consult แพทย์เฉพาะทางแล้วลงความเห็นว่า แม่น่าจะคลื่นไส้เพราะโซเดียมต่ำจากยาลดความดันโลหิตสูง(ที่เพิ่มเริ่มเป็นและรักษาเมื่อตุลาคม 53 ที่ผ่านมา) ร่วมกับการได้รับยาแอสไพรินทำให้มีกรดมากเรอเปรี้ยวมากกว่าอาหารเป็นพิษอย่างที่เคยคิดกัน  จากนั้นการรักษาก็คือปรับเปลี่ยนยาลดความดันโลหิต และเพิ่มยาแก้ท้องอืด และนัดตรวจติดตามผลการใช้ยา

ก็รู้สึกว่าอาการดีขึ้น ผลเลือดก็ปกติ

ปลายเดือนสิงหาคม ได้ข่าว อาจารย์ที่ปรึกษาดุษฎีนิพนธ์ ชาวแคนาดา เสียชีวิตกระทันหัน …ข่าวมาน่าตกใจเพราะไม่เคยรู้มาก่อนว่าอาจารย์มีโรคประจำตัว ติดต่อกันคราวใดก็มีเรื่องของ การทำงานหนัก การเดินทาง การรับตำแหน่งงานสูงขึ้น และอาจารย์ยังวางแผนจะเดินทางมาเที่ยวเชียงใหม่กับสามีอีกรอบ

อาจารย์ท่านนี้ เป็นทั้งครู ที่ปรึกษา เพื่อน และกัลยาณมิตร เป็นที่รักของศิษย์ทุกคน แต่มาด่วนอายุสั้น สามีของอาจารย์และบรรดาศิษย์เลยจะตั้งกองทุนในนามของอาจารย์เพื่อเป็นกองทุนสำหรับนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาของคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยแอลเบอร์ต้า แคนาดา

สองสามวันก่อน เลยมานั่งค้นหารูปเก่าๆ ที่พอจะส่งไปให้อาจารย์ที่ส่งข่าวมา เพราะทางคณะพยาบาลศาสตร์ แอลเบอร์ต้าจะรวบรวม ทั้งรูป จดหมาย และคำไว้อาลัย ต่างๆ เพื่อทำเป็นอัลบั้ม สำหรับมอบให้สามีของอาจารย์ในวันที่ทำพิธี

เสียใจอยู่หลายวัน เพราะถึงจะไม่ได้เจอกับท่านมาร่วม 4-5 ปี แต่สัมพันธภาพที่มีต่อกัน และการติดต่ออย่างต่อเนื่อง แถมอาจารย์ยังเมตตาเป็นพี่เลี้ยงให้เสมอไม่ว่าในเรื่องการงานหรือเรื่องชีวิตส่วนตัว  เหมือนที่ท่านเคยพูดตอนที่เรียนจบปริญญาเอก ว่า การเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์นั้น ไม่สิ้นสุดเฉพาะเมื่อนักศึกษาเรียนจบรับปริญญา แต่เป็นข้อสัญญาใจอย่างหนึ่งว่า จะทำหน้าที่ของการเป็นที่ปรึกษาไปโดยตลอด

ความชุลมุนของเดือนสิงหาคม ทำให้ได้ข้อคิดว่า คนเรานี้หากมีอะไรที่พอจะดูแลตัวเองและดูแลกันและกันได้ยามมีชีวิตก็ไม่ต้องผลัดวันประกันพรุ่ง รีบทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ซะแต่ตอนนี้ดีกว่า จะได้ไม่เสียใจและเสียดายวันเวลาที่ผ่านเลย

การดูแลพ่อแม่ไม่ต้องรอตอนที่ท่านเจ็บป่วย แต่ควรดูแลซะตั้งแต่ตอนที่ท่านยังไม่เจ็บป่วย พ่อแม่ที่เราเคยคิดว่ารู้จักมาตลอดชีวิต ลองหวนไปเรียนรู้อย่างใกล้ชิดอีกแล้วจะแปลกใจว่ามีอีกหลายอย่างที่ต้องเรียนรู้เพื่มขึ้น การเรียนรู้จักพ่อแม่ตัวเอง เป็นเรื่องสนุกไม่แพ้การได้เรียนรู้จักคนอื่นๆ ในสังคม

การดูแลครูบาอาจารย์ที่เคยอบรมสั่งสอนเรา ก็ควรทำซะตั้งแต่ตอนที่ท่านมีชีวิต

การดูแลตัวเองก็ควรทำซะก่อนที่จะต้องล้มหมอนนอนเสื่อ เพราะถ้าเราไม่สบายแล้ว คนที่เราต้องทำหน้าที่ดูแลก็จะพลอยลำบากไปด้วย

ก่อนสิ้นเดือนเลยไปตรวจสุขภาพ น้ำหนักหายไปบ้างแต่ก็น่าแปลกใจ(เล็กน้อย) ว่า ผลเลือด ออกมาดีทุกตัว ทั้งค่าตับ ไต และน้ำตาลในเลือด ทั้งๆที่ กินน้อย กินมังสะวิรัติไปซะมาก นอนน้อย งานก็ทำทุกวัน แต่ก็เดาเอาเองว่าคงเพราะงดดื่มชา กาแฟ มานานพอควร (มั้ง)

ไปตรวจร่างกายคราวนี้ ได้คุยปรึกษาหมอ คือสงสัยว่าตัวเองแพ้ “ยาแก้แพ้” ที่เคยได้รับ คือกินแล้วจะรู้สึกหัวใจเต็นแรงเร็ว ความดันโลหิตเพิ่ม …ที่บอกอย่างนี้เพราะสังเกตตัวเองว่า ความดันจะปกติทุกเช้า 110-120/64-70 ชีพจร 70-80 แต่พอวันไหนที่กินยาแก้แพ้ที่ได้รับประมาณช่วง 10-11 น. จะมีอาการปวดศีรษะและหัวใจเต้นแรงเร็ว ความดันโลหิตเพิ่ม ชีพจรเพิ่ม เลยบันทึกค่าความดันโลหิตไว้ในสมุดมาประมาณ 3 เดือนแล้ว เลยเอาผลที่บันทึกให้หมอช่วยดู หมอไม่ค่อยเชื่อ แต่ก็ยินดีรับฟังและเปิดเภสัชตำรับว่า ยาตัวนี้มีผลข้างเคียงคือทำให้ชีพจรเร็ว ความดันโลหิตเพิ่มได้ ประมาณร้อยละ 10 ของผู้ใช้ ตอนนี้เลยงดยาแก้แพ้ และตามดูค่าความดันต่อ

อายุมากแล้ว อะไรที่ควรทำก็ต้องทำๆซะ วันเวลามันผ่านไปแล้วเรียกคืนไม่ได้จริงๆ นะคะ

+++++++++++++++++++++++

เดือนสิงหาคมก็ผ่านไปแล้ว เดือนกันยายนนี้ ทางเหนือเรียกเดือน “กลั้นอยาก” …หมายความว่าเป็นเดือนที่อาหารการกินไม่ค่อยสมบูรณ์ ผักใบก็แพงเพราะโดนฝนกระหน่ำ ข้าวก็ยังไม่สุกและอาจจะเสียหายจากน้ำท่วม เข้าลักษณะข้าวยากหมากแพง ของกินของใช้บางอย่างจะฝืดเคือง

สำหรับฤดูกาลผลัดใบทางสังคมการเมืองการราชการ นี้ก็คงเช่นกัน (มั้ง) นะคะ

เพราะเป็นเดือนสิ้นสุดมีคนเกษียณ ก็มีคนรอขึ้นตำแหน่ง ก็คงมีคนที่ต้องกลั้นอยากบ้าง ถ้าหวังมากจนน้ำลายไหลไม่รู้ตัว หรือที่ห่วงตำแหน่งมากจนไม่เป็นอันทำงาน ก็ต้องคิดให้ดี ในยุคนี้ วันเวลาผ่านเร็ว งานหลักเพื่อส่วนรวมอะไรๆ ที่ไม่ทำตอนที่ยังควรทำ พอน้ำลด ระวังตอผุด ก็แล้วกันนะคะ

ตอบคำถามจากบันทึกคุณเกด...ปรองดองหรือต่อรอง...โอ้..กรุงเทพเมืองฟ้าอมร...

« « Prev : โชคดี!!

Next : ใจสีฟ้า » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

1034 ความคิดเห็น


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 7.300714969635 sec
Sidebar: 0.35388112068176 sec