โอ้..กรุงเทพเมืองฟ้าอมร

โดย อุ๊ยสร้อย เมื่อ มิถุนายน 30, 2011 เวลา 4:21 (เย็น) ในหมวดหมู่ การจัดการศึกษา, การเรียนรู้ชีวิต, ความสุข, ชีวิต, เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 6093

ไปกรุงเทพฯ แบบรู้กระทันหันว่ามีงานให้ไปช่วยทำ

เห็นชื่ออาจารย์กรรณิการ์ วิจิตรสุคนธ์ ท่านผู้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ …เป็นอาจารย์ที่เคารพสมัยที่เรียนปริญญาโท…และหน่วยงานที่จัดก็คณะพยาบาลศาสตร์ ศิริราช ถึงจะรู้ด่วนก็ตัดสินใจไปเพราะถือว่างานนี้ไปตามกิจกตัญญู ไปเรียนรู้ และถือโอกาสไปพบปะพูดคุยกับผู้ร่วมวิชาชีพด้วย

อาจารย์ท่านจะทำการประเมินหลักสูตร มีทีมสร้างเครื่องมือวัดแล้ว แต่เชิญให้ไปร่วมให้ความเห็น …ก็ถือว่าท่านให้มีส่วนร่วม

ประชุมกับคนในวิชาชีพเดียวกัน ที่มาจากทุกภาคฯ แต่อยู่ในสภาพการทำงานคล้ายๆ กัน ทำให้ได้แลกเปลี่ยนวิธีแก้ปัญหาของแต่ละที่

อบอุ่นใจดีค่ะ

แถมได้ของแถมพิเศษเพิ่มคือ เป็นคราวบังเอิญที่ ครูบา พี่หมอเจ๊ ท่านหมอจอมป่วน พี่บางทราย น้าอึ่งอ๊อบ และน้าแป๊ด ก็อยู่กรุงเทพฯ เหมือนกัน

แต่จะได้เจอก็เมื่อวันที่ 25 เย็น ..โห…อย่างนี้ ไม่เลื่อนตั่วกลับจากเย็น 25 เป็นเช้า 26 เพื่อได้เจอกัน คุนกัน….ก็เท่ากับปล่อยโอกาสหลุดลอยอย่างน่าเสียดายแน่ๆ

คำว่า “โอกาส” นะคะ เคยมีคนเปรียบเทียบให้ฟังว่า

“โอกาส” ก็เหมือนคนหัวล้านที่มีผมเหลือกระจุกเดียวด้านหน้า..หากคนหัวล้านนั้นวิ่งผ่านไปแล้วจะคว้าก็ไม่สามารถคว้าได้

ถ้าเห็นโอกาสก็ควรรีบกางมือเตรียมจับผมกระจุกนั้นไว้…อิอิ

ไปเมืองกรุงในระยะหลังนี้ ไม่ชอบอยู่นานเพราะรู้สึกอึดอัดกับรถเยอะ คนมาก การเดินทางไปไหนแต่ละทีใช้เวลาบนถนนนานกว่าเวลาที่ทำธุระซะอีก…ระยะทางไม่กี่กิโลแต่นั่งในรถนานกว่านั่งเครื่องจากเชียงใหม่มากรุงเทพฯ เลยไม่แปลกใจถ้าจะเห็นคนอยากทำอะไรก็รีบๆ เพราะเขาต้องใช้เวลากับการเดินทางมากนั้นมั้ง

ที่เห็นแล้วกังขา คือถนนรัตนาธิเบศที่ตั้งโรงแรมนั้น ตลอดสายสุดลูกหูลูกตาไม่มีต้นไม้เลย…. กังขาว่าเดิมพื้นที่ตรงนั้นเป็นอะไร น้องที่บ้านแถวๆนั้นบอกว่าเป็นที่นาโล่งและเป็นต้นหมาก เรียกว่าเป็นดงหมากเลย อ๋อ!…เป็นพื้นที่ไม่มีต้นไม้ใหญ่มาก่อน และก็ยังกังขาว่าอ๊อกซิเจนจะมาจากไหน …ไม่ได้รู้ว่าสภาพของพื้นที่อาศัยลมจากแม่น้ำด้วยไหม

ชีวิตในโรงแรมไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าขาดอ๊อกซิเจนคงเพราะเครื่องปรับอากาศมั้ง…แต่สงสัยว่าถ้าหากไม่มีต้นไม้ช่วยฟอกอากาศ เปอร์เซนต์ของอ๊อกซิเจนจะมีเท่าไหร่

ก็ได้แต่สงสัยน่ะค่ะ พอถึงเวลากลางคืนก็เห็นอีกมุมว่าถนนรัตนาธิเบศสวยมากเลย ไฟฟ้าประดับ ร้านรวง ตึกรามมีไฟพราวตาจนดูเหมือนว่าคนไม่หลับไหลหรือไง มองแล้วใจก็ไพล่ไปนึกถึงประเทศอังกฤษยามผยอง ที่บอกว่าเป็นประเทศที่ไม่มีพระอาทิตย์ตกดิน ….ถ้านิยามกรุงเทพฯ คงว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ไม่มีเวลานอน..มั้ง

กลับจากกรุงเทพฯ ก็ขึ้นวอร์ดทุกวัน เมื่อวานนี้ตอนบ่ายไปเป็นวิทยากรให้กับนักศึกษาหลักสูตรมหาบัณฑิต (ชื่อโครงการยาว) ที่ท่านผู้จัดให้วัตถุประสงค์มา 4 ข้อ ในเวลา 3 ชั่วโมง นึกถึงคำท่านหมอจอมป่วนและพี่หมอเจ๊ ตอนที่ไปกรุงเทพฯ และได้คุยกัน ที่บอกว่าเวลาเท่านี้ ก็ทำอะไรได้เท่านี้ คนจัดเขาไม่เข้าใจก็จะคาดหวังไว้อย่างหนึ่ง ที่ควรคือนั่งคุยเลยว่าจะทำได้ได้อย่างไร แค่ไหน

แต่เพราะไม่มีโอกาสคุย ก็เลยถามนักศึกษาว่า บ่ายนี้ต้องการอะไร…คำตอบเหมือนสูตรสำเร็จ อยากได้กิจกรรมสนุก อยากรู้จักตนเองรู้จักคนอื่น อยากรู้วิธีเรียนให้จบเร็วๆ ไม่เครียด…ซึ่งไม่ตรงกับวัตถุประสงค์โครงการเท่าไหร่ (แฮะ…ฮ่าๆ) ก็…แน่นอนอ่ะนะคะ ทำในสิ่งที่ผู้เรียนต้องการ…อิอิ

นำเสนอวิธีการพักผ่อนกายใจ…ให้ทุกคนปฏิบัติ…ให้เล่าเจ้าเป็นไผ จัดประสบการณ์ฝึกการฟัง มีกิจกรรมให้เรียนรู้ด้วยกัน ชักชวน จูงใจ จัดบรรยากาศเป็นมิตร ….ลื่นไหลไปตามช่วงเวลาและการนำพาของเรื่องราว

ตอนจบ…AAR คำตอบที่ได้ ก็ต่างคนต่างเรียนรู้ มีคนบอกว่า ได้ฟังเรื่องราวของคนอื่นทำให้เกิดกำลังใจ ทำให้ความทุกข์ที่คิดว่าตนเองแบกไว้มากนั้นดูเล็กนิดเดียว

ได้ผ่อนคลายมาก เพิ่งรู้สึกว่าการพักผ่อนทั้งกายและใจนั้นทำให้ใจสบาย ไม่ปวดเมื่อย

ไม่คิดว่าตนเองจะเล่าเรื่องราวได้มากอย่างนี้

ทำไมเรียนอย่างนี้สนุก ไม่หิว ไม่ง่วง ไม่เบื่อ

ได้เห็นภาพตัวเองชัดๆ เข้าใจคนอื่นมากขึ้น

รู้สึกโชคดีที่ได้มาเจอกัน เรียนด้วยกัน

รู้สึกขอบคุณเพื่อนๆ ที่ให้กำลังใจ

ฯลฯ

ยืมคำพูดหมอจอมป่วนที่ชอบถามว่า …..แล้วใครห้ามสนุกตอนเรียนล่ะ

ยืมคำพูดครูบาบอกว่า…การเรียน ชีวิตและการงานเป็นเรื่องเดียวกัน

ยืมคำพูดครูอึ่ง ที่บอกว่า ….ชวนมาเป็นนักเรียนของชีวิต

ยืมบทกวีญี่ปุ่นที่บอกว่า เวลาปัจจุบันคือเวลาที่สวยงามที่สุด

และปิดท้ายด้วยการขอบคุณนักศึกษาทุกคนที่ได้มารู้จักร่วมกิจกรรม แลกเปลี่ยนแบ่งปันกัน ทั้งโลกที่มีคนกว่าห้าหกหรือเจ็ดพันล้านคนนี้ จะมีกี่คนที่เราได้โอกาสรู้จัก พบกัน และมีเรื่องราวมาเรียนรู้ด้วยกัน…การพบกันแม้เพียงเสี้ยวหนึ่งก็นับว่าเป็นวาสนาแล้ว แล้วที่มาใช้ชีวิตร่วมเรียนด้วยกันนั้น ..ยิ่งนับว่าเป็นวาสนาอย่างยิ่งแล้ว

….

คนเราสักกี่คนที่จะมีวาสนาพบปะ เจอกัน ….ยิ่งได้เจอกันแต่ละครั้งยิ่งได้เรียนรู้เพิ่มพูน สร้างใจที่แข็งแกร่ง มีพลังทำสิ่งต่างๆ ให้กับสังคมด้วยแล้ว การหาโอกาสให้กับชีวิตก็เท่ากับการแสวงหาวาสนาให้กับตัวเองด้วย…ใช่ไหมคะ

ขอบคุณนะคะ น้าอึ่ง แป๊ด ป้าจุ๋ม พี่หมอเจ๊ พี่บางทราย ท่านหมอจอมป่วน และท่านครูบา ที่ทำให้ได้มีวาสนาไปเรียนรู้ อิ่มอกอิ่มใจก่อนกลับมาทำกิจของชีวิตที่เชียงใหม่ต่อค่ะ

เตรียมไปสวนป่าในโครงการ “วิถีพอเพียง:ชีวิตที่มีคุณค่า”...คำเมือง: ของกิ๋นบ่อกิ๋นก่อเน่า...

« « Prev : อ่านป้ายรายทางก่อนเลือกตั้ง

Next : คิดถึงชายตัดไม้ » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

982 ความคิดเห็น


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 1.8560769557953 sec
Sidebar: 0.01872706413269 sec