วิชา เหรียง (2)

ไม่มีความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 16 มีนาคม 2010 เวลา 5:26 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1268

จาก “วิชาเหรียง” ตอนที่หนึ่งทำให้ผมคิดต่อว่าน่าจะได้รวบรวมข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับพืชชนิดนี้เก็บไว้ประกอบการเรียนรู้  ตอนแรกจะเก็บเป็นไฟล์เอกสารไว้ใช้ส่วนตัวแต่มาคิดอีกที คนอื่นที่ควรได้ประโยชน์จากสิ่งที่รวบรวมก็หมดโอกาส  จึงตัดสินใจนำสิ่งที่สืบค้นได้มารวบรวมไว้ที่นี่ เป็นบันทึกชื่อ วิชา “เหรียง”(2)

   รายละเอียดมีดังนี้ครับ

*

 เหรียง
 
 ชื่อวิทยาศาสตร์ :Parkia timoriana Merr.
 ชื่อวงศ์ :MIMOSACEAE

 ชื่ออื่น ได้แก่ กะเหรี่ยง, เรียง, สะเหรี่ยง (ใต้); นะกิง, นะริง (มาเลย์-ใต้) (เต็ม สมิตินันทน์, 2523); สะตือ (ใต้) (กัญจนา ดีวิเศษ,2542)
 
   ไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ สูงประมาณ 30-50 เมตร ไม่ค่อยมีกิ่งก้านที่ลำต้น เปลือกเรียบและหนาสีเทาปนเขียวอ่อน มีกลิ่นฉุน ลักษณะทั่วไปคล้ายสะตอ แต่พุ่มใบแน่น และเขียวทึบกว่า ใบใหญ่และหนากว่าสะตอ ลักษณะใบเป็นแบบช่อ ใบประกอบมี 18-33 คู่ ใบแคบปลายแหลม ใบแก่จะเป็นสีเหลืองร่วงเกือบหมดต้น และผลิใบใหม่แทน ลักษณะดอกเป็นดอกช่อแบบสะตอ ออกที่ปลายยอด เป็นก้านยาวสีเขียวสลับน้ำตาล ลักษณะผลเป็นฝัก กว้างประมาณ 3-4 เซนติเมตร ยางประมาณ 20-30 เซนติเมตร เมล็ดรูปไข่ ประมาณ 15-20 เมล็ดต่อฝัก ฝักแก่เต็มที่มีสีดำ เมล็ดในสีดำ เนื้อในเมล็ดมีสีเขียวเข้ม และมีกลิ่นฉุน เปลือกต้นเป็นยาสมานแผล ลดน้ำเหลือง เมล็ดเมื่อแก่ตัดส่วนปลายนำไปเพาะให้แตกรากสั้นๆ รับประทานสดหรือดอง
 
Source : http://www.scitour.most.go.th

 

** 

   เหรียง

ชื่อพฤกษศาสตร์ : Parkia timoriana Merr.
วงศ์ : LEGUMINOSAE - MIMOSOIDEAE
   เหรียง เป็นพืชสกุลเดียวกับสะตอ  เหรียงเป็นไม้ต้น สูงได้ถึง  50  เมตร   ต้น  เปลา  ตรง  เกลี้ยง   เนื้อไม้สีน้ำตาลอมเหลือง  ไม่มีแก่น  อ่อนและเปราะ มีเสี้ยนตรงกลางอย่างสม่ำเสมอ  เนื้อไม้ผ่าได้ง่าย จึงเหมาะที่จะทำเป็นไม้บางๆ  ใบประกอบแบบขนนก 2 ชั้น  ใบเรียงสลับ  ใบย่อยจำนวนมาก รูปขอบขนาน  ดอกช่อ  ออกเป็นช่อกลม   ก้านช่อยาว  ผล  เป็นฝัก  แคบ แบน ออกดอกเดือนพฤศจิกายน - เดือนธันวาคม  ติดฝักเดือนมกราคม -  กุมภาพันธ์  การขยายพันธุ์  เพาะเมล็ด ประโยชน์  เนื้อไม้ใช้ทำลังใส่ของ   ก่อสร้างภายใน   เมล็ด เพาะให้งอก นำไปดอง รับประทานเป็นผัก  เปลือกและเมล็ด ขับลมในลำไส้   ถิ่นกำเนิด  อินเดีย  และปาปัวนิวกินี    เป็นพืชเขตร้อน ชอบที่มีน้ำฝนและมีความชุ่มชื้นในอากาศสูง

Source : http://www.wangtakrai.com/panmai/detail.php?id=357

 

*** 

   เหรียง

 
1.  ชื่อพันธุ์ไม้          เหรียง

2.  ชื่อสามัญ          (ไทย)เหรียง  เรียง  สะเหรี่ยง (ภาคใต้)  กะเหรี่ยง  นะกิง  นะริง

                            (มาลายู ภาคใต้)

                            (อังกฤษ)               -

3.  ชื่อวิทยาศาสตร์   Parkia javanica Merr. และมีชื่อพ้องทางพฤกษศาสตร์ คือ

                            P. timoriana Merr. , P. roxburghii G. Don.

4.  ชื่อวงศ์              Mimosaceae

5.  การกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติ

        เหรียง  เป็นพันธุ์ไม้ที่มีเขตการกระจายพันธุ์ แถบหมู่เกาะติมอร์ และแถบเอเซียเขตร้อน ซึ่งรวมตั้งแต่ประเทศอินเดีย จนถึงประเทศปาปัวนิวกินี สำหรับในประเทศไทยพบขึ้นทั่วไปในภาคใต้ ตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไป ชอบขึ้นตามป่าดิบชื้น ตั้งแต่ในระดับพื้นที่ต่ำจนถึงพื้นที่สูงถึง 100 เมตรจากระดับน้ำทะเล แต่อย่างไรก็ตามอาจมีบ้างที่เจริญเติบโตได้ในระดับสูงไม่เกิน 600 เมตรจากระดับน้ำทะเล

        เหรียงเป็นไม้ที่ชอบแสงกสว่างและพื้นที่ค่อนข้างชุ่มชื้น มักจะเริ่มผลัดใบในขณะที่ออกช่อดอก และใบจะร่วงหล่นจนหมดต้นเมื่อผลเริ่มแก่พร้อม ๆ กับใบอ่อนที่ผลิออกมาใหม่

6.  ลักษณะทางวนวัฒนวิทยา

        เหรียงเป็นพืชวงศ์เดียวกับสะตอและลูกดิ่ง เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดใหญ่ ลำต้นเปลาตรง สูงถึง 50 เมตร มีพูพอนสูงถึง 7 เมตร ลักษณะทั่วไปคล้ายคลึงกับสะตอ แต่แตกต่างกันตรงที่พุ่มใบของเหรียงมักจะเป็นพุ่มกลม ไม่แผ่กว้างมากนักพุ่มใบแน่นและเป็นสีเขียวทึบกว่าพุ่มใบของสะตอ  เปลือก เรียบ กิ่งก้านมีขนปกคลุมประปราย

         ใบ   ก้านใบยาว 4 - 12 ซม. มีต่อมรูปมนยาว 3.5 - 5 มม. อยู่เหนือโคน ก้านแกนช่อใบยาว 25 - 40 ซม. มีช่อใบแขนงด้านข้าง 18 - 33 คู่ ใต้รอยต่อของก้านช่อใบแขนงด้านข้างมักจะมีต่อมเล็ก ๆ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 - 3 ซม. ช่อใบแขนงยาวประมาณ 7 - 12 ซม. แต่ละช่อมีใบย่อย 40 - 70 คู่ ใบย่อยรูปขอบขนานแคบ ๆ กว้าง 5 - 7 มม. ยาว 1.5 - 1.8 มม. ปลายใบแหลมโค้งไปทางด้านหน้า ฐานใบมักจะยื่นเป็นติ่งเล็กน้อย เส้นแขนงใบด้านข้างไม่ปรากฏชัดเจน

         ดอก  ออกเป็นช่อกลม ขนาดของดอกกว้าง 2 ซม. ยาว 5 ซม. ก้านช่อดอกยาว 20 - 25 ซม. ดอกย่อยมีก้านดอกสั้น ๆ และใบประดับยาว 4 - 10 มม. รองรับกลีบรองกลีบดอกของดอกสมบูรณ์เพศเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาว 8 - 11 มม.

         ผล  เป็นฝักกว้าง 3 - 4 ซม. ยาว 22 - 28 ซม. ตัวฝักตรงไม่บิดเวียนเหมือนสะตอบางพันธุ์ เมล็ดไม่นูนอย่างชัดเจน แต่ละฝักมีเมล็ดรูปไข่ ขนาดประมาณ 11 x 20 มม. ประมาณ 20 เมล็ด เปลือกหุ้มเมล็ดหนาสีคล้ำ

         ระยะการออกดอก-ผล  ออกดอกระหว่างเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม ฝักแก่ประมาณเดือนมกราคม - กุมภาพันธุ์

7.  การขยายพันธุ์

        การขยายพันธุ์เหรียงที่นิยมกันมากในปัจจุบันคือ การขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด นอกจากนี้ยังสามารถขยายพันธุ์โดยมีวิธีอื่น ๆ ได้อีก เช่น การตัดกิ่งปักชำ และการขยายพันธุ์โดยการติดตา แต่การขยายพันธุ์โดยการตัดกิ่งปักชำ และการติดตานั้น ยังไม่เป็นที่นิยมปฏิบัติกัน

        การขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ดนั้น ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเก็บเมล็ดคือ ช่วงเดือนมีนาคม จนถึงเดือนพฤษภาคม  วิธีการเก็บเมล็ด เก็บจากฝักแก่ที่ร่วงหล่นบนดิน นำฝักมาผึ่งแดดให้แห้งเกรียม แล้วใช้ไม้ค้อนทุบให้ฝักแตกแกะเมล็ดออก

        การปฏิบัติต่อเมล็ดและการเพาะเมล็ด ใช้มีดตัดขั้วเมล็ดให้ขาดออกเล็กน้อยแล้วนำไปแช่น้ำ 1 คืน นำเมล็ดมาผึ่งให้แห้งก่อนเพาะในแปลงเพาะ หรือเพาะลงในถุงพลาสติก แล้วรดน้ำให้ชุ่ม หลังจากเพาะประมาณ 2 -3 วัน ก็จะเห็นต้นอ่อนของต้นกล้าโผล่ออกมา เมื่อกล้าอายุได้ประมาณ 2 เดือน ความสูงพอประมาณก็ทำการย้ายไปปลูกในแปลงปลูกที่เตรียมไว้

8.  การปลูก การเจริญเติบโตและการปรับปรุงพันธุ์

       ในการปลูกเหรียงนั้นสิ่งที่จะต้องพิจารณาเป็นอันดับแรกก่อนคือ การเลือกพื้นที่ที่จะปลูก ในการเลือกพื้นที่ปลูกเหรียงนั้น จะต้องคำนึงถึงปัจจัยที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเหรียงเป็นสำคัญ จากที่กล่าวมาแล้วในตอนต้นว่า เหรียงเป็นพืชในเขตร้อนชื้นซึ่งชอบที่มีประมาณน้ำฝนและความชื้นในอากาศที่สูง มีปริมาณฝนตกมากพอสมควรประมาณ 2,500 มิลลิเมตรต่อปี อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 20 - 30 องศาเซลเซียส เป็นไม้ที่ต้องการแสง ลักษณะดินชอบดินที่อุ้มน้ำ และเก็บความชื้นได้ดีส่วนมากเป็นดินเหนียว หรือดินร่วนปนทราย ดังนั้นในการเลือกพื้นที่ปลูกเหรียงจะต้องพิจารณาถึงปัจจัยเหล่านี้ด้วย

       การปลูกไม้เหรียงควรจะทำการปลูกในช่วงต้นฤดูฝน เพราะจะทำให้กล้าไม้เจริญเติบโตได้ดี มีเปอร์เซ็นต์การรอดตายสูง ซึ่งช่วงเวลาที่เหมาะสมในการย้ายปลูกควรอยู่ระหว่างเดือนพฤษภาคม - กรกฎาคม ขนาดของกล้าไม้ที่เหมาะสมในการย้ายปลูกอายุประมาณ 2.5 เดือน สูงประมาณ 30 ซม.

       สำหรับระยะปลูกนั้นควรพิจารณาจากความกว้างของเรือนยอดเมื่อไม้โตเต็มที่ ระยะปลูกที่เหมาะสมคือ 8 x 8 เมตร หรือ 10 x 10 เมตร เมื่อปลูกเหรียงแล้ว เนื่องจากเรือนยอดเหรียงโปร่ง อาจพิจารณาปลูกไม้ชนิดอื่นใต้ต้นเหรียงได้

       เหรียงเป็นไม้ที่มีอัตราการเจริญเติบโตที่เร็วชนิดหนึ่ง มีความเพิ่มพูนทางด้านความสูงรายปีมากกว่า 60 ซม.ต่อปี เป็นไม้ที่ต้องการแสงแดดในการเจริญเติบโต จากการทดลองปลูกไม้เหรียงเปรียบเทียบการเจริญเติบโตกับไม้ชนิดอื่นอีก 5 ชนิด คือ สะตอ หลุมพอ ทัง ตำเสา และไม้เคี่ยม ที่สถานีทดลองปลูกพรรณไม้สงขลา อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา ในแปลงทดลองลักษณะดินเป็นดินร่วนปนทราย (sandy loam) ระดับผิวดินลึกประมาณ 15 - 30 ซม. ค่า pH ประมาณ 4.6 ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 1,200 - 2,000 มิลลิเมตรต่อปี ดำเนินการทดลองในปี พ.ศ. 2525 การเจริญเติบโตของไม้เหรียงเมื่ออายุ 3 ปี ปรากฏว่ามีการเจริญเติบโตทางความสูงเฉลี่ย 2.04 ม. ความโตเฉลี่ย 3.50 ซม. มีอัตราการรอดตาย 91% เมื่อเปรียบเทียบการเจริญเติบโตกับไม้ชนิดอื่น ๆ ในโครงการชนิดเดียวกัน ดังแสดงในตาราง

     ตารางเปรียบเทียบการเจริญเติบโตของไม้เหรียงกับไม้ชนิดอื่น ๆ 5 ชนิด เมื่ออายุ 3 ปี ณ สถานีทดลองปลูกพรรณไม้สงขลา

ชนิดไม้ ความสูง (ม.) ความโต (ซม.) การรอดตาย (%)
เหรียง Parkia javanica 2.04 3.5 91
           
สะตอ  Parkia speciosa 0.96 1.51 37
           
หลุมพอ 

Intsia palembanica

0.91 1.44 46
           
ทัง     Litsea grandis 1.13 1.75 67
           
ตำเสา  Fragraea fragrans 2.12 3.23 88
           
เคี่ยม   Catylelobium melannxylon 0.9 1.02 24
          
ที่มา : สุทธิ  มโนธรรมพิทักษ์, 2529        

9.  วนวัฒนวิธีและการจัดการ

         ข้อมูลการศึกษาเกี่ยวกับวนวัฒนวิธีและการจัดการของไม้เหรียงนั้น ยังไม่ได้มีการรายงานไว้ แต่อย่างไรก็ตามเพื่อให้ไม้เหรียงที่ปลูกมีการรอดตาย และมีการเจริญเติบโตดี พ้นจากการแก่งแย่งของวัชพืชและศัตรูธรรมชาติ จึงจำเป็นต้องมีการดูแลรักษาต้นไม้ที่ปลูก สิ่งที่ควรปฏิบัติมีดังนี้

         1.  การกำจัดวัชพืช  เนื่องจากไม้เหรียงเป็นไม้ที่ต้องการแสงมาก แม้ว่ากล้าไม้เหรียงจะมีความสามารถแก่งแย่งกับพวกวัชพืชได้ดีก็ตาม แต่ในปีแรกมีความจำเป็นต้องเอาใจใส่ดายวัชพืชให้ในกรณีที่มีพวกวัชพืชแย่งเบียดบัง ดังนั้นในการปลูกระยะแรก ๆ จำเป็นต้องกำจัดวัชพืชไม่ให้สูงคลุมต้นเบียด และแย่งแสงและอาหารจากต้นไม้ได้ อาจกระจำโดยการดายวัชพืช โดยใช้แรงคนหรืออาจใช้สารเคมีพ่นก็ได้

         2.  การปลูกซ่อม  หลังจากปีแรกผ่านไป ควรมีการตรวจสอบและปลูกซ่อมต้นที่ตายเพื่อเพิ่มจำนวนต้นไม้ให้เต็มเนื้อที่ตามที่ได้กำหนดไว้ในตอนแรก และยังช่วยให้การบำรุงรักษาสะดวกขึ้น

         3.  การป้องกันไฟ  โดยทั่ว ๆ ไปแล้วการทำแนวกันไฟควนให้กว้างประมาณ 10 - 15 ม. รอบแปลงสวนป่า เพื่อป้องกันไฟภายนอกหรือจากการเผาไร่ไม่ให้ลุกลามเข้ามายังสวนป่า พวกวัชพืช เช่น หญ้าคาจะเป็นเชื้อเพลิงได้อย่างดีในฤดูแล้ง ดังนั้นการกำจัดวัชพืชที่ดีก็จะช่วยลดปัญหาด้านไฟได้เป็นอย่างดี ในพื้นที่ภาคใต้นิยมใช้ยา round up กำจัดวัชพืช

10. การใช้ประโยชน์

      เหรียงเป็นไม้โตเร็วอเนกประสงค์พื้นเมืองที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจที่สำคัญชนิดหนึ่งของประเทศไทย สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่างดังนี้

      1.  การใช้ประโยชน์ด้านเนื้อไม้  ไม้เหรียงมีลำต้นกลม ตรง เปลา เนื้อไม้สีขาวนวล ไม่มีแก่น อ่อนและเปราะ เสี้ยนตรงสม่ำเสมอ เลื่อยผ่าได้ง่าย เหมาะที่จะทำพวกไม้บาง นำมาใช้ในการทำส่วนประกอบที่เบาหรือเป็นโครงร่างของการผลิตต่าง ๆ เช่น หีบใส่ของ รองเท้าไม้ ไม้หนาประกบพวกเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้สอย เช่น พวกเครื่องใช้ในครัวเรือน เครื่องครัว เครื่องมือวิทยาศาสตร์ แพ และเรือที่ขุดจากต้นไม้

      2.  ใช้ประโยชน์สำหรับเป็นผักบริโภค  กล้าของเหรียงที่เพาะใหม่ ๆ สามารถนำมารับประทานเป็นผักได้เช่นเดียวกับสะตอ แต่เหรียงจะมีรสขมกว่า กรรมวิธีในการนำเมล็ดเหรียงออกมารับประทานก็คือ เมื่อฝักของเหรียงแก่จัดจะตกลงนั้น สามารถนำไปกระเทาเอาเมล็ดออกมา เมล็ดมีเปลือกแข็ง ทำให้สามารถเก็บเมล็ดได้นาน และจะนำมาเพาะได้เมื่อจำเป็น ในการเพาะควรตัดปลายเมล็ดแล้วนำไปเพาะในกะบะทรายจึงจะนำไปแช่น้ำค้างคืนก่อนที่จะมีความชุ่มชื้นเพียงพอ ต่อมาก็จะมีรากและใบเลี้ยงโผล่ออกมา ซึ่งใบเลี้ยงจะมีลักษณะสีเขียวจึงแกะเอาเปลือกออกล้างน้ำให้สะอาด นำไปรับประทานเป็นผักต่อไป

       3.  ใช้ประโยชน์ในการขยายพันธุ์พืช  เนื่องจากต้นเหรียงสามารถเจริญเติบโตได้ดีแม้แต่ในสภาพที่ไม่เหมาะสม จึงมีการนิยมนำต้นเหรียงมาใช้เป็นต้นตอในการติดตาพันธุ์สะตอ

       4.  ใช้ประโยชน์ด้านการปรับปรุงดิน  เนื่องจากเหรียงเป็นพืชตระกูลถั่ว จึงมีคุณสมบัติทางด้านการบำรุงดินให้ดีขึ้น ใบของเหรียงมีขนาดเล็ก เหมาะสมในการนำมาปลุกควบกับพืชอื่น ๆ เช่น กาแฟ ทำให้กาแฟมีผลผลิตสูงขึ้นติดต่อกันไป

       5.  ใช้ประโยชน์ด้านอื่น ๆ  เปลือกและเมล็ดของเหรียงมีคุณค่าทางด้านสมุนไพรดีกว่าสะตอ ส่วนใหญ่เมล็ดใช้เป็นยาแก้อาการจุกเสียด

Source : http://www.dnp.go.th/Pattani_botany/


วิชา “เหรียง”

3 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 11 มีนาคม 2010 เวลา 6:42 (เช้า) ในหมวดหมู่ การเพาะปลูก #
อ่าน: 1606

 

   อีกไม่กี่วันผมก็จะอพยพกลับบ้านที่ไชยาแล้วครับ เพราะขนสัมภารกไปกองเป็นภูเขาไว้แล้ว หนึ่งในหลายงานที่อยากทำคือทำบ้านและบริเวณโดยรอบประมาณ 1 ไร่ให้เป็น ศูนย์การเรียนรู้  เป็นแหล่งแลกเปลี่ยนเรียนรู้อะไรก็ได้ที่จะทำให้ชีวิตมีความปกติสุขทั้งฝ่ายกายและจิตวิญญาณ .. ในใจก็ได้บรรจุเรื่อง “เหรียง” ไว้เป็นวิชาแรกๆแล้วครับ

 
   ตอนเด็กๆผมเคยมีหน้าที่สับเม็ดเหรียงเพื่อเตรียมเพาะ โดยใช้เครื่องมือง่ายๆที่พ่อทำให้ คือใช้ไม้ไผ่ขนาดประมาณ 1 นิ้ว ยาวราว 1 ฟุต ตรงกลางเจาะรูกลมๆขนาดพอให้หัวเม็ดเหรียงโผล่ออกไปได้ ตอกไม้ดังกล่าวลงบนดินนั่งป้อนเม็ดเหรียงเข้าช่องดังกล่าวและใช้มีดคอยสับปลายเม็ดที่ยื่นออกไปทางด้านตรงกันข้าม  ทำงานได้เร็วและปลอดภัยดีมาก จำได้ว่าไม่เคยมีอุบัติเหตุมีดบาดเพราะการทำงานนี้แม้แต่ครั้งเดียว  ตอนนี้ได้ความรู้เพิ่มเติมจากการพูดคุยกับท่านครูบาสุทธินันท์และดร.แสวง เกิดแนวทางใหม่ๆให้ได้ลองอีกหลายอย่าง เช่นการขัด การต้มเม็ดเหรียงก่อนเพาะ ผมได้ตั้งโจทย์เพื่อการลองของไว้แล้ว 2-3 ข้อครับ

  1. เพาะเม็ดเหรียงให้ได้ผลเร็วที่สุดต้องทำอย่างไร
  2. ต้นกล้าเหรียงที่มีกิ่งเป็นสะตอทำได้หรือไม่ และทำอย่างไร
  3. ทำต้นเหรียงใหญ่ให้ออกฝักเป็นสะตอ ทำได้หรือไม่  ทำอย่างไร
  4. เมนูอาหารจากลูกเหรียงที่แปลกใหม่จากที่ทำๆกันอยู่ได้แก่อะไรบ้าง
  5. ฯลฯ

      ข่าวคืบหน้าจะนำมาบอกกล่าวเพิ่มเติมเมื่อถึงเวลาครับ


พร 3 ประการที่อ่านแล้วต้องสะดุ้ง

3 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 5 มีนาคม 2010 เวลา 7:33 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1193

     ผมกลับจากไปร่วมงานบุญ “ส่งตายาย” ที่บ้านเกิด อ.ไชยาเมื่อ 2-3 วันก่อนก็ได้เข้าไปอ่านพบข้อความในบันทึกหนึ่งของ “ป้าจุ๋ม” หรือ อ.สมพิศ  ไม้เรียง พี่สาวที่รัก-เคารพ เล่าเรื่องการไปร่วมงานบุญที่ ร่มธรรม สถานฝึกอบรม ปฏิบัติธรรมของ อ.ไร้กรอบ (ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ) และพูดถึงพร 3 ประการที่หลวงพ่อท่านให้ไว้  ผมอ่านปั๊บก็รู้ได้ทันทีว่า มันคืออะไร ที่ชอบใจมากก็ตรงที่หากตีความตื้นๆไปตามตัวอักษรแล้วล่ะก็ หลายคนอาจมองว่ามันน่าจะเป็นคำสาปแช่งมากกว่าพร  แต่ความจริงแล้วมันคือพรอันประเสริฐเลยทีเดียว

     ผ่านมาวันสองวัน ผมก็ได้นำไปถ่ายทอดต่อเพื่อก่อประโยชน์ให้กับคนคุ้นเคยอีกหลายคน  รวมทั้งการใช้พูดคุยกับคนป่วยที่ผมไปเยี่ยมมาที่ รพ.พระมงกุฏฯ เมื่อวันพุธที่ผ่านมาด้วย  ผมเล่าเรื่องนี้ประกอบในการมอบหนังสือธรรมะเรื่อง เมื่อหมดทุกข์ก็พบสุข ของ ท่านอาจารย์พุทธทาส  งานนี้ทำเอา พี่แมว คนป่วยที่ผมไปเยี่ยม หน้าตาสดใส และดูมีกำลังใจมากขึ้นเยอะเลย  ก่อนกลับยังขอจับมือผมไปแนบที่หน้าพร้อมกล่าวคำขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำอีก ผมก็เลยทวนซ้ำคำพรจากหลวงพ่ออีกรอบดังนี้ ..

  1. ขอจง อย่ามีอนาคต
  2. ขอให้ หมดเนื้อ หมดตัว
  3. ขอ อย่าให้ได้ผุดได้เกิด

    อ่านแล้วรู้สึกอย่างไรบ้างครับ .. แต่ที่อยากเตือนไว้ก็คือ อย่าเผลอใจร้อน รีบอวยพรใครแบบนี้ โดยไม่ดูตาม้าตาเรือนะครับ .. วิ่งหนีไม่ทันเดี๋ยวจะมาโทษกันว่าไม่เตือน .. แต่หากนึกตรึกตามดีๆ ก็จะพบว่านี่แหละคือสุดยอดคำพร ที่เราจะต้องทำให้ได้มากยิ่งๆขึ้นทุกวัน

   ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จครับ


เราเลือกได้

2 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 5 มีนาคม 2010 เวลา 7:32 (เช้า) ในหมวดหมู่ ธรรม #
อ่าน: 1434

     ผมห่างหายไปนับเดือน  ไม่มีโอกาสเข้ามาอ่านมาเขียนเนื่องจากสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตมันหนักหน่วงเอาการอยู่ไม่น้อย งูจงอางหนึ่งตัว และงูเห่าอีกหนึ่งตัวที่ผมอุ้มมา มันขบกัดและพ่นพิษใส่ครับ ตัวแรกมันกัดอย่างจงใจ ตัวที่สองกัดแบบไม่ตั้งใจ แต่ผลร้ายๆในทางโลก ทางวัตถุนั้นพอๆกัน  เวลาที่ผมเสียไปส่วนใหญ่ในระยะหลังก็เพื่อจัดการชำระสะสางให้ทุกอย่างลงตัวมีความปกติสุข และหวังจะได้ คิด ทำ พูด เขียน อะไรๆที่ให้ประโยชน์แก่ผู้คนอีกครั้งในเร็วๆนี้ 

    แม้สิ่งที่ได้รับเปรียบดัง Tsunami ผสม Tornado แต่มองในมุมบวก มันเป็นโอกาสพิสูจน์อะไรหลายอย่าง ที่สำคัญที่สุดคือพิสูจน์ว่าเราสอบผ่าน คือไม่ต้องบ้า ฆ่าตัวตาย หรือฆ่าคนตายอย่างที่เขาเป็นเขาทำกัน .. ผมกินได้ นอนหลับ สบายใจ ไม่ทุกข์ ไม่กระวนกระวายใจ แม้ร่างกายต้องเคลื่อนไหวเพื่อแก้ไขปัญหาบรรดามี แต่ใจนี้ไม่ได้แกว่งตามจนเสียศูนย์  เชื่อว่าถ้า ท่านอาจารย์ ยังอยู่ และล่วงรู้ ท่านคงพูดว่า “ถูกต้อง - พอใจ” เป็นแน่

   ผมบันทึกเรื่องราวทุกฉากทุกตอนไว้ ทั้งในความทรงจำ เป็นภาพถ่าย และเป็นเอกสาร มากบ้างน้อยบ้าง ด้วยหวังจะใช้เป็นสื่อในการถ่ายทอด ให้ความรู้แก่ผู้คนตามโอกาสที่เหมาะสมต่อไป .. อีกไม่นานน่าจะได้ค่อยๆปล่อยออกมาทีละเล็กละน้อยครับ

   สิ่งที่อยากจะฝากไว้ตรงนี้ก็คือ ไม่ว่าอะไรจะผ่านเข้ามาในชีวิต เราเองเลือกได้ครับที่จะ ทุกข์ หรือ ไม่ทุกข์ เคล็ดลับมีครับ บอกให้ก็ได้ว่า ..

  ” อย่าเผลอโง่ ไปคิดว่าสิ่งสมมุติที่เราสัมผัสอยู่นั้นนั้นเป็นความจริง ” และ ” อย่าไป แบก สิ่งที่ท่าน มี ใช้ และ เป็น .. ใช้สอย พึ่งพิง อิงอาศัยได้ แต่อย่าไปแบก

    เตือนสติตัวเองในแนวนี้บ่อยๆ และ ระลึกถึงความตาย ไว้สม่ำเสมอจะยิ่งดีครับ

    พูดถึงควาสุข ความทุกข์ ว่าเรานั้นเลือกได้ ก็ทำให้นึกถึงเรื่องราวที่กัลยาณมิตรผู้น้อง จากมหาสารคามส่งมาเป็น Forward mail น่าจะไปกันได้ดีกับสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น

   ลองอ่านดูสิครับ

  


ยาฆ่าย่า

2 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 13 มกราคม 2010 เวลา 9:32 (เช้า) ในหมวดหมู่ การจัดการความรู้ #
อ่าน: 1545

บนโลกใบนี้มองดูดีๆจะพบแต่ความผิดพลาดที่คนเราก่อกรรมทำกันไว้  ผลสะท้อนที่ชัดเจนอันเนื่องมาจากความผิดพลาดหลากหลายอย่างดังกล่าวก็คือความวิปริต แปรปรวนของธรรมชาติ และความเลวร้ายของสภาพแวดล้อม ที่เต็มไปด้วยพิษภัย ไม่ว่าในอากาศ ในดิน ในน้ำ  ทั้งหมดล้วนเกิดจากน้ำมือมนุษย์  โดยเฉพาะมนุษย์ที่กิเลสหนา ปัญญาหยาบทั้งหลายที่บ่มเพาะความรู้ผิดๆ  ความรู้ที่เป็นพิษ และนำมาใช้ดำเนินการแก้ปัญหาแบบ “มักง่าย” กับแทบทุกเรื่อง  ถ้ามันจะกว้างไปก็ขอให้มองแคบๆลงมาสัก 2 เรื่อง ได้แก่

  • ความมักง่าย/มักมากด้าน การศึกษา
  • ความมักง่าย/มักมากด้าน เกษตรกรรม

   เพราะเราชอบทำอะไรง่ายๆ แบบ มองไม่ตลอดสาย ทำตามๆเขาโดยไม่รู้จักยั้งคิด  มองเห็นผลใกล้ตัวที่จะได้ง่ายๆ เร็วๆก็รีบดำเนินการทันที  เรียกว่ามักมาก อยากได้ผล แต่การสร้างเหตุเพื่อให้ได้มาซึ่งผลที่มุ่งหวังนั้นมักทำกันแบบ “มักง่าย” คือเอาง่าย เอาเร็วไว้ก่อน เพราะ อยากง่าย และ อยากเร็ว อย่างไร้สตินี่เองที่ทำให้การดำเนินการหลายเรื่องทั้งด้านการศึกษา และการเกษตรกรรม เกิดความผิดพลาดและส่งผลร้ายมากมายออกมาเป็นของแถม และดูเหมือนจะยืดเยื้อ เรื้อรัง แก้คืนลำบากขึ้นเรื่อยๆ 

   ลองคิดต่อกันเองนะครับว่าเรื่องใดบ้างที่เข้าข่ายดังกล่าว  เพราะถ้าขืนนำมาบอกเล่ากันให้หมดละก็ บันทึกนี้คงยาวมาก และอาจเป็นประเภท หลายตอนยังไม่รู้จบก็เป็นได้

   เรื่องหนึ่งที่อยากยกมาประกอบเพราะเพิ่งเห็นตำตามาหยกๆได้แก่เรื่อง ยาฆ่าหญ้าครับ 

    เมื่อลงใต้ไปเยี่ยมบ้านครั้งที่แล้ว  ผมเห็นคนงานพม่าที่เข้ามารับจ้างทำงานในสวนยางเขาสะพายถังยาฆ่าหญ้าเดินจะไปทำงานในสวน  ขณะเดินไปในบริเวณบ้าน  เจอหญ้าขึ้นก็ฉีดพ่นสารพิษจากถังใส่หญ้าข้างทาง  เห็นแล้วใจหายครับ คิดไปต่างๆนาๆว่านี่มันฆ่ากันง่ายๆอย่างนี้เชียวหรือ  หญ้าเขาผิดอะไรนักหนาถึงต้องฆ่าเสียง่ายๆ  และแน่ใจได้อย่างไรว่าจะไม่ฆ่าสิ่งมีชีวิตอย่างอื่นในดินให้ตายตามไปด้วย  คิดไปไกลในระดับโลกว่า ปัจจุบันพื้นดิน และแหล่งน้ำบนโลกนี้จะซึมซับรับเอาพิษร้ายของสารเคมีพวกนี้ไว้มากมายเพียงใด  สิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่ในธรรมชาติจะได้รับผลกระทบสักเพียงไหน  แล้วลูกหลานในอนาคตจะเติบโตมาเจออะไร ในดิน น้ำ และอากาศ  คิดอยู่นานครับ คิดมาหลายวัน คิดด้วยความไม่รู้  ได้แต่เดาๆเอาว่ามันน่าจะไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน  เกษตรเคมี น่าจะเพลาๆกันได้บ้างแล้วกระมัง  เพราะนอกจากต้นทุนต้องสูงขึ้นจากการต้องพึ่งพาสารเคมีสารพัดชนิดแล้ว  ยังฝากของแถมที่เป็นพิษภัยไว้ให้ลูกหลานอีกด้วย  หันมาสู่ เกษตรอินทรีย์ กันเถอะครับ เพื่อชีวิตที่ดีกว่า และโลกที่น่าอยู่กว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน   อย่างน้อยก็เรื่องยาฆ่าหญ้า น่าจะหันมาทบทวนปริมาณการใช้ และ ลด ละ เลิก ให้ได้น่าจะดีที่สุด 

    ไปดูที่นาของสหายร่วมอุดมการณ์ “ดร.แสวง  รวยสูงเนิน” ก็เห็นจัดการกับหญ้าในนาได้ โดยไม่ต้องใช้สารเคมีใดๆก็ทำได้นี่ครับ  เบื่อความเป็น ทาส ก็หันมาเป็น ไท ได้นี่ครับ  ไม่ยากเกินไปหรอก เพียงแต่ บนเส้นทางดังกล่าวจะใช้ “ความมักง่าย” ไม่ได้เท่านั้นเอง

    หลายท่านอาจงงว่าชื่อบันทึกนี้ทำไมชื่อ “ยาฆ่าย่า” ตอบให้ก็ได้ครับว่าไม่ได้พิมพ์ผิดแต่อย่างใด  เพียงเพราะอยากให้หักมุมมาคิดว่า แท้จริงแล้วประเทศเกษตรกรรมอย่างไทยเรานั้น มีทรัพยากรธรรมชาติ คือดิน-น้ำที่สุดแสนสมบูรณ์ เมื่อเทียบกับบ้านเมืองอื่น แสงแดด และอากาศก็ดี ไม่วิปริต แปรปรวนมากมายเหมือนในหลายประเทศ  ดิน-น้ำที่สุดแสนสมบูรณ์ดังกล่าว เหมือนพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ของพวกเรา  สหายแสวง เคยบอกผมว่า ทำเกษตรเคมีก็คล้ายๆการฆ่าพ่อแม่เพื่อเอาสมบัติ  ผมเลยคิดต่อว่า ถ้าเช่นนั้น “ยาฆ่าหญ้า” ก็ไม่ต่างจาก “ยาฆ่าย่า” จึงนำมาเป็นชื่อบันทึกนี้ไงล่ะครับ

   อยากรู้เรื่องพิษภัยของ  “ยาฆ่าหญ้า” ลองตามไปดูได้ครับ


เพียงละม้าย .. คล้ายละเมอ

ไม่มีความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 7 ธันวาคม 2009 เวลา 12:03 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1153

    ผมเหมือนคนละเมอ  ตื่นมาเมื่อสักครู่  ร่างกายมันบอกว่านอนอิ่มแล้ว เลยนอนคิดอะไรๆแบบไม่ฟุ้งซ่านถึงสิ่งที่อยากทำต่อไปในชีวิตที่มีวันเวลาเหลืออยู่ไม่มากนัก

   นอนไม่หลับเพราะรู้สึกว่าอิ่มแล้ว เหลือบดูนาฬิกา ตามันบอกผมว่า 6 โมงเช้า  ซึ่งก็ดูสมเหตุสมผล เมื่อเทียบกับความรู้สึกอิ่มและสดชื่นขณะนั้น  รู้สึกว่าน่าจะเพราะเราได้สูดอากาศบริสุทธิ์ที่หาไม่ได้ในกทม.ต่อเนื่องมาตั้งแต่ตอนเช้า  แถมได้ออกกำลังกายย่ำไปย่ำมาอยู่กลางนาแทบทั้งวัน  นั่นกระมังที่ทำให้เราหลับลึก-ยาวจนถึง 6 โมงเช้าโดยไม่รู้ตัว 

    แปลกใจนิดๆว่าสหายเจ้าของบ้านท่าจะนอนตื่นสายเหมือนกัน  เพราะเดินดุ่มมาด้วยกัน สางนั่น ตัดโน่น ดึงนี่ ช่วยกันอยู่ในแปลงสวนป่าเนื้อที่ราว 1 ไร่ข้างบ้าน ตั้งแต่เช้าเมื่อวานที่ผมมาถึง จนเวลาล่วงไปใกล้ 11 น. โดยเราไม่ทันรู้ตัว เพราะเพลินกับงานที่เนื่องอยู่กับดิน ต้นไม้ และชีวิต ทานข้าวต้มรองท้องเล็กน้อยก่อนต่อไปยังแปลงนา ทั้งๆที่ผมยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า หรืออาบน้ำอาบท่า จนกระทั่งได้มารวบยอดเอาตอนค่ำครั้งเดียว  หลังจากย่ำเรียนรู้อยู่ในแปลงนาจนมืด

    นอนคิดถึง สุ  จิ  ปุ  ลิ  ว่าเรานี้ดูจะละเลยตัว ลิ เอามากๆในระยะหลัง เมื่อปัญหาประเดประดังมาให้แก้ และเตรียมการแก้มีปริมาณค่อนข้างมาก และค่อนข้างหนักในสายตาคนรอบข้าง  แต่คาถา “เช่นนั้นเอง” ของท่านอาจารย์พุทธทาส  ออกฤทธิ์ ช่วยผมได้เสมอ  ไม่ต้องเสี่ยงต่ออาการเสียสติ หรือเป็นบ้าแต่ประการใด

    คิดแล้วจึงคว้าเจ้า Netbook Acer Aspire 1 พร้อมอุปกรณ์ประกอบจากกระเป๋า ค่อยๆย่างก้าวลงมา  เพราะกลัวเจ้าของบ้านตื่น  แง้มประตูออกมายึดระเบียงหน้าบ้าน  รับลมเย็นยามเช้าตรู่  ตั้งใจว่าจะนั่งบันทึกอะไรๆซักหน่อย  อีกราว 1-2 ชั่วโมงค่อยอาบน้ำ

    ติดตั้งเครื่องเรียบร้อย มองที่ขอบล่างของจอมันบอกเวลาว่า .. 1 : 07 น. ผมงงว่า เวลามันเพี้ยนไปได้อย่างไร กะว่าจะ Set เวลาเสียใหม่ให้ถูกต้อง  ครั้นไปกดดูเวลาจาก HTC Viva ที่กำลังจะทำหน้าที่นำสัญญาณ Internet เข้ามาทางระบบ GPRS มันก็บอกเวลาตรงกัน  ผมจึงได้คำตอบชัดเจนว่า 1 : 07 นั้นถูกต้องแล้ว  ยังไม่ถึง 6 โมงเช้าแต่ประการใด  ก็เลยถามตัวเองว่าละเมอไปหรือเปล่า  ก็ได้คำตอบว่า “ไม่” ผมว่าแท้จริงแล้วมันเพียง ละม้ายๆ คล้ายละเมอเสียมากกว่า  เพราะเราทำทุกอย่างจนกระทั่งหอบข้าวของเดินลงมา  ด้วยสติที่สมบูรณ์ทุกประการ  หลักฐานก็คือข้อความที่บันทึกข้างบนทั้งหมด .. ยังอ่านรู้เรื่องใช่มั้ยครับ 

    เขียนจบผมก็ยังไม่ง่วง เลยกะจะทำงานกับข้อมูลประเภทภาพถ่ายที่ได้มาจากแปลงนาไปเรื่อยๆจนกว่าร่างกายจะรู้สึกง่วง หากยังไม่ถึง 6 โมงเช้าจริงๆ ค่อยงีบต่ออีกสักนิด  และแล้ว .. ก็ได้ยินเสียงคนเดินลงมาดึงประตูบ้านปิดเพราะคิดว่าลืมปิดเมื่อตอนก่อนเข้านอน  ไม่ใช่ใครที่ไหน นางฟ้าเพื่อนร่วมชีวิต คู่ใจของท่านสหายของผมนั่นเอง ผมต้องรีบเคาะประตูบอกเธอว่าผมเอง .. อยู่ข้างนอก นอนอิ่มแล้วเลยมานั่งรับลมเย็นหน้าบ้าน  .. เกือบไปแล้วครับ .. เกือบถูกเจ้าของบ้านกักบริเวณให้ต้องอยู่กับความหนาวเย็นนอกบ้าน (โดยไม่เจตนา)

    บทสรุป  เมื่อวานทั้งวันผมมีความสุขมากครับ ได้คิด ได้ทำ ได้ถาม ได้เรียนรู้ และความรู้ที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือรู้ว่า .. ลูกชาวนาอย่างผมยังมี ความไม่รู้ อีกมากมายในเรื่อง ดิน  น้ำ  ข้าว  และ การทำนา

    I Know What I Don’t Know !

   อิ อิ อิ

    และนี่คือ ลิขิตด้วยภาพครับ …

                      

                                         

                                 

                                     


เห็นอะไร ทำอะไรที่ Thai Sikh International School

ไม่มีความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 25 ตุลาคม 2009 เวลา 10:45 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1223

   23-24-25 ตุลาคม  ผมมีรายการอบรมครูต่างชาติซึ่งรุ่นนี้เป็นรุ่นที่ 7 แล้ว  ความแตกต่างจากที่เคยทำมาได้แก่

  • เป็นการออกไปจัดนอกมหาวิทยาลัยเป็นครั้งแรก
  • ผู้เข้ารับการอบรมทั้ง 31 คนเป็นครูต่างชาติที่สอนในโรงเรียนเดียวกัน
  • ครูทุกคนเป็นคนอินเดีย ไม่ได้มาจากหลากหลายชาติ หลายวัฒนธรรมอย่างที่ผ่านมา
  • ครูทุกคล้วนมีวุฒิการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีทาง Education

    เมื่อวานนี้ (23 ตค.) ผมออกจากจันทรเกษมตั้งแต่หกโมงเศษๆ ด้วยเป็นวันหยุดรถตู้ที่ทางโรงเรียนจัดมารับ จึงวิ่งฉลุยไปถึงที่หมายคือ Thai Sikh International School ตั้งแต่ 7.45 น. ประทับใจมากๆตั้งแต่อัธยาศัยไมตรีของคนขับรถ ต่อเนื่องไปถึงฝ่ายบริหารที่มารอให้การต้อนรับขับสู้อย่างอบอบอุ่นและเป็นกันเองอย่างยิ่ง  ผมและทีมงานนั่งทานกาแฟและของว่างได้สักพักก็อดไม่ได้ ต้องไปเก็บภาพความงามอย่างมีสาระมาฝาก เพราะสังเกตตั้งแต่แรกเข้ามาแล้วว่า มีอะไรน่าสนใจไม่น้อยเลย นี่ไงครับ

   

      ความงามและความสะอาดของอาคารสถานที่

 

ข้อความดีๆเพื่อเตือนจิต สะกิดใจ ที่ติดไว้บนผนังและเสาหน้าอาคาร 

    ถึงเวลา 8.45 น. ก็มีพิธีเปิดเล็กน้อย  โดยท่านรองคณบดีฝ่ายบริหาร คือผศ.ประไพ  บวรฤทธิเดช กล่าวรายงานถึงจุดมุ่งหมายของหลักสูตรและความเป็นมาของโครงการ ตามด้วยการกล่าวเปิดงานโดยท่านอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียน  เสร็จพิธีผมก็คว้าไมค์มาทักทายผู้เข้ารับการอบรมที่นั่งกันเป็นระเบียบเรียบร้อย สงบ นิ่ง จนรู้สึกว่าจะอึดอัดเล็กน้อย  ก็เลยบอกว่าน่าจะผ่อนคลายด้วยการกระจายกันนั่งเป็นกลุ่ม เป็นวงตามโอกาสที่เราจะจัดการให้เกิดการเรียนรู้แบบสบายๆ และผ่อนคลาย

พิธีเปิด ตามด้วยกิจกรรมการเรียนรู้รายการแรก
    รายการแรกว่าด้วยเรื่อง Related Regulations and Professional Ethics ซึ่งอาจารย์ติ๊ก วิลาวัณย์ จารุอริยานนท์ รับผิดชอบร่วมกับผม  ผมปล่อยให้อาจารย์ติ๊กคุยแบบ Introduction ไปสักพักก็เปลี่ยนกิจกรรมโดยให้ไล่นับ 1-6 เพื่อแบ่งกลุ่มแบบ Random เป็น 6 กลุ่ม มอบให้แต่ละกลุ่มอ่านเนื้อหาในเอกสารกลุ่มละหัวข้อไม่ซ้ำกัน  ผ่านไป 30 นาทีก็ให้แต่ละกลุ่มนำเสนอสาระที่สรุปได้ต่อกลุ่มใหญ่  พบว่าผู้เข้าอบรมทำได้ดีมาก โดยเฉพาะเรื่องการสร้างสรรค์สื่อ Graphic มาช่วยทำให้ผู้ฟังเข้าใจสิ่งที่เป็นนามธรรมและเห็นความเชื่อมโยงของส่วนย่อยที่นำเสนอว่า เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันอย่างไร  มีทั้งการใช้สื่อ Visualizer เพื่อนำเสนองานที่เขียนบนกระดาษ A-4  ใช้ Powerpoint และ การพูดสรุปปากเปล่า โดยไม่มี Visual Media ใดๆ 

    ส่วนหนึ่งของการวิจารณ์ ให้ข้อคิด แทนที่ผมจะไปบอกกลุ่มที่ไม่ใช้สื่อว่าน่าจะได้ใช้สื่อช่วยบ้าง อย่างน้อยเพื่อให้เห็นประเด็นที่สรุปมา  ผมกลับเลือกใช้วิธีอ้อมๆ  แบบบัวไม่ช้ำ น้ำไม่ขุ่น  กล่าวคือ ผมบอกว่าดีใจที่นอกจากได้เห็นการสรุปและนำเสนอสาระกันได้อย่างดี เข้าใจง่ายแล้ว ในแง่ของการเลือกใช้สื่อก็มีความหลากหลายดีมาก  และบอกว่าการนำเสนอข้อมูลที่เป็นสื่อกราฟิก หรือทำให้ข้อความที่เป็นหัวข้อ เป็นประเด็นสำคัญปรากฏบนจอนั้น ช่วยให้ผู้ฟังติดตามและเข้าใจได้ง่ายขึ้น ประหยัดเวลาในการถ่ายทอดได้  แต่ก็เตือนย้ำว่าถ้ามากไปก็ไม่น่าสนใจเพราะผู้ฟังจะไม่ได้คิด เนื่องจากทุกอย่างมันชัดหมดแล้ว  ส่วนการให้ฟังอย่างเดียวแม้จะเสี่ยงกับความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องสมบูรณ์ก็มีส่วนดีคือ ช่วยให้ผู้ฟังมีความตั้งใจ มีสมาธิที่จะติดตามเรื่องราวมากกว่าการใช้สื่อช่วย  เพราะไม่ถ้าตั้งใจฟังก็จะไม่รู้เรื่อง 

     สรุปแล้วการจะใช้สื่อแบบไหน อย่างไรก็ต้องปรับตามความเหมาะสม  สื่อเทคโนโลยีช่วยให้ ง่าย และ เร็ว แต่หลายครั้ง ความง่ายและเร็ว ทำให้ ผู้เรียนขาดโอกาสเรียนรู้ ขอให้ระมัดระวัง ..

     แอบสอนการใช้สื่อไปเรียบร้อย ในแง่มุมที่ผมห่วงมาตลอด  เพราะสังเกตเห็นมามาก ว่าครูใช้ประสิทธิภาพของสื่อ คือ ความเร็ว และ ความง่าย มาทำลายโอกาสแห่งการเรียนรู้แบบไม่รู้ตัว อย่างน่าเสียดาย  กลายเป็น สื่อกลับมาทำให้ผู้เรียนอ่อนด้อย และอ่อนแอ  ซึ่งไม่น่าจะปล่อยให้เกิดขึ้น

 


ทำไม “มนุษย์น้ำลาย” จึงแพร่หลายและขายดี

ไม่มีความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 23 ตุลาคม 2009 เวลา 9:32 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1152

     ดร.แสวง  รวยสูงเนิน ได้เขียนเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์น้ำลายไว้ในบันทึกหนึ่ง  ผมอ่านแล้วเกิดอาการคัน  จึงไปเสริมไว้ดังนี้ …   

     มนุษย์น้ำลาย ไม่ว่าจากสายวิชาชีพใด หรือร่ำเรียนมาทางศาสตร์แขนงไหน ที่เราเห็นกระจายพันธุ์อยู่ทั่วบ้านทั่วเมืองนั้นน่าจะมาจากหลายเหตุครับ

        เท่าที่นึกออกตอนนี้ได้แก่ ..

  • เหตุที่มาจากระบบ เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง ที่ทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้คนเข้มแข็งและพึ่งตัวเองได้ .. พวกเขาพล่ามจนคนเพลิน และหลงรอคอยการช่วยเหลือของอัศวินม้าขาว .. เลยได้ก้าวสู่การเป็น “นักเสวยผล” โดยไม่นิยม “การสร้างเหตุ” ไปโดยไม่รู้ตัว .. เขานิยมการฟังสิ่งที่ลื่นๆ ระรื่นหู จนเคลิ้มไป ในความเพ้อฝัน .. มนุษย์น้ำลาย จึงดำรงเผ่าพันธุ์ และอ้วนพีอยู่ได้ .. เป็น Supply ที่แปรไปตาม Demand นั่นเองครับ
  • เหตุมาจาก ระบบการให้การศึกษา หรือการจัดการเรียนการสอนที่ผิดพลาดมายาวนาน .. สอนให้จดจำเป็นหลัก เรื่องความคิดในเชิงเหตุผล หรือตรรกะ เอาไว้ทีหลัง ทำกันอยู่เยี่ยงนี้มายาวนาน  การเรียนรู้อย่างอุดมทุกข์แลไร้ความหมาย จึงเกิดขึ้นในทุกระดับ  สอนกันแบบพราหมณ์ร่ายเวทย์ คือ “ท่องจำ แล้ว บอกต่อ” คนจำได้มากและพูดคล่องจึงอยู่ในตำแหน่ง “คนเก่ง” มายาวนาน พูดได้ทุกเรื่อง ขออย่าให้ทำก็แล้วกัน  มันจะสะดุดทันที .. การสอนว่ายน้ำอยู่บนบก หรือ การสอนปลูกผักบนกระดานดำ จึงว่ากันไปได้นานๆเสมอ .. เก่งศีลธรรมคือท่องศีลห้าได้ ก็ยังเห็นชื่นชมกันอยู่นี่ครับ 


ควรเรียน-สอนกันอย่างไรในระดับอุดมศึกษา

ไม่มีความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 19 ตุลาคม 2009 เวลา 2:00 (เช้า) ในหมวดหมู่ การจัดการความรู้ #
อ่าน: 1322

    ก่อนอื่นขออย่าได้คาดหวังว่าบันทึกนี้จะมีคำตอบเบ็ดเสร็จต่อคำถามที่ว่า “ควรเรียน-สอนกันอย่างไรในระดับอุดมศึกษา” นะครับ  เพราะผมไม่อาจหาญไปแนะนำว่าจะต้องทำอย่างไร และขอให้ใครเชื่อและทำตาม  เพียงแค่อยากนำเสนอสิ่งที่คิดได้หลังจากมีเรื่องให้ต้องคิด อันเนื่องมาจากการพูดคุยกึ่งให้คำปรึกษากับนักศึกษาปีที่ 4 สาขาวิศวกรรมเครื่องกลคนหนึ่งที่กำลังมีปัญหาเรื่องการทำโครงงานหรือ Project

    น้องสะใภ้ผมซึ่งเป็นเพื่อนของแม่ของนักศึกษาคนนั้น เป็นคนโทรมาขอให้ผมช่วยแนะนำหน่อย ผมก็รับปากด้วยความเต็มใจ  ทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้ร่ำเรียนมาทางสาขาดังกล่าว  แต่ก็เชื่อว่าคงพอจะแนะนำอะไรๆในระดับหลักการ และวิธีคิดได้บ้าง  พร้อมกับจะได้เรียนรู้ว่า ความเป็นไปในการเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษา ในมหาวิทยาลัยใหญ่ของรัฐที่ “หลาน” คนดังกล่าวร่ำเรียนอยู่นั้นเป็นอย่างไร

    เท่าที่รับทราบ ปัญหาอยู่ที่ว่าอาจารย์ผู้สอนไม่อยากให้ทำโครงงานอันเป็นงานกลุ่ม 3 คน นำเสนอเค้าโครงเข้าไป  ดูเหมือนจะเป็นเรื่องการศึกษาประสิทธิภาพการแพร่กระจายความร้อนของท่ออะไรสักอย่างหนึ่ง ที่โรงไฟฟ้าแห่งหนึ่ง  อาจารย์ให้เหตุผลว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าสนใจ  ไม่มีคุณค่าต่อการนำไปใช้ประโยชน์ในวงกว้าง  ถามไปถามมาก็ได้ทราบความจริงว่า อาจารย์ที่ปรึกษาของนักศึกษาคนนี้เป็นผู้คิดโครงการให้  และเห็นบอกว่าอาจารย์ดังกล่าวไม่ถนัดหรือไม่ค่อยมีประสบการณ์ในการทำงานในลักษณะการประดิษฐ์คิดค้น ทำแต่งานวิจัยแบบทดลอง  ส่วนอาจารย์ผู้สอนถนัดอีกแนวหนึ่ง

    ผมถามว่าทำไมไม่คิดโครงการกันเอง  พร้อมแนะนำว่า การทำงานถ้าจะให้สนุกต้องทำสิ่งที่เราเห็นคุณค่าในผลของงานนั้นๆ และการจะได้มาซึ่งโครงงานดีๆมีคุณค่าควรจะได้ เริ่มจากปัญหา  คือมองไปรอบๆตัวว่ามีเรื่องใดของผู้คนในสาขาวิชาชีพใดที่ยังเป็นปัญหา ต้องการวิธีการปฏิบัติใหม่ๆเพื่อแก้ หรือลดปัญหาดังกล่าว  โดยใช้ความรู้ในศาสตร์ที่เรากำลังศึกษาอยู่  พร้อมยกตัวอย่างว่า  เมื่อผมเรียนรู้ว่า ทรัพยากรน้ำเป็นสิ่งที่จะเป็นปัญหามากในอนาคต  เกษตรกรจะต้องเดือดร้อน วุ่นวายเพราะจัดการอย่างไม่เหมาะสมกับเรื่องการใช้น้ำ  ประกอบกับการเรียนรู้ว่ามีผลงานวิจัยจนผลงานเครื่องกระจายน้ำฝอยแบบ ใช้พลังงานไฟฟ้าน้อย และใช้ปริมาณน้ำน้อย และมีจำหน่ายในราคาประหยัด เพียงประมาณชุดละ 300 บาท  ผมก็คิดว่าสมควรเข้าไปมีส่วนร่วมทำงานในบางส่วนเพื่อให้มีการนำเครื่องมือดังกล่าวไปใช้ให้แพร่หลายยิ่งขึ้น และมีความสะดวกและประหยัดในการติดตั้ง จึงเริ่มคิดค้น ดัดแปลงเครื่องจ่ายกำลังไฟฟ้า และระบบควบคุมเวลาการทำงานให้กับระบบกระจายน้ำฝอยดังกล่าว  จึงเริ่มทำงานไปด้วยความสนุกและความหวังว่า ผลงานที่คิดค้น ดัดแปลงแต่ละรุ่น จะได้มีโอกาสช่วยให้ผู้คนได้ใช้ทรัพยากรน้ำอย่างประหยัด และลงทุนไม่สูงมากเกินไปในการซื้อหาอุปกรณ์ที่เราผลิต และนำมาติดตั้งใช้งานด้วยตัวเอง  แถมด้วยตัวอย่างเรื่องอื่นๆเพื่อตอกย้ำว่า เรื่องที่ผมทำ  ล้วน เริ่มจากการมองให้เห็นปัญหา ก่อนเสมอ  ตามด้วยการ มองให้เห็นสาเหตุของปัญหา  และการกำหนดให้ได้ว่า เป้าหมายหรือผลจากการทำงานนั้นๆเราจะได้ผลลัพธ์อะไรออกมา ชนิดที่ช่วยให้ผู้อื่นพ้นความทุกข์ ความยากลำบากได้  ตามด้วยการ กำหนดวิธีการหรือขั้นตอนว่าจะทำอะไรเป็นลำดับไปอย่างไร  จนกระทั่งได้ผลงานตามที่คาดหวัง  และย้ำว่า  ด้วยวิธีคิดดังกล่าวนั่นเอง  ทำให้ผมสนุกกับงานทุกชิ้นทุกเรื่องที่ทำ  โดยไม่ต้องรอให้ใครมาสั่งการ ควบคุม กระตุ้นหรือคอยเสริมกำลังใจ  เนื่องด้วยในกระบวนการดังกล่าวมันมี ยาเร่ง ยาชูกำลังอยู่เรียบร้อยแล้ว  ทำไปพร้อมกับได้เปล่งคำว่า “ถูกต้อง - พอใจ” ให้กับตัวเองได้ไปเรื่อยๆ  ทั้งยังสามารถ พักผ่อนไปกับการทำงาน ได้เสมอ

    แนะนำเสร็จผมก็บอกว่าให้ลองไปคุยกับเพื่อนอีก 2 คนดูอีกครั้งโดยใช้แนวทางดังกล่าวในการคิดโครงงานที่จะทำ  ได้ผลอย่างไรให้โทรมาคุยใหม่  ตอนนี้ก็ยังไม่ได้รับโทรศัพท์ครับ

    จากกรณีดังกล่าวทำให้ผมคิดต่อและเห็นว่าระบบการเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษานั้น ..ไม่น่าจะปล่อยให้เกิดการเรียนกันไปแบบไร้ความหมายและเป้าหมาย เพราะจะก่อให้ เกิดความเบื่อหน่าย และไม่อาจก้าวไปถึงความรู้จริง หรือสติปัญญาในศาสตร์ที่เรียนได้ มักจะวนเวียนอยู่ในระดับ จำได้ บอกได้ว่า อะไรเป็นอะไร เสียมาก มีส่วนน้อยที่ไปถึงการตอบโจทย์ได้ว่า ทำไม ? และ อย่างไร ? 

   และเพื่อให้ การเรียนอย่างทนทุกข์ทรมาน ลดน้อยลง  ก็ไม่ควรไปหลงเพลินกับการเรียนทฤษฎี(ล้วนๆ)มากเกินไปไปจนผู้เรียนอ่อนล้า  ควรให้นักศึกษาได้ออกจากห้องสี่เหลี่ยมไปสู่โลกภายนอกที่เป็นจริง เป็นธรรมชาติ เพื่อสัมผัส สภาพจริงที่มีปัญหาต่างๆแฝงเร้นอยู่ให้มากขึ้น  ให้มีโอกาสได้ฝึกคิด ฝึกมองอะไรๆที่เชื่อมโยงอยู่กับชีวิตจริงของผู้คนในสังคมไปตามลำดับ ตั้งแต่ยังเรียนอยู่ในปีแรกๆ  ไม่ใช่รอว่าเอาไว้ให้ถึงปีสุดท้ายค่อยออกไปหาประสบการณ์ภาคปฏิบัติ 

    ถ้าเปรียบพวกเขาเป็นต้นไม้  ก็อยากให้เขาได้ออกจากกระถาง มาสัมผัสพื้นดินจริงๆดูบ้าง  เขาจะได้ไม่แขวนลอยด้วยความเสี่ยงอยู่กลางอากาศ  แบบรอคอยการป้อนน้ำและอาหารจากผู้อื่นเสียบ้าง

    ได้สัมผัสดินบ่อยๆ อีกหน่อยเขาจะรู้สึกเองว่า การมีรากหยั่งลงในพื้นแผ่นดินที่เป็นธรรมชาตินั้น จะทำให้เขาสามารถดำรงตนอยู่อย่างมั่นคง ปลอดภัย ช่วยตัวเองและเผื่อแผ่ เกื้อกูลต่อผู้อื่นได้ และค้นพบคุณค่าของตนเองได้ ในที่สุด


เรื่องของความสุข

ไม่มีความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 12 ตุลาคม 2009 เวลา 5:31 (เย็น) ในหมวดหมู่ ธรรม #
อ่าน: 1219

ความจริงมีอยู่ว่า ….
         ทุกคน รักสุข เกลียดทุกข์
ความสุขมีได้หลายความหมายและหลายระดับ 
      1 . สุขคือพอใจเมื่อได้สิ่งที่ต้องการ (รักตนเอง) 
      2 . สุขคือพอใจเมื่อได้ทำในสิ่งที่มีคุณค่าต่อตนเองและผู้อื่น (รักตนเองและผู้อื่น)
      3 . สุขคือภาวะของจิตที่ถอนตนเสียได้จากความพอใจ และไม่พอใจในโลก
         ( เห็นทุกอย่างตามเป็นจริง  เมตตากรุณาต่อทุกสรรพสิ่ง ไม่มีตัวตน เรา-เขา ) 
        มนุษย์ส่วนมาก โดยเฉพาะในโลกแห่ง วัตถุนิยม และ บริโภคนิยม เช่นปัจจุบัน จะ
หลงติดอยู่กับความสุขแบบที่หนึ่ง จึงต้องมีชีวิตที่ทุรนทุราย เสาะแสวงหาสิ่งที่ชอบที่พอ
ใจให้ตัวเองอย่างไม่รู้จบสิ้น ความหล่อ ความรวย ความสวย ความไพเราะ ความน่ารัก
น่าสัมผัส คือสิ่งที่ดึงดูดให้คนเหล่านั้นวิ่งตาม ได้มาแล้วก็คุ้นชิน เบื่อหน่าย เกิดความ
อยากที่แปลกใหม่มาทดแทนให้ได้เหน็ดเหนื่อย ดิ้นรน เสาะแสวงสิ่งปรนเปรอความสุข
มากขึ้นเรื่อยๆ จวบจนจบสิ้นชีวิตไปก็ไม่น้อย   สุขแบบนี้ ผู้มีปัญญาล้วนหยั่งเห็นว่าแท้
จริงคือทุกข์นั่นเอง เพราะเราต้องเหน็ดเหนื่อยวิ่งตามหามันอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากสิ่ง
เหล่านั้นล้วนมีความเปลี่ยนแปลง ไม่แน่นอนอยู่ในตัวทั้งสิ้น อีกทั้งจิตใจคนก็พัฒนา
ความอยาก ความปรารถนายิ่งๆขึ้น ไม่รู้จบสิ้นเช่นกัน   การแสวงสุขแบบนี้ยังเป็นการ
บั่นทอนโอกาสของการแสวงหาและสั่งสมความรู้ที่เป็นประโยชน์  เมื่อขยับขึ้นไปสนใจ
ความสุขระดับที่สองก็จะทำอะไรได้ไม่มาก เพราะขาดทุนสำรอง คือความรู้ความ
ชำนาญในเรื่องที่จะช่วยเหลือผู้อื่น   อยากอนุเคราะห์ช่วยเหลือใครก็ทำได้แค่คิด  เพราะ
ไม่มีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะช่วย   จะถอยหลังกลับไปแก้ไขก็ทำไม่ได้อีกแล้ว 
        สุขแบบที่สองเป็นการพัฒนาขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง   เป็นเรื่องของคนที่เห็นความไร้
สาระของการแสวงหาความสุขในแบบที่หนึ่ง และมองความสุขว่าอยู่ที่การควบคุมใจไม่
ให้ฟุ้งซ่านลุ่มหลงไปกับสิ่งไร้สาระ   แต่จะให้ความสำคัญกับความกตัญญูกตเวที ความ
รักความเมตตา เอื้ออาทรต่อกันด้วยความบริสุทธิ์ใจ   แสวงหาวัตถุแต่ไม่ลุ่มหลงวัตถุ  ใช้
วัตถุเพื่ออำนวยประโยชน์ตนและเอื้อเฟื้อผู้อื่นให้ได้พ้นความทุกข์ยากต่างๆ    เห็นสุข
จากการให้ มีค่ากว่าการรับ    โลกจะน่าอยู่ขึ้นอีกไม่น้อย หากมีคนกลุ่มนี้อยู่ด้วยกันมากๆ
เพราะต่างฝ่ายต่างปรารถนาจะเป็นผู้ให้    ความขัดแย้งจะมีน้อย   สิ่งที่เรียกว่าความรักจะ
สูงค่าขึ้นทันที 
        สุขแบบที่สาม  แม้ว่ายากจะไปได้ถึง ก็ควรได้ตั้งเป็นเป้าหมายของชีวิตเอาไว้ เพราะ
เป็นสุขที่ปราศจากทุกข์ใดมารบกวน   เป็นสุขที่เรียกว่า โลกุตรสุข หรือสุขที่อยู่เหนือโลก
เป็นภาวะของจิตที่หยั่งเห็นแจ่มแจ้งในสัจธรรมทั้งปวง    เห็นชัดแจ้งว่าทุกอย่างล้วนเกิด
จากเหตุปัจจัยปรุงแต่ง และเป็นกระแสแห่งการแปรปรวนเปลี่ยนแปลง   ด้วยการ เกิดขึ้น
ตั้งอยู่ และดับไปทั้งสิ้น  ไม่มีสัตว์ - บุคคล - ตัวตน - เรา - เขา ที่ไหน  เป็นเพียง
สมมุติที่กำหนดกันขึ้นมา   เห็นความไม่มี “ตัวฉัน” อย่างแจ่มแจ้ง สิ่งที่เป็น “ของฉัน
ก็ ไม่มี  ไม่ต้องตื่นเต้นกับการได้มา หรือโศกเศร้ากับการสูญเสียใดๆ    จิตเป็นอิสระอย่างยิ่ง
สามารถอยู่อย่าง ” สงบเย็น และ เป็นประโยชน์ ” ได้เสมอ  เมตตาธรรมเต็มเปี่ยม  อุดม
ด้วยพลังสร้างสรรค์ และพร้อมที่จะใช้ชีวิตอุทิศตัวเพื่อประโยชน์ผู้อื่นได้อย่างเต็มที่ 
        ขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมขบวนการเลื่อนชั้นความสุขให้ชีวิตกันเถิด โดยรีบหลีก
เร้นออกมาจากสุขระดับที่หนึ่งโดยเร็ว  อย่ามัวเสียเวลากับมันเพราะมันเป็นจอมล่อหลอกให้
เราหลงติดกับดัก    อยู่ตรงนั้นนานไปมีแต่จะขาดทุนและรังแต่จะทำให้ชีวิตของเราว่าง
เปล่า   รีบขยับมาอยู่ขั้นที่สอง   พัฒนาความรู้ความสามารถ และจิตใจให้ “รักผู้อื่น” กัน
ได้มากยิ่งๆขึ้นเถิด   ในที่สุด แม้เราจะไม่เรียกร้อง แต่รอบตัวเราจะเริ่มเห็นมีแต่คนที่รักและ
ปรารถนาดีต่อเราอยู่ทั่วไป    ส่วนจะขยับไปใกล้หรือถึงสุขระดับที่สามกันมากน้อยเพียงใด
ขึ้นอยู่กับศรัทธาและวิริยะที่แต่ละท่านมี เป็นสำคัญ

Mothai-117 



Main: 0.55033016204834 sec
Sidebar: 0.11444783210754 sec