วิชา เหรียง (2)

โดย handyman เมื่อ 16 มีนาคม 2010 เวลา 5:26 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1169

จาก “วิชาเหรียง” ตอนที่หนึ่งทำให้ผมคิดต่อว่าน่าจะได้รวบรวมข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับพืชชนิดนี้เก็บไว้ประกอบการเรียนรู้  ตอนแรกจะเก็บเป็นไฟล์เอกสารไว้ใช้ส่วนตัวแต่มาคิดอีกที คนอื่นที่ควรได้ประโยชน์จากสิ่งที่รวบรวมก็หมดโอกาส  จึงตัดสินใจนำสิ่งที่สืบค้นได้มารวบรวมไว้ที่นี่ เป็นบันทึกชื่อ วิชา “เหรียง”(2)

   รายละเอียดมีดังนี้ครับ

*

 เหรียง
 
 ชื่อวิทยาศาสตร์ :Parkia timoriana Merr.
 ชื่อวงศ์ :MIMOSACEAE

 ชื่ออื่น ได้แก่ กะเหรี่ยง, เรียง, สะเหรี่ยง (ใต้); นะกิง, นะริง (มาเลย์-ใต้) (เต็ม สมิตินันทน์, 2523); สะตือ (ใต้) (กัญจนา ดีวิเศษ,2542)
 
   ไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ สูงประมาณ 30-50 เมตร ไม่ค่อยมีกิ่งก้านที่ลำต้น เปลือกเรียบและหนาสีเทาปนเขียวอ่อน มีกลิ่นฉุน ลักษณะทั่วไปคล้ายสะตอ แต่พุ่มใบแน่น และเขียวทึบกว่า ใบใหญ่และหนากว่าสะตอ ลักษณะใบเป็นแบบช่อ ใบประกอบมี 18-33 คู่ ใบแคบปลายแหลม ใบแก่จะเป็นสีเหลืองร่วงเกือบหมดต้น และผลิใบใหม่แทน ลักษณะดอกเป็นดอกช่อแบบสะตอ ออกที่ปลายยอด เป็นก้านยาวสีเขียวสลับน้ำตาล ลักษณะผลเป็นฝัก กว้างประมาณ 3-4 เซนติเมตร ยางประมาณ 20-30 เซนติเมตร เมล็ดรูปไข่ ประมาณ 15-20 เมล็ดต่อฝัก ฝักแก่เต็มที่มีสีดำ เมล็ดในสีดำ เนื้อในเมล็ดมีสีเขียวเข้ม และมีกลิ่นฉุน เปลือกต้นเป็นยาสมานแผล ลดน้ำเหลือง เมล็ดเมื่อแก่ตัดส่วนปลายนำไปเพาะให้แตกรากสั้นๆ รับประทานสดหรือดอง
 
Source : http://www.scitour.most.go.th

 

** 

   เหรียง

ชื่อพฤกษศาสตร์ : Parkia timoriana Merr.
วงศ์ : LEGUMINOSAE - MIMOSOIDEAE
   เหรียง เป็นพืชสกุลเดียวกับสะตอ  เหรียงเป็นไม้ต้น สูงได้ถึง  50  เมตร   ต้น  เปลา  ตรง  เกลี้ยง   เนื้อไม้สีน้ำตาลอมเหลือง  ไม่มีแก่น  อ่อนและเปราะ มีเสี้ยนตรงกลางอย่างสม่ำเสมอ  เนื้อไม้ผ่าได้ง่าย จึงเหมาะที่จะทำเป็นไม้บางๆ  ใบประกอบแบบขนนก 2 ชั้น  ใบเรียงสลับ  ใบย่อยจำนวนมาก รูปขอบขนาน  ดอกช่อ  ออกเป็นช่อกลม   ก้านช่อยาว  ผล  เป็นฝัก  แคบ แบน ออกดอกเดือนพฤศจิกายน - เดือนธันวาคม  ติดฝักเดือนมกราคม -  กุมภาพันธ์  การขยายพันธุ์  เพาะเมล็ด ประโยชน์  เนื้อไม้ใช้ทำลังใส่ของ   ก่อสร้างภายใน   เมล็ด เพาะให้งอก นำไปดอง รับประทานเป็นผัก  เปลือกและเมล็ด ขับลมในลำไส้   ถิ่นกำเนิด  อินเดีย  และปาปัวนิวกินี    เป็นพืชเขตร้อน ชอบที่มีน้ำฝนและมีความชุ่มชื้นในอากาศสูง

Source : http://www.wangtakrai.com/panmai/detail.php?id=357

 

*** 

   เหรียง

 
1.  ชื่อพันธุ์ไม้          เหรียง

2.  ชื่อสามัญ          (ไทย)เหรียง  เรียง  สะเหรี่ยง (ภาคใต้)  กะเหรี่ยง  นะกิง  นะริง

                            (มาลายู ภาคใต้)

                            (อังกฤษ)               -

3.  ชื่อวิทยาศาสตร์   Parkia javanica Merr. และมีชื่อพ้องทางพฤกษศาสตร์ คือ

                            P. timoriana Merr. , P. roxburghii G. Don.

4.  ชื่อวงศ์              Mimosaceae

5.  การกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติ

        เหรียง  เป็นพันธุ์ไม้ที่มีเขตการกระจายพันธุ์ แถบหมู่เกาะติมอร์ และแถบเอเซียเขตร้อน ซึ่งรวมตั้งแต่ประเทศอินเดีย จนถึงประเทศปาปัวนิวกินี สำหรับในประเทศไทยพบขึ้นทั่วไปในภาคใต้ ตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไป ชอบขึ้นตามป่าดิบชื้น ตั้งแต่ในระดับพื้นที่ต่ำจนถึงพื้นที่สูงถึง 100 เมตรจากระดับน้ำทะเล แต่อย่างไรก็ตามอาจมีบ้างที่เจริญเติบโตได้ในระดับสูงไม่เกิน 600 เมตรจากระดับน้ำทะเล

        เหรียงเป็นไม้ที่ชอบแสงกสว่างและพื้นที่ค่อนข้างชุ่มชื้น มักจะเริ่มผลัดใบในขณะที่ออกช่อดอก และใบจะร่วงหล่นจนหมดต้นเมื่อผลเริ่มแก่พร้อม ๆ กับใบอ่อนที่ผลิออกมาใหม่

6.  ลักษณะทางวนวัฒนวิทยา

        เหรียงเป็นพืชวงศ์เดียวกับสะตอและลูกดิ่ง เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดใหญ่ ลำต้นเปลาตรง สูงถึง 50 เมตร มีพูพอนสูงถึง 7 เมตร ลักษณะทั่วไปคล้ายคลึงกับสะตอ แต่แตกต่างกันตรงที่พุ่มใบของเหรียงมักจะเป็นพุ่มกลม ไม่แผ่กว้างมากนักพุ่มใบแน่นและเป็นสีเขียวทึบกว่าพุ่มใบของสะตอ  เปลือก เรียบ กิ่งก้านมีขนปกคลุมประปราย

         ใบ   ก้านใบยาว 4 - 12 ซม. มีต่อมรูปมนยาว 3.5 - 5 มม. อยู่เหนือโคน ก้านแกนช่อใบยาว 25 - 40 ซม. มีช่อใบแขนงด้านข้าง 18 - 33 คู่ ใต้รอยต่อของก้านช่อใบแขนงด้านข้างมักจะมีต่อมเล็ก ๆ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 - 3 ซม. ช่อใบแขนงยาวประมาณ 7 - 12 ซม. แต่ละช่อมีใบย่อย 40 - 70 คู่ ใบย่อยรูปขอบขนานแคบ ๆ กว้าง 5 - 7 มม. ยาว 1.5 - 1.8 มม. ปลายใบแหลมโค้งไปทางด้านหน้า ฐานใบมักจะยื่นเป็นติ่งเล็กน้อย เส้นแขนงใบด้านข้างไม่ปรากฏชัดเจน

         ดอก  ออกเป็นช่อกลม ขนาดของดอกกว้าง 2 ซม. ยาว 5 ซม. ก้านช่อดอกยาว 20 - 25 ซม. ดอกย่อยมีก้านดอกสั้น ๆ และใบประดับยาว 4 - 10 มม. รองรับกลีบรองกลีบดอกของดอกสมบูรณ์เพศเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาว 8 - 11 มม.

         ผล  เป็นฝักกว้าง 3 - 4 ซม. ยาว 22 - 28 ซม. ตัวฝักตรงไม่บิดเวียนเหมือนสะตอบางพันธุ์ เมล็ดไม่นูนอย่างชัดเจน แต่ละฝักมีเมล็ดรูปไข่ ขนาดประมาณ 11 x 20 มม. ประมาณ 20 เมล็ด เปลือกหุ้มเมล็ดหนาสีคล้ำ

         ระยะการออกดอก-ผล  ออกดอกระหว่างเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม ฝักแก่ประมาณเดือนมกราคม - กุมภาพันธุ์

7.  การขยายพันธุ์

        การขยายพันธุ์เหรียงที่นิยมกันมากในปัจจุบันคือ การขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด นอกจากนี้ยังสามารถขยายพันธุ์โดยมีวิธีอื่น ๆ ได้อีก เช่น การตัดกิ่งปักชำ และการขยายพันธุ์โดยการติดตา แต่การขยายพันธุ์โดยการตัดกิ่งปักชำ และการติดตานั้น ยังไม่เป็นที่นิยมปฏิบัติกัน

        การขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ดนั้น ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเก็บเมล็ดคือ ช่วงเดือนมีนาคม จนถึงเดือนพฤษภาคม  วิธีการเก็บเมล็ด เก็บจากฝักแก่ที่ร่วงหล่นบนดิน นำฝักมาผึ่งแดดให้แห้งเกรียม แล้วใช้ไม้ค้อนทุบให้ฝักแตกแกะเมล็ดออก

        การปฏิบัติต่อเมล็ดและการเพาะเมล็ด ใช้มีดตัดขั้วเมล็ดให้ขาดออกเล็กน้อยแล้วนำไปแช่น้ำ 1 คืน นำเมล็ดมาผึ่งให้แห้งก่อนเพาะในแปลงเพาะ หรือเพาะลงในถุงพลาสติก แล้วรดน้ำให้ชุ่ม หลังจากเพาะประมาณ 2 -3 วัน ก็จะเห็นต้นอ่อนของต้นกล้าโผล่ออกมา เมื่อกล้าอายุได้ประมาณ 2 เดือน ความสูงพอประมาณก็ทำการย้ายไปปลูกในแปลงปลูกที่เตรียมไว้

8.  การปลูก การเจริญเติบโตและการปรับปรุงพันธุ์

       ในการปลูกเหรียงนั้นสิ่งที่จะต้องพิจารณาเป็นอันดับแรกก่อนคือ การเลือกพื้นที่ที่จะปลูก ในการเลือกพื้นที่ปลูกเหรียงนั้น จะต้องคำนึงถึงปัจจัยที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเหรียงเป็นสำคัญ จากที่กล่าวมาแล้วในตอนต้นว่า เหรียงเป็นพืชในเขตร้อนชื้นซึ่งชอบที่มีประมาณน้ำฝนและความชื้นในอากาศที่สูง มีปริมาณฝนตกมากพอสมควรประมาณ 2,500 มิลลิเมตรต่อปี อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 20 - 30 องศาเซลเซียส เป็นไม้ที่ต้องการแสง ลักษณะดินชอบดินที่อุ้มน้ำ และเก็บความชื้นได้ดีส่วนมากเป็นดินเหนียว หรือดินร่วนปนทราย ดังนั้นในการเลือกพื้นที่ปลูกเหรียงจะต้องพิจารณาถึงปัจจัยเหล่านี้ด้วย

       การปลูกไม้เหรียงควรจะทำการปลูกในช่วงต้นฤดูฝน เพราะจะทำให้กล้าไม้เจริญเติบโตได้ดี มีเปอร์เซ็นต์การรอดตายสูง ซึ่งช่วงเวลาที่เหมาะสมในการย้ายปลูกควรอยู่ระหว่างเดือนพฤษภาคม - กรกฎาคม ขนาดของกล้าไม้ที่เหมาะสมในการย้ายปลูกอายุประมาณ 2.5 เดือน สูงประมาณ 30 ซม.

       สำหรับระยะปลูกนั้นควรพิจารณาจากความกว้างของเรือนยอดเมื่อไม้โตเต็มที่ ระยะปลูกที่เหมาะสมคือ 8 x 8 เมตร หรือ 10 x 10 เมตร เมื่อปลูกเหรียงแล้ว เนื่องจากเรือนยอดเหรียงโปร่ง อาจพิจารณาปลูกไม้ชนิดอื่นใต้ต้นเหรียงได้

       เหรียงเป็นไม้ที่มีอัตราการเจริญเติบโตที่เร็วชนิดหนึ่ง มีความเพิ่มพูนทางด้านความสูงรายปีมากกว่า 60 ซม.ต่อปี เป็นไม้ที่ต้องการแสงแดดในการเจริญเติบโต จากการทดลองปลูกไม้เหรียงเปรียบเทียบการเจริญเติบโตกับไม้ชนิดอื่นอีก 5 ชนิด คือ สะตอ หลุมพอ ทัง ตำเสา และไม้เคี่ยม ที่สถานีทดลองปลูกพรรณไม้สงขลา อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา ในแปลงทดลองลักษณะดินเป็นดินร่วนปนทราย (sandy loam) ระดับผิวดินลึกประมาณ 15 - 30 ซม. ค่า pH ประมาณ 4.6 ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 1,200 - 2,000 มิลลิเมตรต่อปี ดำเนินการทดลองในปี พ.ศ. 2525 การเจริญเติบโตของไม้เหรียงเมื่ออายุ 3 ปี ปรากฏว่ามีการเจริญเติบโตทางความสูงเฉลี่ย 2.04 ม. ความโตเฉลี่ย 3.50 ซม. มีอัตราการรอดตาย 91% เมื่อเปรียบเทียบการเจริญเติบโตกับไม้ชนิดอื่น ๆ ในโครงการชนิดเดียวกัน ดังแสดงในตาราง

     ตารางเปรียบเทียบการเจริญเติบโตของไม้เหรียงกับไม้ชนิดอื่น ๆ 5 ชนิด เมื่ออายุ 3 ปี ณ สถานีทดลองปลูกพรรณไม้สงขลา

ชนิดไม้ ความสูง (ม.) ความโต (ซม.) การรอดตาย (%)
เหรียง Parkia javanica 2.04 3.5 91
           
สะตอ  Parkia speciosa 0.96 1.51 37
           
หลุมพอ 

Intsia palembanica

0.91 1.44 46
           
ทัง     Litsea grandis 1.13 1.75 67
           
ตำเสา  Fragraea fragrans 2.12 3.23 88
           
เคี่ยม   Catylelobium melannxylon 0.9 1.02 24
          
ที่มา : สุทธิ  มโนธรรมพิทักษ์, 2529        

9.  วนวัฒนวิธีและการจัดการ

         ข้อมูลการศึกษาเกี่ยวกับวนวัฒนวิธีและการจัดการของไม้เหรียงนั้น ยังไม่ได้มีการรายงานไว้ แต่อย่างไรก็ตามเพื่อให้ไม้เหรียงที่ปลูกมีการรอดตาย และมีการเจริญเติบโตดี พ้นจากการแก่งแย่งของวัชพืชและศัตรูธรรมชาติ จึงจำเป็นต้องมีการดูแลรักษาต้นไม้ที่ปลูก สิ่งที่ควรปฏิบัติมีดังนี้

         1.  การกำจัดวัชพืช  เนื่องจากไม้เหรียงเป็นไม้ที่ต้องการแสงมาก แม้ว่ากล้าไม้เหรียงจะมีความสามารถแก่งแย่งกับพวกวัชพืชได้ดีก็ตาม แต่ในปีแรกมีความจำเป็นต้องเอาใจใส่ดายวัชพืชให้ในกรณีที่มีพวกวัชพืชแย่งเบียดบัง ดังนั้นในการปลูกระยะแรก ๆ จำเป็นต้องกำจัดวัชพืชไม่ให้สูงคลุมต้นเบียด และแย่งแสงและอาหารจากต้นไม้ได้ อาจกระจำโดยการดายวัชพืช โดยใช้แรงคนหรืออาจใช้สารเคมีพ่นก็ได้

         2.  การปลูกซ่อม  หลังจากปีแรกผ่านไป ควรมีการตรวจสอบและปลูกซ่อมต้นที่ตายเพื่อเพิ่มจำนวนต้นไม้ให้เต็มเนื้อที่ตามที่ได้กำหนดไว้ในตอนแรก และยังช่วยให้การบำรุงรักษาสะดวกขึ้น

         3.  การป้องกันไฟ  โดยทั่ว ๆ ไปแล้วการทำแนวกันไฟควนให้กว้างประมาณ 10 - 15 ม. รอบแปลงสวนป่า เพื่อป้องกันไฟภายนอกหรือจากการเผาไร่ไม่ให้ลุกลามเข้ามายังสวนป่า พวกวัชพืช เช่น หญ้าคาจะเป็นเชื้อเพลิงได้อย่างดีในฤดูแล้ง ดังนั้นการกำจัดวัชพืชที่ดีก็จะช่วยลดปัญหาด้านไฟได้เป็นอย่างดี ในพื้นที่ภาคใต้นิยมใช้ยา round up กำจัดวัชพืช

10. การใช้ประโยชน์

      เหรียงเป็นไม้โตเร็วอเนกประสงค์พื้นเมืองที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจที่สำคัญชนิดหนึ่งของประเทศไทย สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่างดังนี้

      1.  การใช้ประโยชน์ด้านเนื้อไม้  ไม้เหรียงมีลำต้นกลม ตรง เปลา เนื้อไม้สีขาวนวล ไม่มีแก่น อ่อนและเปราะ เสี้ยนตรงสม่ำเสมอ เลื่อยผ่าได้ง่าย เหมาะที่จะทำพวกไม้บาง นำมาใช้ในการทำส่วนประกอบที่เบาหรือเป็นโครงร่างของการผลิตต่าง ๆ เช่น หีบใส่ของ รองเท้าไม้ ไม้หนาประกบพวกเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้สอย เช่น พวกเครื่องใช้ในครัวเรือน เครื่องครัว เครื่องมือวิทยาศาสตร์ แพ และเรือที่ขุดจากต้นไม้

      2.  ใช้ประโยชน์สำหรับเป็นผักบริโภค  กล้าของเหรียงที่เพาะใหม่ ๆ สามารถนำมารับประทานเป็นผักได้เช่นเดียวกับสะตอ แต่เหรียงจะมีรสขมกว่า กรรมวิธีในการนำเมล็ดเหรียงออกมารับประทานก็คือ เมื่อฝักของเหรียงแก่จัดจะตกลงนั้น สามารถนำไปกระเทาเอาเมล็ดออกมา เมล็ดมีเปลือกแข็ง ทำให้สามารถเก็บเมล็ดได้นาน และจะนำมาเพาะได้เมื่อจำเป็น ในการเพาะควรตัดปลายเมล็ดแล้วนำไปเพาะในกะบะทรายจึงจะนำไปแช่น้ำค้างคืนก่อนที่จะมีความชุ่มชื้นเพียงพอ ต่อมาก็จะมีรากและใบเลี้ยงโผล่ออกมา ซึ่งใบเลี้ยงจะมีลักษณะสีเขียวจึงแกะเอาเปลือกออกล้างน้ำให้สะอาด นำไปรับประทานเป็นผักต่อไป

       3.  ใช้ประโยชน์ในการขยายพันธุ์พืช  เนื่องจากต้นเหรียงสามารถเจริญเติบโตได้ดีแม้แต่ในสภาพที่ไม่เหมาะสม จึงมีการนิยมนำต้นเหรียงมาใช้เป็นต้นตอในการติดตาพันธุ์สะตอ

       4.  ใช้ประโยชน์ด้านการปรับปรุงดิน  เนื่องจากเหรียงเป็นพืชตระกูลถั่ว จึงมีคุณสมบัติทางด้านการบำรุงดินให้ดีขึ้น ใบของเหรียงมีขนาดเล็ก เหมาะสมในการนำมาปลุกควบกับพืชอื่น ๆ เช่น กาแฟ ทำให้กาแฟมีผลผลิตสูงขึ้นติดต่อกันไป

       5.  ใช้ประโยชน์ด้านอื่น ๆ  เปลือกและเมล็ดของเหรียงมีคุณค่าทางด้านสมุนไพรดีกว่าสะตอ ส่วนใหญ่เมล็ดใช้เป็นยาแก้อาการจุกเสียด

Source : http://www.dnp.go.th/Pattani_botany/

Post to Twitter Post to Plurk Post to Yahoo Buzz Post to Delicious Post to Digg Post to Facebook Post to MySpace Post to Ping.fm Post to Reddit Post to StumbleUpon

« « Prev : วิชา “เหรียง”

Next : วิชา “ผักพูม” » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

ความคิดเห็นสำหรับ "วิชา เหรียง (2)"

ไม่มีความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.75841498374939 sec
Sidebar: 0.075478076934814 sec