ควรเรียน-สอนกันอย่างไรในระดับอุดมศึกษา
อ่าน: 1300ก่อนอื่นขออย่าได้คาดหวังว่าบันทึกนี้จะมีคำตอบเบ็ดเสร็จต่อคำถามที่ว่า “ควรเรียน-สอนกันอย่างไรในระดับอุดมศึกษา” นะครับ เพราะผมไม่อาจหาญไปแนะนำว่าจะต้องทำอย่างไร และขอให้ใครเชื่อและทำตาม เพียงแค่อยากนำเสนอสิ่งที่คิดได้หลังจากมีเรื่องให้ต้องคิด อันเนื่องมาจากการพูดคุยกึ่งให้คำปรึกษากับนักศึกษาปีที่ 4 สาขาวิศวกรรมเครื่องกลคนหนึ่งที่กำลังมีปัญหาเรื่องการทำโครงงานหรือ Project
น้องสะใภ้ผมซึ่งเป็นเพื่อนของแม่ของนักศึกษาคนนั้น เป็นคนโทรมาขอให้ผมช่วยแนะนำหน่อย ผมก็รับปากด้วยความเต็มใจ ทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้ร่ำเรียนมาทางสาขาดังกล่าว แต่ก็เชื่อว่าคงพอจะแนะนำอะไรๆในระดับหลักการ และวิธีคิดได้บ้าง พร้อมกับจะได้เรียนรู้ว่า ความเป็นไปในการเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษา ในมหาวิทยาลัยใหญ่ของรัฐที่ “หลาน” คนดังกล่าวร่ำเรียนอยู่นั้นเป็นอย่างไร
เท่าที่รับทราบ ปัญหาอยู่ที่ว่าอาจารย์ผู้สอนไม่อยากให้ทำโครงงานอันเป็นงานกลุ่ม 3 คน นำเสนอเค้าโครงเข้าไป ดูเหมือนจะเป็นเรื่องการศึกษาประสิทธิภาพการแพร่กระจายความร้อนของท่ออะไรสักอย่างหนึ่ง ที่โรงไฟฟ้าแห่งหนึ่ง อาจารย์ให้เหตุผลว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าสนใจ ไม่มีคุณค่าต่อการนำไปใช้ประโยชน์ในวงกว้าง ถามไปถามมาก็ได้ทราบความจริงว่า อาจารย์ที่ปรึกษาของนักศึกษาคนนี้เป็นผู้คิดโครงการให้ และเห็นบอกว่าอาจารย์ดังกล่าวไม่ถนัดหรือไม่ค่อยมีประสบการณ์ในการทำงานในลักษณะการประดิษฐ์คิดค้น ทำแต่งานวิจัยแบบทดลอง ส่วนอาจารย์ผู้สอนถนัดอีกแนวหนึ่ง
ผมถามว่าทำไมไม่คิดโครงการกันเอง พร้อมแนะนำว่า การทำงานถ้าจะให้สนุกต้องทำสิ่งที่เราเห็นคุณค่าในผลของงานนั้นๆ และการจะได้มาซึ่งโครงงานดีๆมีคุณค่าควรจะได้ เริ่มจากปัญหา คือมองไปรอบๆตัวว่ามีเรื่องใดของผู้คนในสาขาวิชาชีพใดที่ยังเป็นปัญหา ต้องการวิธีการปฏิบัติใหม่ๆเพื่อแก้ หรือลดปัญหาดังกล่าว โดยใช้ความรู้ในศาสตร์ที่เรากำลังศึกษาอยู่ พร้อมยกตัวอย่างว่า เมื่อผมเรียนรู้ว่า ทรัพยากรน้ำเป็นสิ่งที่จะเป็นปัญหามากในอนาคต เกษตรกรจะต้องเดือดร้อน วุ่นวายเพราะจัดการอย่างไม่เหมาะสมกับเรื่องการใช้น้ำ ประกอบกับการเรียนรู้ว่ามีผลงานวิจัยจนผลงานเครื่องกระจายน้ำฝอยแบบ ใช้พลังงานไฟฟ้าน้อย และใช้ปริมาณน้ำน้อย และมีจำหน่ายในราคาประหยัด เพียงประมาณชุดละ 300 บาท ผมก็คิดว่าสมควรเข้าไปมีส่วนร่วมทำงานในบางส่วนเพื่อให้มีการนำเครื่องมือดังกล่าวไปใช้ให้แพร่หลายยิ่งขึ้น และมีความสะดวกและประหยัดในการติดตั้ง จึงเริ่มคิดค้น ดัดแปลงเครื่องจ่ายกำลังไฟฟ้า และระบบควบคุมเวลาการทำงานให้กับระบบกระจายน้ำฝอยดังกล่าว จึงเริ่มทำงานไปด้วยความสนุกและความหวังว่า ผลงานที่คิดค้น ดัดแปลงแต่ละรุ่น จะได้มีโอกาสช่วยให้ผู้คนได้ใช้ทรัพยากรน้ำอย่างประหยัด และลงทุนไม่สูงมากเกินไปในการซื้อหาอุปกรณ์ที่เราผลิต และนำมาติดตั้งใช้งานด้วยตัวเอง แถมด้วยตัวอย่างเรื่องอื่นๆเพื่อตอกย้ำว่า เรื่องที่ผมทำ ล้วน เริ่มจากการมองให้เห็นปัญหา ก่อนเสมอ ตามด้วยการ มองให้เห็นสาเหตุของปัญหา และการกำหนดให้ได้ว่า เป้าหมายหรือผลจากการทำงานนั้นๆเราจะได้ผลลัพธ์อะไรออกมา ชนิดที่ช่วยให้ผู้อื่นพ้นความทุกข์ ความยากลำบากได้ ตามด้วยการ กำหนดวิธีการหรือขั้นตอนว่าจะทำอะไรเป็นลำดับไปอย่างไร จนกระทั่งได้ผลงานตามที่คาดหวัง และย้ำว่า ด้วยวิธีคิดดังกล่าวนั่นเอง ทำให้ผมสนุกกับงานทุกชิ้นทุกเรื่องที่ทำ โดยไม่ต้องรอให้ใครมาสั่งการ ควบคุม กระตุ้นหรือคอยเสริมกำลังใจ เนื่องด้วยในกระบวนการดังกล่าวมันมี ยาเร่ง ยาชูกำลังอยู่เรียบร้อยแล้ว ทำไปพร้อมกับได้เปล่งคำว่า “ถูกต้อง - พอใจ” ให้กับตัวเองได้ไปเรื่อยๆ ทั้งยังสามารถ พักผ่อนไปกับการทำงาน ได้เสมอ
แนะนำเสร็จผมก็บอกว่าให้ลองไปคุยกับเพื่อนอีก 2 คนดูอีกครั้งโดยใช้แนวทางดังกล่าวในการคิดโครงงานที่จะทำ ได้ผลอย่างไรให้โทรมาคุยใหม่ ตอนนี้ก็ยังไม่ได้รับโทรศัพท์ครับ
จากกรณีดังกล่าวทำให้ผมคิดต่อและเห็นว่าระบบการเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษานั้น ..ไม่น่าจะปล่อยให้เกิดการเรียนกันไปแบบไร้ความหมายและเป้าหมาย เพราะจะก่อให้ เกิดความเบื่อหน่าย และไม่อาจก้าวไปถึงความรู้จริง หรือสติปัญญาในศาสตร์ที่เรียนได้ มักจะวนเวียนอยู่ในระดับ จำได้ บอกได้ว่า อะไรเป็นอะไร เสียมาก มีส่วนน้อยที่ไปถึงการตอบโจทย์ได้ว่า ทำไม ? และ อย่างไร ?
และเพื่อให้ การเรียนอย่างทนทุกข์ทรมาน ลดน้อยลง ก็ไม่ควรไปหลงเพลินกับการเรียนทฤษฎี(ล้วนๆ)มากเกินไปไปจนผู้เรียนอ่อนล้า ควรให้นักศึกษาได้ออกจากห้องสี่เหลี่ยมไปสู่โลกภายนอกที่เป็นจริง เป็นธรรมชาติ เพื่อสัมผัส สภาพจริงที่มีปัญหาต่างๆแฝงเร้นอยู่ให้มากขึ้น ให้มีโอกาสได้ฝึกคิด ฝึกมองอะไรๆที่เชื่อมโยงอยู่กับชีวิตจริงของผู้คนในสังคมไปตามลำดับ ตั้งแต่ยังเรียนอยู่ในปีแรกๆ ไม่ใช่รอว่าเอาไว้ให้ถึงปีสุดท้ายค่อยออกไปหาประสบการณ์ภาคปฏิบัติ
ถ้าเปรียบพวกเขาเป็นต้นไม้ ก็อยากให้เขาได้ออกจากกระถาง มาสัมผัสพื้นดินจริงๆดูบ้าง เขาจะได้ไม่แขวนลอยด้วยความเสี่ยงอยู่กลางอากาศ แบบรอคอยการป้อนน้ำและอาหารจากผู้อื่นเสียบ้าง
ได้สัมผัสดินบ่อยๆ อีกหน่อยเขาจะรู้สึกเองว่า การมีรากหยั่งลงในพื้นแผ่นดินที่เป็นธรรมชาตินั้น จะทำให้เขาสามารถดำรงตนอยู่อย่างมั่นคง ปลอดภัย ช่วยตัวเองและเผื่อแผ่ เกื้อกูลต่อผู้อื่นได้ และค้นพบคุณค่าของตนเองได้ ในที่สุด
Next : ทำไม “มนุษย์น้ำลาย” จึงแพร่หลายและขายดี » »
ความคิดเห็นสำหรับ "ควรเรียน-สอนกันอย่างไรในระดับอุดมศึกษา"