รายงานการเดินทางไปสวนป่า(รอบที่เท่าไหร่จำบ่ได้) .. ด้วยภาพ

2 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 24 เมษายน 2009 เวลา 12:25 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1651

  ออกจากบ้าน ขับรถมาจอดที่บ้านป้าจุ๋ม  ขึ้นทางด่วนที่ประชานุกูลใกล้ๆรพ.เกษมราษฎร์ ตอน 8.10 น. ถึงบ้านป้าจุ๋ม 8.25 น. ทานอาหารว่างอุดมคุณค่าที่ป้าเตรียมให้เสร็จ .. ท่าน Logos ผู้เอื้ออำนวยการเดินทางก็มาถึง  ออกมารับพ่อครูบาฯ และออกเดินทางกันราวๆ 8.45

 

   แวะดูที่แถวปากช่อง

                      

 

         แล้วก็แอบไปบุกเงียบบ้านสวยสบายของท่านไร้กรอบ .. เยี่ยมชม ร่มธรรม

                                     

 

 

                   เที่ยงแล้วต่างก็หิว แม้ข้าวต้มมัดของป้าจุ๋มจะอร่อย  ก็จำต้องเติมพลังให้เพียงพอ  เป้าหมายจึงเป็นร้าน MK ใน Lotus ปากช่อง

                                       

 

      จากนั้นท่าน Logos ก็พาพวกเราเดินทางต่อ  มายืดเส้นคลายเครียด และซื้อกับข้าว ณ ที่เก่าแต่ไม่ใช่เวลาเดิม คือ ตลาดชุมพวง .. ขาดไม่ได้ก็บวบเหลี่ยม .. มีอยู่ถุงหนึ่ง 7 กิโล ป้าเหมาหมด แถมด้วยผักหญ้าอีกหลายรายการ

                         

 

       จนมาถึงสวนป่าเมื่อเวลาประมาณ 17.30 น. 

            

                       …………….  จบข่าว !

         ที่จริงยังมีอีก .. ขอค้างไว้เล่าต่อภายหลังครับ

       คำถามท้ายบท : มือใคร  ถืออะไร ในภาพสุดท้าย ..  ใบ้หน่อยก็ได้ … คนเสียงเหน่อห้ามตอบ !

      อิ อิ อิ


บังเอิญ เอก เหมือนกัน

ไม่มีความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 22 เมษายน 2009 เวลา 9:34 (เย็น) ในหมวดหมู่ เรื่องจริงที่เหลือเชื่อ #
อ่าน: 1491

มีน้องคนหนึ่งถูกชะตากับผมมากทั้งที่เพิ่งรู้จักกันเมื่อไม่นานมานี้  เขาจบทางคอมพิวเตอร์แต่มาเอาดีทางซ่อมโทรศัพท์มือถือ  ได้มีโอกาสมาช่วย และสอนผมให้เรียนลัดหลายๆอย่างเกี่ยวกับงานซ่อมมือถือ ที่ช่างเก่าอย่างผมอยากลองเล่นกับมันครับ

     วันนี้ น้องเขาก็มาอีกตามนัด ลองโน่น ลองนี่กัน จนมาพบว่า Flash Drive ของเขามี Virus ติดมาด้วย  ผมก็ Scan และจัดการให้เรียบร้อย  เมื่อเขาเอ่ยปากว่า ผมมีโปรแกรม Anti-virus ตัวที่ใช้อยู่มั้ย ผมก็รับปากว่าจะหาให้  ลงไปชั้นล่างคุยกับคุณยอด (ภูวดล  ภูดิน) เพื่อขอโปรแกรมดังกล่าว  ก็ให้บังเอิญที่คุณยอดบอกว่า ” เอาแผ่นนี้ไปเลยครับ เขียนไว้ให้น้องที่มาเมื่อวาน  เดี๋ยวค่อยทำให้เขาใหม่ ” ผมรับแผ่น Cd มาทันที  ตอนเดินกลับขึ้นไปหาน้องเขาพบว่าบนแผ่นนั้น มีลายมือคุณยอดเขียนชื่อโปรแกรมไว้ และบรรทัดล่างเขียนว่า ” ให้เอก “  ผมงงมากจึงลงไปถามว่าคุณยอดเขียนข้อความดังกล่าวตอนไหน  ทำไมไวจัง  เขาตอบว่าเขียนตั้งแต่เมื่อวาน  ผมจึงยิ่งงงเข้าไปใหญ่จึงถามกลับว่า เขารู้ได้อย่างไร  เขาก็งงว่าผมถามอะไร .. สรุปดีกว่าครับก่อนที่จะพากันงง ทั้งคนเขียน คนอ่าน

    เรื่องของเรื่องก็คือ คนที่คุณยอดเตรียมแผ่นไว้ให้นั้น ชื่อเล่นว่า “เอก” เป็นศิษย์เก่าของผมเองที่มาพบเขาเมื่อวาน  ส่วนน้องคนที่รอรับแผ่นจากผมอยู่ชั้นสองนั้นก็ชื่อ “เอก” เหมือนกัน .. เท่านั้นแหละ ไม่มีอะไรมาก แต่ฟลุ้คแบบนี้ เพิ่งจะเจอครั้งแรกในชีวิตครับ


กระจายอำนาจอย่างไรจึงจะไม่เละ

5 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 19 เมษายน 2009 เวลา 8:44 (เช้า) ในหมวดหมู่ การจัดการความรู้ #
อ่าน: 1443

    กลับบ้านที่ไชยาเที่ยวนี้มีเรื่องดีๆที่ปฏิบัติต่อกันในหมู่ญาติและมิตรสหายหลายเรื่อง  ความอบอุ่น  ความมีน้ำใจยังอุดมสมบูรณ์เต็มที่  แต่ก็มีบางเรื่องที่ทำให้ต้องฉุกคิด และยังหาคำตอบที่ลงตัวไม่ได้  เป็นเรื่องของสาธารณชนครับ ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว

    เรื่องแรกได้แก่เรื่องการทำมาหากินและเสวยประโยชน์อันมิชอบในหมู่นักการเมืองระดับท้องถิ่น พวกอบต.ทั้งหลายนั่นแหละครับ  ได้ฟังเรื่องซ้ำๆเกี่ยวกับการ แบ่งกันกิน อยู่เสมอ  รวมไปถึงการใช้อำนาจ อิทธิพลเพื่อข่มเหง เบียดเบียนชาวบ้าน .. ขอไม่ลงรายละเอียดครับ  แต่ก็มักไม่พ้นประเภทก่อสร้างโน่น  ต่อเติมนี่  วางแผนของบประมาณมาทำอะไรบางอย่างพร้อมๆกับวางแผน จัดสรรปันส่วนผลประโยชน์ที่ไม่ค่อยสะอาดให้กันในหมู่พวกของตัวในลักษณะที่ผู้คนทั่วไปรับรู้ได้ไม่ยาก  แต่ไม่อยากให้ชีวิตต้องเสี่ยงหรือพบความลำบากก็เลย “ไม่พูดดีกว่า” อำนาจที่กระจายออกไปสู่ท้องถิ่นก็เลยกลายเป็นอำนาจที่เอื้อผลประโยชน์อันมิชอบให้แก่กลุ่มคนที่อ้างว่าอาสาเข้ามาทำงานเพื่อชุมชนครับ

    ที่ผมว่ามาทั้งหมดน่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ทั่วแผ่นดิน มากบ้าง น้อยบ้าง  และเชื่อว่าที่เขาทำดีด้วยความเสียสละเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน  คำถามก็คือ ทำอย่างไร การกระจายอำนาจจึงจะไม่เป็นการกระจายโอกาสให้เกิดการโกง กิน กัน อย่างที่ผมได้รับรู้มา

    อีกกรณีหนึ่งขอยกตัวอย่างของจริง ตรงๆมาเสนอเพื่อให้เกิดความคิด เพื่อการแก้ไข และป้องกันครับ  งานนี้ไม่ได้เกี่ยวกับการหาประโยชน์โดยมิชอบของใคร  แต่ผลที่ปรากฏผมว่าเสียหายยิ่งใหญ่  และน่าจะเพราะเรื่องการกระจายอำนาจเช่นเดียวกัน 

    ผมไม่สบายใจทุกครั้งที่กลับบ้านเกิดที่ไชยา  แล้วพาหลานไปวิ่งเล่นที่ชายหาดแหลมโพธิ์ที่พุมเรียง  ปกติแล้วทะเลแถวอ่าวบ้านดอน  รวมมาถึงแถวไชยานั้น  ชายฝั่งจะเป็นดินเลน มีป่าชายเลนเป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำพวก กุ้ง หอย ปู ปลา ที่สมบูรณ์มาก แต่ก็ได้อย่างเสียอย่างครับ  คือแถบนั้นเราจะไม่ค่อยมีหาดทรายสวยๆ เพื่อการลงเล่นน้ำทะเลอย่างที่อื่นๆ  เช่น ประจวบฯ ชุมพร  สมุย นครฯ หรือสงขลา  แต่ก็ยังนับว่าโชคดีที่ไชยา เรามีหาดที่แหลมโพธิ์ ซึ่งหลายปีก่อนมีการสร้างสะพานให้รถวิ่งข้ามปากแม่น้ำไปถึงชายหาดได้โดยสะดวก  ไม่ต้องล่องเรือมาจากตลาดพุมเรียงอย่างที่พวกผมเคยทำเมื่อสมัยต้องไปอยู่ค่ายพักแรม ตอนเรียนลูกเสือเมื่อครั้งยังเป็นนักเรียนชั้นมัธยม  ตอนนั้นเราอึดกันไม่น้อย  เดินเท้าจากไชยาไปพุมเรียงราว 8 กม. แล้วล่องเรือต่อเพื่อไปค้างแรมบนแหลมโพธ์ 1 คืน  แหลมโพธิ์ตอนนั้นมีหาดทรายขาวสะอาด  ทอดยาวไกลให้เราได้วิ่งเล่น ไม่มีสิ่งก่อสร้างหรือบ้านเรือนผู้คน ยกเว้นบ้านชาวประมงที่อยู่ริมฝั่งสองสามหลังเท่านั้น 

    กาลเวลาผ่านไป  ความสะดวกสบายของถนนหนทาง และการสร้างสะพาน ทำให้คนไปถึงแหลมโพธิ์ได้โดยง่าย จึงได้มีการปรับปรุงบริเวณ มีการสร้างอาคาร ร้านค้า ร้านอาหารให้เห็นระเกะระกะอยู่ทั่วไป  มีการสร้างที่อาบน้ำ มีห้องสุขา  มีสวนหย่อมที่ดูเหมือนร่องรอยของความหวังว่าอยากทำให้สวยงาม  มีสายไฟ สายโทรศัพท์ที่เดินไว้อย่างน่ารำคาญสายตา เชื่อมโยงระหว่างเสาไฟฟ้า ที่ปักขนานไปตามถนน ตามแนวชายหาดนั่นเอง  ที่ร้ายที่สุดคือการเปิดตลาดนัดขนาดใหญ่บนพื้นที่ใกล้ชายฝั่ง บนพื้นดินที่ฝุ่นคลุ้ง ดูไกลๆเหมือนค่ายอพยพ  ระเกะระกะไปด้วยผ้าพลาสติก กันแดดที่ทำเป็นหลังคา ใช้เชือกขึงและปักหมุดกับพื้นดิน  สูงๆ ต่ำๆ อยู่เต็มบริเวณ  บดบังทัศนียภาพชายฝั่งได้หมดจดจริงๆ .. อย่าว่าผมปากเสียเลยครับ .. มันไม่ควรจะเป็นอย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้เลย

     จากสภาพแหลมโพธิ์ที่ได้เปลี่ยนจากสวยงามในอดีต มาเป็น เละเทะในปัจจุบัน  ผมเดาเอาว่าส่วนสำคัญน่าจะเป็นเพราะการกระจายอำนาจเช่นกัน  กระจายอำนาจไปให้อบต.ทำกันเองใช่หรือไม่  แล้วภาพรวมเกี่ยวกับมาตรฐานแหล่งท่องเที่ยวของทั้งจังหวัด เป็นอย่างไร มีคณะไหนดูแลหรือเปล่า นี่คือสิ่งที่ผมยังไม่รู้  แต่ถ้าปล่อยอิสระให้แต่ละอำเภอ แต่ละอบต. ไปคิดละเลงกันเองอย่างอิสระล่ะก็  ผมว่าไม่เข้าท่า  เพราะต่อให้เขาบริสุทธิ์ใจเพียงใดแต่ถ้าขาดความรู้-ประสบการณ์ที่เพียงพอ ก็มีสิทธิ์ที่จะทำสิ่งเพี้ยนๆให้เกิดขึ้นได้เสมอ  ทำไปโดยความตั้งใจดี  แต่ไม่มีความรู้  สุดท้ายเราก็ต้องสูญเสียสิ่งดีๆ สิ่งสวยงามไปอย่างน่าเสียดาย …

  • แหลมโพธิ์เป็นสมบัติของคนพุมเรียง  หรือเป็นของคนไทยทั้งประเทศ 
  • จะทำแหลมโพธิ์ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว แหล่งพักผ่อนหย่อนใจที่ร่มรื่น สะอาด สะดวก สบาย ได้อย่างไร 
  • ใครควรเป็นผู้กำกับดูแล หรือจะปล่อยให้เขาทำกันในกลุ่มเล็กๆ ตามยถากรรม

    สรุปก็คือผมอยากถามรวมๆว่า กระจายอำนาจอย่างไรจึงจะไม่เละ  นั่นเอง .. ครับผม … อิ อิ อิ


ซ่อมเครื่องมากว่า 40 ปี อาการนี้เพิ่งเคยเจอ

5 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 7 เมษายน 2009 เวลา 1:03 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1043

    วันก่อนได้ลำโพง Altec ของเก่ามาคู่หนึ่ง  เขาขายให้ไม่ถึง 100 บาท  เป็น Active Speaker กล่าวคือมีภาคขยายเสียงในตัว แถมมีช่อง Output สำหรับต่อสัญญาณ Sub woofer ออกมาด้วย .. แกะซ่อมอยู่นาน เปลี่ยน IC Power Amp. ก็แล้ว .. เสียงยังเพี้ยนพร่า ฟังไม่ได้  ตรวจสอบด้วยสายตา ทุกอย่างดูเรียบร้อย ตรวจวัดก็ไม่มีอะไรผิดปกติ กำลังจะออกไปซื้อ IC ตัวใหม่อยู่แล้ว  แต่ก็ได้ลองใช้หัวแร้งจี้จุดบัดกรีขา IC ทีละจุดอีกครั้งหนึ่ง ทำขณะที่เปิดเครื่องลองเสียงอยู่ด้วย  มาถึงขาหนึ่งเกิดเสียงดังฟังชัดขึ้นมา พอละปลายหัวแร้งก็กลับเป็นเหมือนเดิม  จี้ลงไปใหม่กลับดีอีก  รอยต่อก็แน่นหนา ไม่มีทีท่าว่าจะเชื่อมต่อไม่สนิท .. งงครับ  และแล้วก็ลองมาจี้อีกจุดหนึ่งซึ่งเป็นจุดที่มีลายทองแดงเชื่อมต่อมาจากขา IC ดังกล่าว  ห่างออกมาสักประมาณ 1 นิ้ว ปรากฏว่า ส่วนที่เป็นเม็ดกลม (Donut) ของลายวงจร ติดปลายหัวแร้งขึ้นมาเลยครับ  เชื่อว่าได้เกิดรอยแยกจนทำให้วงจรขาดอยู่ ณ จุดนั้นโดยที่ตาไม่อาจมองเห็นเพราะมีน้ำยาเคลือบอยู่  แสดงว่าตอนเราจี้หัวแร้งที่ขา IC ความร้อนทำให้ทองแดงขยายตัวจนมาชนกันครบวงจร พอเย็นก็หดตัวแยกกันอีก  จึงได้จัดการเชื่อมต่อจุดดังกล่าวให้ครบวงจร  ทุกอย่างเรียบร้อยครับ  ใช้งานได้สมบูรณ์  เสียงดีเกินตัว  ไม่เสียชื่อ Altec Lansing เลยครับ

    หน้าตาเขาเป็นอย่างนี้ครับ

                              


ความหยาบจากเมืองจีน

4 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 28 มีนาคม 2009 เวลา 9:54 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1151

   ไม่ใช่หยาบคายครับ แต่เป็นเรื่องความประณีตเรียบร้อยของงาน  ผมเก็บภาพถ่ายไว้นานแต่ไม่เคยได้แสดงความคิดเห็นเรื่องนี้ไว้ที่ไหน  จนกระทั่งได้มาตามอ่านเรื่องชุดสิบสองพันนาของท่านพี่บู๊ท บางทราย  ก็เลยไปร่วมแจมไว้  ก็ขอนำมาฉายซ้ำให้เห็นกันชัดๆที่ตรงนี้อีกรอบ

     ดูภาพและความคิดเห็นได้เลยครับ

    ผมเห็นชัดว่างานของจีนมักจะหยาบๆ  โดยเฉพาะถ้าเทียบกับญี่ปุ่น .. ต่างกันลิบลับ ดูได้จากผลิตภัณฑ์ทั้งหลาย  ส่วนที่เห็นในภาพนี้  เป็นงานไฟฟ้าในอาคารครับ (ภาพเล็ก ขวาบน และ ล่างซ้าย) .. ทางเทคนิคก็คงสอบผ่าน ขนาดของสายไฟ และ Spec. ของอุปกรณ์คงไม่มีปัญหา  แต่เรื่องความเป็นระเบียบเรียบร้อย และความปลอดภัย ยังดูไม่จืดอยู่นะครับ .. เกิดเด็กซนๆเดินไปจับโน่นจับนี่ใต้บันได  มีสิทธิ์ตายได้ง่ายๆ

 
      ในภาพนี้ก็อีกตัวอย่างหนึ่งครับ … ดูเขาทำ


ตาไม่ค่อยดี .. ช่วยดูที .. ผมอยู่ตรงไหน ในรูป

3 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 20 มีนาคม 2009 เวลา 1:12 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1215

   หลายเดือนมาแล้ว  สื่อสารทาง Skype กับเพื่อนซี้ อ.สุนทร  ชัยชนะ ผอ.สำนักวิทยบริการ มรภ.สกลนคร  ได้ลองส่งรูปถ่ายเก่าๆสมัยเรียน ปกศ.สูง ที่ วค.สงขลามาให้ เป็นภาพหมู่ ถ่ายร่วมกับอาจารย์ โดยมี ผอ.สมบุญ  ศรียาภัย มาร่วมถ่ายภาพด้วย

    รูปนี้ครับ

                         

         ดูแล้วชักตาลาย .. ตูข้าอยู่ตรงไหนหว่า .. ใครมองหาเจอช่วยบอกที .. มีรางวัลด้วย  มีตัวช่วยนะครับ  อยากดูรูปใหญ่ให้คลิกบนรูปข้างบน


เรื่องโรคกลัวความรู้ จากมุมมองของผม

ไม่มีความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 16 มีนาคม 2009 เวลา 2:18 (เช้า) ในหมวดหมู่ การจัดการความรู้ #
อ่าน: 1492

       นานมาแล้ว “ลุงแหวง” แกกังวลใจ เรื่องคนไทยออกอาการ “กลัวความรู้” กล่าวคือ สนใจแต่เรื่อง “ไร้”สาระบันเทิง มากเสียจนไม่มีช่องว่างให้กับการเรียนรู้สิ่งที่เป็นประโยชน์  ดังมีรายละเอียดอยู่ใน บันทึกนี้  บันทึกดังกล่าวมีพาดพิงถึงผมเล็กน้อยว่า …

ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของอาจารย์ “แฮนดี้” ที่ว่า “ จะรู้ไปทำไม (วะ) ??? ”

เหตุเพราะถูกพาดพิง ผมเลยไปบรรเลงความคิด ความเชื่อท้ายบันทึกดังกล่าวไว้ว่า …

  • ในฐานะถูกพาดพิง ก็ขอบอกว่าเห็นจริงตามบันทึกนี้
  • โรคนี้นอกจากสังเกตได้จากการเลือกบริโภคข่าวสาร สารสนเทศแล้ว ยังมีอาการอื่นๆอีกครับ เช่น …
  • เมื่อจะนั่งลงคุยกัน เพื่อแสวงหาทางออกในเรื่องใดๆ ที่คิดจะร่วมกันสร้าง ร่วมกันทำ เพื่อเป้าหมายเดียวกัน มักจะเห็นการพูดกันไม่รู้เรื่อง พูดกันนานๆ แต่ก็ไม่ได้ข้อสรุป ที่เคยพบก็เหมือนต่างฝ่ายต่าง กลัวความรู้ อายที่จะยอมรับว่า ตัวเองยังไม่รู้ เป็นชาล้นถ้วยกัน ทั้งที่ล้นฝ่ายเดียว และล้นทั้งสองฝ่ายครับ
  • รู้อะไร ทำอะไรได้แล้ว ก็หลงปลื้มอยู่ว่า “นี่แหละ สุดยอด” เป็น “อมตะ นิรันดร์กาล” ปฏิเสธการเรียนรู้สิ่งใหม่ เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม ถ้าความรู้เป็นปลาที่ซื้อมาจากตลาด จะเน่าเฟะ เหม็นคลุ้งอย่างไรก็ไม่ได้กลิ่น ยึดมั่นเหนียวแน่น ว่าที่เคยทำสำเร็จในอดีต พรุ่งนี้ก็จะต้องสำเร็จได้ด้วยวิธีเดิมๆ .. ในแวดวงวิชาการนี่แหละ ตัวดี
  • ฯลฯ
  • สำหรับยาแก้ คิดไม่ออกครับ แต่ถ้าเป็นวัคซีนล่ะก็คิดว่าพอมี นั่นคือจะต้องฉีดยา ชื่อ “สัมมาทิฐิ” ในเรื่องการศึกษา การเรียนรู้ การเลี้ยงดูบุตรหลาน เข้าไปสู่ ว่าที่ พ่อ-แม่ ให้หนักๆ ทุกรูปแบบที่ทำได้ ในหนัง ละคร สื่อมวลชนทุกแขนง ปลุกระดมให้เกิดความละอาย ที่จะจมอยู่กับเรื่องไร้สาระ จนเกินพอดี เอาให้ถึงขั้นที่ท่านอาจารย์พุทธทาสพร่ำสอนว่าเกิด ” อตัมยตา” ให้ได้ คือ ฉลาดมองจนเห็นความไร้สาระชัดแจ้ง และตะโกนบอกตัวเอง เงียบๆในใจ แต่เสมือนสนั่นหวั่นไหว ว่า ” กรู ไม่เอากับ มรึง แล้ว (โว้ย) ” .. พูดคำหยาบกับตัวเอง ดีครับ ไม่บาป จะได้สะดุ้ง และกล้าเปลี่ยนแปลง
  • วัคซีนเข็มนี้ ต้องไม่ลืมฉีดให้ คุณครู ทุกระดับ อาจารย์มหาวิทยาลัย ไม่ว่าจบมาระดับไหน ต้องบังคับฉีดทุกคน เพื่อความปลอดภัยของชาติครับ .. ไม่เว้นแม้แต่ พระสงฆ์ และนักบวชในทุกศาสนา .. ฉีดปัญญาให้ท่าน ไม่ต้องกลัวบาปครับ

ลุงแหวงยังมาแซวปิดท้ายอีกด้วยว่า …

ขอบคุณครับ

ว่าจะพาดและพิงอีกหลายเรื่องเลยครับ

และกำลังรอสายต่อไมค์อยู่ครับ ( งานนี้ คืออุปกรณ์ดัดแปลงเพื่อทำ Tele-lecture อย่างประหยัดครับ ผมเบี้ยวอยู่นาน แต่จัดการให้ไปแล้วเรียบร้อย )
อิ อิ ( ของลุงแหวง ไม่ใช่ของผม )

ของแท้ของผมต้อง 3 ครับ …… อิ อิ อิ


ลูกหยอด จากนักศึกษา ที่ส่งมาทาง e-mail .. ( เป็น Furniture ประกอบเจ้าเป็นไผ ได้บ้างกระมัง )

3 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 15 มีนาคม 2009 เวลา 9:10 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1209

  สวัสดีครับ

     อยากรวบรวมอะไรๆที่เกี่ยวกับตัวเราที่กระจัดกระจายอยู่ตามที่ต่างๆ  แล้วจับมาวางให้อยู่ใกล้ๆกันในลานแห่งนี้  วันนี้ไปค้นๆดูก็พบเรื่องที่คนเขาพูดถึงเรา ส่งมาทาง e-mail .. ไม่ใช่บ้ายอ  แต่ก็ยอมรับว่าเกิดกำลังใจอยู่ไม่น้อยครับ  สาระจากบันทึกนั้นมีดังนี้ …

    นั่งตรวจงานนักศึกษาที่ส่งมาทาง e-mail ครับ .. กลุ่มนี้เป็นผู้บริหารสถานศึกษา ที่เรียนหลักสูตรพิเศษ ป.บัณฑิตการบริหารการศึกษา รุ่น 5 ครับ นอกจากพิจารณาจากสิ่งที่ท่านเหล่านั้นทำส่งมาแล้ว  หลายฉบับ พบว่า มีลูกหยอด ให้กำลังใจอยู่เป็นระยะ .. อ่านไปก็ทำใจให้เห็น “เช่นนั้นเอง” ไม่หวั่นไหวในโลกธรรม ๘ มากนัก .. แต่พอดูๆไป มันก็พอจะช่วยให้เราประเมินตัวเองได้บ้างเหมือนกัน  ไม่ได้หวังอะไรมากครับ .. แค่ได้พบว่าตัวเอง น่าได้จะทำอะไร ถูกต้อง ถูกทาง แล้วก็รับความ “พอใจ” อยู่เงียบๆ ด้วยความหวังว่าจะทำสิ่ง “ถูกต้อง” เหล่านั้นให้ยิ่งขึ้นไปในแต่ละวัน ในโลกแห่งการงานใบนี้

   เขาหยอดมาดังนี้ครับ ….

…..  ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสได้มาเรียนกับท่านอาจารย์  ซึ่งกระผมได้ประจักษ์แล้วว่าท่านอาจารย์มีประสบการณ์ทางด้าน IT อย่างมากมาย  นับว่าเป็นความโชคดีของกระผมเป็นอย่างยิ่ง

…..  ถึงแม้จะเผลอเรียกตัวเองว่า ส.ว. บ่อย ๆแต่แววตาของอาจารย์มิได้เป็นไปตามนั้นเลยค่ะ แต่กลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและตื่นตัวกับองค์ความรู้ใหม่ ๆ

…… ขอขอบคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงที่ให้ความเมตตา สนทนาพูดคุยขณะทำการสอน ด้วยความเอื้ออาทร เป็นกันเอง

…… รักษาสุขภาพเพื่อสร้างสรรค์ผลงานต่อไปนะคะ

…..  ดิฉันประทับใจในการสอนของอาจารย์เกี่ยวกับการพยายามสอดแทรกคุณธรรมจริยธรรมตลอดเวลา สอนให้รู้จักการให้ ให้รู้จักการเสียสละ เผื่อแผ่ให้กับคนอื่น สอนให้มีมารยาท สอนให้เอาใจเขามาใส่ใจเรา อาจารย์มีความป็นครูสูงมาก ดิฉันจะยึดถือเป็นแบบอย่างในการอบรมลูกศิษย์ต่อไป

…..  ชื่นชมและประทับใจมากที่ได้เรียนกับอาจารย์ อาจารย์สอนเข้าใจง่าย  แต่ลูกศิษย์ สว.เกินไปจึงจำไม่ค่อยจะได้ทั้งๆที่จดทุกขั้นตอนเลยค่ะ

…..  คำตอบจากอาจารย์เปรียบเสมือนสายฝนที่เย็นชื่นฉ่ำ รู้ว่าตอนที่โทรศัพท์หาอาจารย์นั้น อาจารย์กำลังยุ่งงานมาก และคงจะเหนื่อย (ฟังจากเสียงอาจารย์ทางโทรศัพท์) แต่อาจารย์ก็ยังให้กำลังใจและให้คำแนะนำในการทำงาน โดยอาจารย์บอกว่า ” ไม่ต้องกังวลเรื่องคะแนน…

……  ขอกราบขอบพระคุณ ในความรู้ต่าง ๆ ที่ได้รับ จะพยายามไม่หลงทาง ทุกกรณีค่ะ

…… ขอให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรง ร้องเพลงเพราะตลอดกาล ผมคงได้สัมผัสความรู้สึกดี ๆ ของอาจารย์อีกครั้งใน Trip Vietnam - Chaina  22 - 26 April 2008

        ปล. ขอสัญญาว่าจะไม่เหลิงครับ  …. อิ อิ อิ.


ไปนครนายก

7 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 15 มีนาคม 2009 เวลา 6:32 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2003

     ความจริงเขียนเล่าไว้หน่อยนึงแล้ว ที่นี่ ตั้งแต่ออกเดินทางมา เขียนและส่งในรถตู้ครับ เช้านี้ตื่นมานั่งจัดการกับรูปแบบเร่งๆทำ และว่าจะเขียนบันทึกใหม่ใส่รูปเยอะ ทำนองเล่าเรื่องด้วยภาพ คิดแล้วมาที่ลานแห่งนี้ดีกว่า เพราะ Upload ภาพได้มากและเร็วกว่าครับ

     รอหน่อยครับ จะลองนำรูปขึ้น แล้วค่อยมาเล่าต่อ … Net ผ่าน GPRS แถวนางรองตอนนี้ ช้าเหลือประมาณ .. ไว้ค่อยมาเพิ่มเติมข้อมูลครับ

     และแล้วก็เรียบร้อยครับ คัดเลือกรูปจากกล้องตัวเล็ก LUMIX DMC-LC70 ของผม จัดเป็นชุดลงในกรอบ ด้วย Photoscape แบบเร่งรีบ ได้มา 20 ชิ้น .. 6 โมงกว่า พี่สาวคือ ผศ.วรางคณา นาคพนม มาเคาะประตูบอกว่ารีบอาบน้ำ รถกลับจะออกตอน 8 โมงตรง เลยมาสั่ง Upload อาบน้ำเสร็จสักพักก็เรียบร้อยครับ Net ช้าก็ทนเอาหน่อย คอยดูใจไม่ให้เผลอไปหงุดหงิด

      ขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่างานนี้ จัดที่รีสอร์ทสวยใกล้น้ำตกนางรอง ชื่อว่า อิงธารรีสอร์ท บรรยากาศดี ที่พักใหม่ สะอาด สบาย และมีห้องสำหรับจัดประชุมหรือจัดเลี้ยงหลายขนาด ให้สอดคล้องกับขนาดของกลุ่มครับ เป็นการพบปะของผู้บริหารโรงเรียนที่เรียนจบหลักสูตร ป.บัณฑิตการบริหารการศึกษารุ่น 5 และเขาเตรียมมาแจกประกาศนียบัตรแบบไม่ค่อยเป็นทางการด้วย

     น่าเสียดายว่าสมาชิกติดภารกิจเสียมาก มาร่วมได้ประมาณ 30 คนเท่านั้น ส่วนหนึ่งเป็นปัญหาการประสานงานที่ต้องทำในระยะเวลาที่จำกัด และเป็นช่วงที่หลายๆคนมีภารกิจมากที่โรงเรียน   เมื่อไม่ค่อยเป็นทางการ ผมเลยสวมบทบาทเป็นตากล้องให้เสียเลย ถ่ายภาพบรรยากาศทั่วไปของงานและตอนที่แต่ละคนขึ้นรับใบประกาศจากท่านอดีตคณบดี ผศ.จำรัส มีกุศล ที่ผมเพิงจะได้ร่วมมอบดอกไม้ให้ท่านในงานเลี้ยงเล็กๆที่คณะ และบอกกล่าวขณะที่ส่งดอกไม้ให้ ด้วยข้อความสั้นๆ้ว่า ” ผมรักพี่จำรัส .. ทำงานกับพี่เหมือนทำงานกับพี่สาว ” ผมได้เคยช่วยทำงานในตำแหน่งรองคณบดีให้ท่า่นอยู่ช่วงหนึ่ง จนกระทั่งลาออกจากราชการเมื่อปีที่แล้ว

      ท่านอดีตคณบดีกล่าวให้โอวาทจบแล้ว ยังโยนไมค์ให้พวกเราอีก 4 คน คือ รศ.มัณฑรา ธรรมบุษย์ ผศ.วรางคณา นาคพนม ตัวผม และ ผศ.ชนม์นิภา วรกวิน ได้ขึ้นไปกล่าวอะไรแก่ผู้จบการศึกษาด้วยตามลำดับ แบบไม่ได้นัดหมายกันล่วงหน้าแต่ประการใด

      ถึงคิวผม ผมก็ก้าวขึ้นเวที ขอโทษที่แต่งตัวไม่ค่อยเรียบร้อย และบอกพวกเขาว่าผมมาวันนี้เพราะรู้สึกผูกพัน การได้สอน ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้มันมีความหมายมากเพราะท่านเหล่านี้คือผู้บริหาร และว่าที่ผู้บริหารโรงเรียน ซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้กุมอนาคตของชาติ เพราะเรื่องจะปฏิรูป ปฏิวัติอะไรทางการศึกษานั้น ผู้บริหารที่มีคุณภาพ มีวิสัยทัศน์ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้สำเร็จหรือล้มเหลว เรื่องความรู้ด้านหลักการ และทฤษฎีทั้งหลาย ผมว่าต่างก็รู้กันมากเกินพอแล้ว สิ่งที่ห่วงก็คือจะนำไปปรับใช้สู่การปฏิบัติหรือไม่ อย่างไรเท่านั้น หากทำอะไรได้ผลหรือสำเร็จก็อย่าประมาท สิ่งสำคัญที่อยากให้รักษาและทำให้ขยายกว้างขึ้นคือเครือข่าย และไม่ได้หมายถึงเฉพาะในกลุ่มผู้เรียนเท่านั้น ผมยืนยันหนักแน่นว่ายังมีคนคิดเหมือนท่าน ประเภท คอเดียวกัน หรือหันหน้าไปทางเดียวกันอยู่อีกมากมายทั่วแผ่นดิน หากใช้ ICT เช่น Blog มาเป็นเครื่องเชื่อม ก็จะเกิดพลังมหาศาล ใช่ว่าจะเป็นเพียง Virtual World แต่จะสามารถพบปะกันจริงๆ ช่วยเหลือเกื้อกูลกันจริงๆได้ พร้อมกับยกตัวอย่าง ครูโย่ง และ ครูปู ของเรา ว่ารุดหน้าไปกว่าที่ผมคาดคิดมากมายแค่ไหน .. ฯลฯ

      ปิดท้ายด้วยการปวราณาตัวว่า ผมลาออกจากราชการแล้ว แต่ผมไม่ใช่คนว่างงาน ยินดีที่จะไปทุกที่หากเห็นว่ายังมีอะไรจะให้ร่วมคิด ร่วมทำได้ เพื่องานด้านการศึกษา งานพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของชาติ  ให้ติดต่อไปได้แบบไม่ต้องเกรงใจ และอวยพรให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดีทั้งกายและจิต เพื่อร่วมกันทำหน้าที่อันยิ่งใหญ่ให้สำเร็จและก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป …. จำไม่ค่อยได้แล้วครับ พูดจากใจแบบไม่มีโพยนี่ครับ .. แต่แบบนี้แหละดี ไม่ต้องปรุงแต่ง ธรรมชาติดี

     จบพิธีการแล้วก็ทานอาหารเย็น พร้อมของที่ขาดไม่ได้คือคาราโอเกะ ดีครับที่มีนักดนตรีมาช่วยควบคุม เพิ่มเติมสีสันให้กับดนตรี เช่นใส่ Effect เสียงประกอบเข้ามาช่วยด้วย ทำให้ไม่แห้งแล้งแบบปล่อยให้คอมพิวเตอร์บรรเลงเองล้วนๆ บรรยากาศเต็มไปด้วยความครึกครื้น สนุกสนาน เป็นกันเองเหมือนพี่น้อง ว่ากันไปยัน 5 ทุ่มจึงกลับที่พักเข้านอน ของผมเป็นเรือนพักทรงไทยน่ารัก ขนาดกระทัดรัด ชื่อ สะบันงา ครับ

      ตอนเช้าหลังอาหารเช้าก็ต่างแยกย้ายกันกลับ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปร่วมกัน และร่ำลากันอยู่นานด้วยรอยยิ้มและความหวังว่าจะต้องได้มีโอกาสแบบนี้อีก

      รถตู้พาพวกเรามาจอดหน้าคณะศึกษาศาสตร์ มรภ.จันทรเกษมตั้งแต่ก่อน 11 โมงครับ ผมเข้าบ้านและ มานั่งพิมพ์ต่อเติมเรื่องราวท่อนหลังนี้จากที่บ้านแล้วครับ

                                                                    

                                                                    

                                                                    

                                                                    

                                                                     

 

                                                                      

 

                                                                     

 

                                                                     

 

                                                                      

 

                                                                     

 


เรื่องไม่ลับ แต่ไม่ค่อยได้บอกใครของผม .. (ใช้ประกอบเจ้าเป็นไผบ้างก็ได้นะ .. ขอบอก)

ไม่มีความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 14 มีนาคม 2009 เวลา 6:09 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1401

   สมัยที่ Tag กันไปกันมา ผมจำได้ว่าเคยปลดปล่อยความจริงที่เคยซ่อนๆไว้ออกมาแล้วเล็กน้อยดังนี้ …

    ความลับที่ไม่ค่อยลับสักเท่าไร 5 ข้อของผมมีดังนี้

1. ภาษาอังกฤษของผมเริ่มด้วย  DDT แล้วอีกนานนับปีจึงรู้จักตัว A

      ก็เรามันชอบอะไรที่เป็นเครื่องยนต์กลไกแทบทุกอย่าง   เห็นเจ้าหน้าที่อนามัยมาพ่นยาปราบยุง ก็เดินตามดู ครั้นเห็นเขาเขียนตัวอักษรประหลาดตามเสาบ้านว่า  DDT-2502 เลยถามดูก็รู้ว่าเป็นภาษาอังกฤษ และอ่านว่า ดี ดี ที จึงขอเอานิ้วจุ่มสีเขียนดูบ้าง เลยได้ทั้ง Reading และ  Writing ในวันนั้นเอง  ตอนนั้นก็ประมาณ ป.3 ป.4  กว่าจะรู้จัก  A B ก็เมื่อได้เข้าเรียนป.5 ที่โรงเรียนใหม่ พุทธนิคม ครับ

2. ตอนเป็นเด็กผมเห็นงานอาชีพที่ยิ่งใหญ่ และโตขึ้นจะต้องเป็นให้ได้คือ  คนขับรถไฟ ครับผม     เดินเท้าเปล่าตามแม่ไปตลาดไชยาเป็นครั้งแรก  ข้ามสะพานไม้ยาวมากที่ทอดข้ามพรุใกล้เชิงเขา  ผ่านลำห้วยที่มีน้ำตลอดปี 3 แห่ง  ผ่านเนินเขาสองลูก และ  ข้ามคลองอีก  4 ครั้ง  ระยะทางราว 9 กม. เพื่อไปดูรถไฟจริงๆเป็นครั้งแรกในชีวิต  เห็นแต่ในรูปมานานแล้ว 
     ที่สถานีไชยาผมยืนดูหัวรถจักรไอน้ำ  เห็นก้านสูบ  ข้อเหวี่ยง ขยับตัวเข้า-ออก ระคนกับเสียงไอน้ำที่เขาปล่อยระบายพ่นออกมาเป็นควันขาว  บวกเสียงกระชึ่กกระชั่กอันเร้าใจของเครื่องยนต์ไอน้ำ  ตื่นเต้นเป็นที่สุด  พลันคิดไปว่าคนขับและควบคุมหัวรถไฟได้ต้องไม่ธรรมดา  โตขึ้นมาคอยดู จะพยายามเป็น คนขับรถไฟ ให้ได้  ผมฝันและหวังเอาไว้มาก  แล้วฝันก็ไม่ได้เป็นจริง   แต่ก็ไม่รู้สึกผิดหวังหรอกนะครับ 

3. ตอนเป็นเด็กวัดเคยนอนหลับกลางวัน แล้วละเมอ+ฝัน วิ่งไปโรงฉัน  นึกว่านอนตื่นสายในตอนเช้า        อายนะครับแต่ก็ยินดีเล่า  ไม่น่าเชื่อว่าหลับตอนบ่าย แต่หลับลึกและตื่นมารู้สึกตกใจมาก  คิดว่าสายและสว่างขนาดนี้จะไปเดินปิ่นโตทันได้อย่างไร  ลุกขึ้นได้รีบวิ่งไปยังโรงฉัน  เห็นกาละมังใส่ข้าว และเถาปิ่นโตใส่กับข้าว วางเรียงรายก็เลยรู้ว่า ตูข้าฝันไป  วิ่งมาได้ยังไงตั้งไกลโดยไม่รู้ว่านี่มันบ่ายแล้ว

4. เคยเขียนชื่อตัวเองเป็นภาษาอังกฤษว่า “PINIJ”
 
     ใช้อยู่หลายปีก่อนเปลี่ยนเป็น “PINIT” ตอนนั้นภูมิใจมากที่ผสมคำได้ตรงภาษาไทยเป๊ะ จ.จาน มันก็ต้อง J สิ  แม้แต่วิทยุหรือเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ที่สร้างขึ้นก็ยังเขียนข้อความติดด้วยความภูมิใจว่า
 ”PINIJ  ELECTRONICS“เลย ..มาสังเกตเอาภายหลังว่า “แม่กด” ที่สะกดด้วยตัว J ไม่เคยเห็นมีในภาษาอังกฤษ  พร้อมกับรู้สึกเขินย้อนหลังเอามากๆทีเดียว

5. ตอน ปกศ.สูง ราวกับเป็นเทวดาอยู่สวรรค์ในเอกอังกฤษ  แต่วิชาโทคือ คณิต มันคือ นรก ชัดๆ      เรื่องมีอยู่ว่าผมเลือกเอกภาษาอังกฤษ เพราะชอบ  และตอน ปกศ.ต้น ก็ได้  A หมดทุกตัว เรียนสนุกและ  สบาย  เรียกว่าเพื่อนกลัว  อาจารย์เกรงใจก็แล้วกัน เกรดวิชาเอกเกือบ 4.00 คัดเลือกเรียนปริญญาตรีได้อันดับหนึ่ง โดยไม่ต้องสอบให้เมื่อย  ชอบวิทย์-คณิตมากด้วยจึงเลือกเป็นโททั้งสองวิชา  แต่ขอโทษครับ คณิตศาสตร์วิชาโท ได้  A 1 ตัว  B 1 ตัว  ที่เหลืออีก 5 วิชาผมได้ D หมดทุกตัวไม่มีเกรดใดมาแทรกอีกเลย  ซ้ำร้ายตัวสุดท้าย เทอมสุดท้าย ได้ D ลบ ครับท่าน 
     ผมไม่โกรธอาจารย์ท่านนั้นหรอก  แต่รู้ชัดแจ้งในหัวใจว่าท่านเป็นผู้ทำให้ผมเปลี่ยนจาก รัก มาเป็น เกลียดชัง คณิตศาสตร์  ท่านทำให้ผมรู้จักกับ D ตัวแรกในชีวิต  ยิ่งถาม ยิ่งตอบ ยิ่งงง เลยพาลไม่ทำการบ้านอีกเลย  วิชาสุดท้ายที่ได้  D- ตัวแรกและตัวเดียวในชีวิตก็อาจารย์ท่านเดียวกันนั่นแหละมาสอนผมอีก

 



Main: 0.43005299568176 sec
Sidebar: 0.35927104949951 sec