แค่สลับสายไฟเส้นเดียว .. หมูโดนเคี้ยวไปแล้วไม่รู้เท่าไหร่ ?

6 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 13 มีนาคม 2009 เวลา 7:19 (เย็น) ในหมวดหมู่ เครื่องเสียง #
อ่าน: 1423

   ขอนับหนึ่งด้วยเรื่องนี้ครับ .. เพราะที่ผ่านมาไม่ได้แสดงให้เห็นเลยว่า หญ้าปากคอก อยู่ตรงไหน .. ใช้พื้นที่ตอบโจทย์ เจ้าเป็นไผ เสียหลายตอน

   ขอนิยามให้ชัดๆไว้ตรงนี้ว่า หญ้าปากคอก ในที่นี้ ผมหมายรวมทุกเรื่องที่เราท่านทั่วไปควรรู้  แต่กลับไม่ค่อยรู้  ทั้งเรื่องทางโลกและทางธรรม .. ดังนั้นเรื่องใดที่ผม คาดเดา ว่าเข้าข่ายก็จะได้นำมาวางให้อ่านกัน และก็คงไม่พ้นการ เอามะพร้าวห้าวมาขายสวน บ่อยๆด้วยเป็นแน่ .. ทนๆเอาหน่อยก็แล้วกันครับ .. เชื่อว่าคงจะมีบ้างหรอกน่า ที่สวนของท่านเป็นสวนทุเรียน .. เอามะพร้าวมาขายจึงพอรับฟังได้ว่าสมเหตุสมผลอยู่นิ

     เรื่องแรกนี้จะว่าด้วยเรื่องใกล้ตัว คือความรู้เกี่ยวกับการต่อสายลำโพงเครื่องเสียงครับ .. เชิญสดับได้ ณ บัดนี้ …. อิ อิ อิ

  • อันว่าลำโพงนั้นมี 2 ขั้วให้ต่อ และเขามีขั้ว + และ - ด้วยนะ
  • ลองต่อถ่านไฟฉาย 1 ก้อน เข้าลำโพงดู อย่าต่อนาน  ต่อๆ ตัดๆ แล้วสังเกตดูอาการ จะเห็นกรวยกระดาษลำโพงขยับขึ้น ลง พร้อมมีเสียง แกรกๆ ให้ได้ยินด้วย ( ใช้ถ่านไฟฉายตรวจสอบลำโพง จึงทำได้ง่ายๆ  ไม่ต้องหาอะไรให้ยุ่งยาก )
  • สลับขั้วบวกลบของถ่านแล้วลองดูใหม่ คราวนี้จะเห็นการขยับตัวของกรวย  ตรงกันข้ามกับครั้งแรก  การผลักออก  และดึงเข้า จะเปลี่ยนไปตามขั้ว +/- ของไฟฟ้าที่ต่อเข้าขั้วของลำโพง
  • ทิศทางการไหลของกระแสไฟฟ้า เป็นตัวกำหนดขั้ว เหนือ - ใต้ ของแม่เหล็ก จึงทำให้  แม่เหล็กไฟฟ้า อันเกิดจากขดลวด Voice Coil ของลำโพง ดูด - ผลักกับแรงของ แม่เหล็กถาวร ที่อยู่ในตัวลำโพงและมีขั้ว เหนือ - ใต้คงที่
  • ถ้าต่อลำโพงตัว 1 ตัวกับเครื่องเสียง  ต่อขั้ว + /- อย่างไรก็ได้  ไม่มีปัญหาเรื่องคุณภาพเสียง  เพราะยังไงๆ ก็มีการสั่น หรือการเคลื่อนตัวเข้าออกของกรวยกระดาษ ( Diaphram ) เพียงชุดเดียว  ตัวเดียวเท่านั้น  ไม่มีใครมาคอยแข่งขัน หักล้าง หรือเปรียบเทียบ
  • ต่อลำโพง 2 ตัวขึ้นไป ไม่ว่ากับระบบเสียง Mono หรือ Stereo พึงระวังให้มาก 
  • ถ้าลำโพง 1 คู่ อยู่ใกล้กัน ปกติต้องต่อให้ขั้ว + /- ถูกต้องเหมือนกัน  กรวยลำโพงจะได้สปริงตัว เข้า-ออก พร้อมกัน ไปในทิศทางเดียวกัน  เสียง หรือคลื่นอากาศที่ได้ออกมาบริเวณหน้าลำโพงนั้นจึงหนักแน่น  ชัดเจน เป็นกลุ่มเป็นก้อน  ไม่หักล้างกันเอง
  • ถ้าลำโพงแต่ละตัวที่ต่อไว้ไปอยู่คนละที่ คนละห้อง โดยคลื่นอากาศไม่กระทบ รบกวนกัน  จะต่อขั้ว +/- เหมือน หรือต่างกันอย่างไรก็ได้  ไม่ต้องแคร์
  • ฝึกดีๆ ฟังมากๆ แค่เดินผ่านหน้าลำโพงคู่หนึ่งที่เขาเปิดให้เสียงดังอยู่  ก็จะบอกได้ทันทีว่า เขาต่อสายถูกหรือผิด โดยไม่ต้องไปดูให้เห็นด้วยตา
  • อันนี้ผมกล้าท้าพิสูจน์ว่าผมทำได้ .. และมีอีกหลายๆคนก็คงทำได้เช่นกัน
  • วิธีแก้ ทำได้ง่ายๆ  ไม่ต้องไปดูว่าตัวใหนต่อ +/- ผิดถูกอย่างไร  แค่สลับขั้วสายเสียใหม่ให้กับลำโพงตัวเดียว ก็แก้ใขได้แล้ว
  • ความลับคือ  การต่อ +/- ถูกต้องทั้งคู่ หรือ  การต่อ +/- ผิดเหมือนกันทั้งคู่ ให้ผลเท่ากัน
  •  แถวตลาดเครื่องเสียงดังข้างถนนหลายแห่งใน กทม. หมูโดนเคี้ยวมาแล้วมากต่อมาก  จ่ายเงินเพิ่มเป็นพัน หรือหลายพัน  เพื่อซื้อชุดเครื่องเสียงที่คนขายบอกว่า  ผลิตจากอเมริกา  ซึ่งให้เสียงดี หนักแน่นกว่า เครื่องอีกชุดที่ ทำจากญี่ปุ่น อย่างเห็นได้ชัด ก็เขาเปรียบเทียบให้เห็น ให้ฟังกันสดๆนี่ครับ 
  • แท้จริงผมบอกได้โดยไม่ต้องไปดู  แค่ฟังก็รู้ว่าเขาแอบต่อลำโพงแบบสลับสาย +/- ไว้เครื่องหนึ่ง … ทั้งๆที่เครื่องทั้งคู่ ต่างก็ Made in China ด้วยกันนั่นเอง
  • ขออภัยหากมาบอกช้าไป และบางท่าน โดน ไปเรียบร้อยแล้ว
  • อย่าคิดมากเลยครับเพราะในสังคมนี้  คนไม่รู้เป็นเหยื่อของคนรู้(มาก) เป็นปกติอยู่แล้ว  ทั้งระดับที่หลอกกันข้างถนน และระดับหลอกลวงคนทั้งชาติครับ

  • Handyman … เจ้าเป็นไผ (๕)

    ไม่มีความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 12 มีนาคม 2009 เวลา 11:13 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
    อ่าน: 1396

    อยากนำเสนอข้อมูลแบบออกแรงน้อย ด้วยข้อจำกัดเรื่องเวลา เพื่อเป็นร่องรอยให้ไปคว้ามาตัดต่อ “เจ้าเป็นไผ” ให้ได้ครบถ้วน มีประโยชน์สมบูรณ์ยิ่งขึ้น สนใจก็ คลิก ตาม Link ไปดูได้ครับ

    - ผมเคยบันทึกงานพิเศษที่คนเขาชวน-เชิญให้ไปทำ แต่เลิกบันทึกไปตั้งแต่ต้นปี 48 ร่องรอยเก่าๆเหล่านั้นพอจะตามดูได้ ที่นี่ ครับ

    - ในงานมหกรรมการศึกษา 2000 ที่เมืองทองธานี เมื่อ 23 – 25 มีนาคม 2543 ผมไปชวนครูอาจารย์คุยเรื่องที่ผมคิดและทำ มีคนลงชื่อจริง และให้ข้อคิดเห็นไว้ ดังนี้

    - ผมเหมือนเป็ด เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง ไม่ค่อยลึกแต่เน้นการนำไปใช้ทำประโยชน์ได้เป็นสำคัญ หนึ่งในหลายๆอย่างนั้นคือชอบเขียนกลอน เคยนำส่วนหนึ่งของบทกลอนที่แต่งไว้ไปวางให้อ่านกัน ตามไปดูได้ ที่นี่ ที่เขียนเล่นขำๆก็มีบ้าง เช่นที่ไปวางไว้ ที่นี่

    กลอนชุดหนึ่งที่ผมชอบ เรียกว่า แต่งเอง อ่านเอง ชอบเอง .. แต่ก็เห็นหลายคน จดจำไปบอกต่อก็มีอยู่ครับ นั่นคือ …

    บทกลอนนี้ ครับ

    - สิ่งที่เคยลองคิดลองทำส่วนหนึ่งมีรูปถ่ายอยู่ ที่นี่ ครับ มี 3 หน้า อย่าลืมคลิก Next Page ตอนล่างของหน้า 1-2 นะครับ

    ……. แล้วจะมาบอกเพิ่มอีกเมื่อมีจังหวะเหมาะๆครับ


    Handyman … เจ้าเป็นไผ (๔)

    1 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 7 มีนาคม 2009 เวลา 4:37 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
    อ่าน: 1348

       ครูผู้ลิขิตชีวิต (ต่อ)

           ความศรัทธาต่อความเป็นช่างภาพของท่านก็มีผลมากเช่นกัน  เมื่อตอนผมเรียนต่อที่วิทยาลัยครู และ มศว.สงขลา  ผมหัดถ่ายรูป ผสมน้ำยา ล้างฟิล์ม อัดรูป ล้างรูปด้วยการศึกษาด้วยตนเอง จากหนังสือของ อาจารย์สนั่น ปัทมะทิน  จนเป็นได้ประธานชมรม และสอนความรู้ดังกล่าวแก่น้องๆ ชักชวนกันถ่ายรูป ล้าง อัด และมาตัดทำบัตร สคส. หาเงิน จัดทำ จัดซื้อโสตทัศนูปกรณ์ ให้มหาวิทยาลัย จนอาจารย์ยอมรับและให้เกียรติเราเป็นอย่างยิ่ง  จำได้ไม่ลืมว่าเคยภูมิใจตัวเองมาก เมื่อครั้ง รศ.ดร.บันลือ  ถิ่นพังงา มาเปรยกับผมว่า ท่านจะสอนได้อย่างไร ในห้องใหญ่ กลุ่มใหญ่ ขนาดนั้น  นักศึกษาอย่างผมรับอาสาช่วยจัดการให้ครับ โดยนั่งรถเมล์ไปหาดใหญ่ หาซื้ออุปกรณ์มาประกอบเป็นเครื่องขยายเสียงทรานซิสเตอร์ขนาด 10 วัตต์ กล่องก็ต่อเองโดยใช้ไม้กระดานฉลุที่ใช้ทำงานฝีมือ และเขียนยี่ห้อเสียโก้ ด้วยปากกาลูกลื่น Bic ว่า Pinit Electronics ลำโพงก็รื้อหาลำโพงแบบ Sound Column เก่าๆ 2 ตู้มาติดตั้งในห้องเรียนขนาดใหญ่นั้น  ส่วนไมโครโฟนก็ใช้ Dynamic Mic. ตัวเล็กๆที่มากับเครื่องบันทึกเสียงแบบ Open Reel ยี่ห้อ AKAI  ทุกอย่างใช้งานได้ดีเรียบร้อย  หลายปีผ่านไป จนผมจบมาสอนที่วิทยาลัยครูจันทรเกษมแล้ว มีโอกาสเจอท่าน ดร.บันลือ อีกครั้ง ท่านยังบอกว่า Pinit Electronics ของคุณยังอยู่นะ .. ปลื้มครับ และก็คิดเสมอว่า ถ้าไม่มีครูสุวรรณ  ผมจะมีโอกาสได้ปลื้มเช่นนั้นได้อย่างไร
         ผมรู้ตัวว่าชอบวิทยาศาสตร์มาก  โดยเฉพาะอิเล็กทรอนิกส์ ปฏิบัติแล้วก็อยากเรียนรู้เหตุผลภาคทฤษฎีให้กว้างและลุ่มลึกยิ่งขึ้น  แต่แล้วผมก็ต้องเลือก เอกภาษาอังกฤษ และโท วิทย์-คณิตฯ เมื่อเรียนในระดับ ปกศ.(สูง)  เหตุคงเพราะตอน ปกศ. ผมได้ A ภาษาอังกฤษทุกวิชา และผมก็ชอบมันมากด้วย เลยเอาเป็นวิชาเอกเสียเลย  และก็เรียนไปแบบสบายๆ ไม่ต้องขยัน เพราะใจมันรัก  คุยได้เต็มปากว่าผลการเรียนวิชาเอกของผมดีเกินคาด คือได้ A เกือบทุกวิชา ถ้าจำไม่ผิด จะมี B+ 2 ตัว และมีเหตุมาจากไปสอบไม่ทัน  และแม้ว่าจะมีรุ่นพี่ ถึง 5 คน ที่ไปอยู่ อเมริกา มาแล้ว 1 ปีด้วยทุน AFS มาเรียนร่วมรุ่น  ผมก็มีคะแนนวิชาเอกนำทุกคน จนได้รับคัดเลือกเป็นอันดับหนึ่งเพื่อเรียนต่อระดับปริญญาตรีโดยไม่ต้องสอบเข้า และยังเป็นที่ยอมรับอย่างสูงในหมู่อาจารย์ และเป็นที่เกรงขามของรุ่นน้อง  ขนาดว่า พอเห็นผมลงทะเบียนเรียนก็ชวนกันถอนวิชานั้นก็มี   ผมยังสร้างปาฏิหาริย์โดยไม่ตั้งใจ เมื่อครั้ง เป็นปี 3 คนเดียวที่ไปลงทะเบียน เรียน Literature กับพี่ปี 4 แล้วดันไปได้ A แถมได้คะแนนสูงสุดของห้องเสียด้วย   ผมตอบได้ไม่ค่อยชัดนักเมื่อมีเพื่อนถามว่า เก่งและชอบอิเล็กทรอนิกส์ แล้วทำไมมาเรียนเอกอังกฤษ จนต้องมาสอนภาษาอังกฤษ .. กระทั่งได้มาทบทวนย้อนหลังว่า แรงขับอะไรหนอทำให้มันเป็นเช่นนั้น  แล้วก็ถึงบางอ้อ เมื่อ ภาพเหตุการณ์ครั้งสำคัญของผมในห้องเรียนภาษาอังกฤษกับครูสุวรรณ ปรากฏขึ้นในความคิดคำนึง
        มันเป็น ความเจ็บปวด  หวาดกลัว  อับอาย และ ได้พลิกกลับเป็นความ สะใจ ยิ่งใหญ่ และ ภาคภูมิใจในตัวเอง อย่างรวดเร็วเหลือประมาณ  เพราะครูสุวรรณอีกนั่นแหละเป็นผู้ช่วยให้เกิดขึ้น และผมเชื่อมั่นอย่างสนิทใจว่ามันคือ แรงขับให้ผมเรียนภาษาอังกฤษด้วยความสนุก และมีผลการเรียนที่ดีเกินคาดคิด  เหตุการณ์มีดังนี้ครับ
        ห้องเรียนของเราเป็นนักเรียนชายล้วน  ผู้หญิงเขาแยกไปเรียนต่างหากที่ สตรีพุทธนิคม   ความเปิ่นๆ เชยๆ ของเด็กบ้านนอกอย่างผมมักจะเป็นเหยื่ออันโอชะให้เพื่อนๆ แหย่ ล้อเล่น หรือหัวเราะเยาะอยู่บ่อยๆ  แต่ก็ไม่มีครั้งใดรุนแรงและมีผลกระทบมากเช่นวันนั้น  วันที่ครูสุวรรณเรียกให้ผมตอบคำถามในวิชาภาษาอังกฤษ ในขณะที่ผมสาละวนอยู่กับการก้มไปพยายามหยิบดินสอ หรือปากกาที่หล่นลงพื้นด้านหลังโต๊ะเรียน  ได้ยินเสียงครูเรียก  ผมก็ยืนตัวตรงพร้อมกับทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่ได้ยินเลยว่าครูถามอะไร  จะถามกลับหรือก็ไม่กล้า ก็ใครๆล้วนกลัวครูกันทั้งนั้น  ยิ่งบ้านนอกอย่างผมก็ยิ่งไปกันใหญ่  เสียงหัวเราะเยาะ และเสียงโห่ ฮาป่าใส่ผมดังขึ้นเรื่อยๆ พร้อมๆกับที่ทุกสายตาจ้องดูผมเหมือนตัวประหลาด  ผมยืนตัวสั่น ด้วยความแค้นเคืองอย่างยิ่ง ในใจนั้นยังคิดกลัวต่อไปอีกว่า ครูจะด่าผมว่าอย่างไรอีก ที่ตอบไม่ได้  มันทรมานอย่างยากที่จะบรรยาย  แทรกแผ่นดินหนีได้ผมคงหนีไปจากที่นั้นอย่างแน่นอน แต่แล้ว ครูสุวรรณกลับบอกให้พวกนั้นหยุดโห่ พร้อมพูดด้วยเสียงเรียบง่ายว่า ไม่ต้องโห่เขาหรอกนะ ภาษาอังกฤษพวกเธอสู้เขาไม่ได้สักคน  ผมเหมือนถูกเหวี่ยงจากโลกนรก ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ ชนิดไม่ทันได้รู้เลยว่าบนโลกมนุษย์นั้นเป็นเช่นไร  จากวันนั้นผมก็มีความเชื่อตามที่ครูบอกว่า ผมเก่งกว่าพวกเวรนั่นทั้งหมด  และยิ่งรักภาษาอังกฤษมากขึ้น เรียนวิชานี้ได้ผลดีมาโดยตลอด ญาติๆเขายังแซวกันอยู่บ่อยๆที่ผมชอบนอนละเมอเป็นภาษาอังกฤษ  
        ผมเขียนถึงผลสำเร็จในการเรียนภาษาอังกฤษของผม ชนิดที่อาจดูน่าเกลียด  เสมือนยกย่องตัวเอง  แต่ผม มีสติ ระลึกรู้ตลอดเวลาที่เขียน  ผมแค่ต้องการจะบอกความจริงว่า แท้จริงแล้ว ครูสุวรรณ คือคนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จเหล่านั้น  ผมเล่าเรื่องนี้ให้ใครต่อใครฟังมามาก แต่ไม่เคยเขียนเผยแพร่  ตั้งใจว่าวันหนึ่งจะหาทางไปเยี่ยมท่านให้ได้เพื่อบอกเล่าความจริงที่เกิดขึ้นกับตัวผมทั้งหมดให้ครูได้รับรู้  เพื่อส่งเสริมกำลังใจให้ท่านในวัยเกิน 80 ของท่าน   แล้วผมก็ไปพบท่านได้จริงๆเมื่อวันที่ 1 พค. 2545 ที่บ้านของท่านเอง เป็นการพบกันครั้งแรกตั้งแต่ผมเรียนจบจากโรงเรียนพุทธนิคม  ซึ่งผ่านไปเกือบ 40 ปีแล้วล่ะครับ
          วันนั้นผมไปกับเพื่อนสุดซี้ (อาจารย์ชัยรัตน์ กันตะวงษ์)   ครั้งแรกก็ตรงไปที่ร้านถ่ายรูป วงศ์สุวรรณ ก่อน แต่ปรากฏว่าเลิกกิจการไปแล้ว แต่ยังเห็นป้ายร้านเดิม เก็บแขวนไว้อย่างดีในบ้าน ทราบว่าครูไปซื้อกิจการของโรงแรมเล็กๆชื่อ อุดมลาภ และพักอาศัยอยู่ที่นั่น  ผมขออนุญาตเข้าไปบันทึกภาพเก่าๆ รวมทั้งรูปถ่ายของครูและครอบครัว  ก่อนที่จะตามไปที่บ้านใหม่เพื่อขอพบท่าน  ที่นั่นทำให้ผมได้พบกับสิ่งเหลือเชื่ออีกแล้วครับ  ครูเดินออกมาพร้อมทักผมว่า พินิจ เหรอ ? อะไรจะขนาดนั้น มันจะ 40 ปีอยู่แล้ว ครูยังจำชื่อผมได้อีก  เท่านั้นยังไม่พอ  ยังพูดต่อว่า เดี๋ยวลองดูซิว่ายังมีรูปอยู่หรือเปล่า  ว่าแล้วก็เดินเข้าไปในห้องของท่านและ ออกมาพร้อมสมุดปกหนา เก่าๆ 5-6 เล่ม  ผมเปิดดูเล่มแรกเห็นมีแต่ ลายมือชื่อนักเรียน  ที่เขียนชื่อตัวเองไว้ให้ครู  ยังไม่มีรูปถ่ายแต่อย่างใด  ผมเดาว่าน่าจะเป็นยุคที่ครูยังไม่มีกล้องถ่ายรูปก็ได้   สะดุดใจมากก็เมื่อมาเจอชื่อ ดช.ทองมาก  มากมี น้าชายที่ ดูแลผมมาเหมือนพ่อคนที่สอง อยู่ในนั้นด้วย  จึงได้รู้ว่าน้าซึ่งเป็นข้าราชการครูเกษียณอายุไปหลายปีแล้ว ก็เป็นศิษย์ครูสุวรรณ ด้วยเหมือนกัน และท่านยังอุตส่าห์เก็บสมุดเล่มนั้นไว้เป็นอย่างดี  ดูไปจนในที่สุดก็ได้พบสมุดรวมรูปตัวผมและเพื่อนร่วมชั้น ป.5 ศิษย์ครูสุวรรณเมื่อปี พศ. 2505  ตื่นเต้นมากที่เห็นรูปของเราทากาวแปะอยู่ในสมุดนั้น  พร้อมลายมือชื่อที่เราเขียนเอง  แต่ลืมไปสนิทแล้วว่าเราไปเขียนเมื่อไร  ลูกชายของครูก็ใจดีมากขี่มอเตอร์ไซค์ไปถ่ายเอกสารให้ฟรี เมื่อผมบอกว่าจะขอไปถ่ายเอกสารไปเก็บไว้ดูและไปอวดเพื่อนๆร่วมรุ่น
         จากการพูดคุยกับครูและเล่าเรื่องสิ่งที่เกิดกับตัวผมให้ท่านฟัง  ผมยังได้เรียนรู้ความจริงอีกหลายอย่างเกี่ยวกับชีวิตของครู  เช่นเรื่องที่ท่านชอบจินตนาการเมื่อเห็นเมฆจากเครื่องบิน และชอบถ่ายรูปเมฆมาก   ผมเองก็มี Collection รูปเมฆที่ผมถ่ายจากเครื่องบินไว้ไม่น้อยเหมือนกัน  ท่านยังเล่าให้ฟังอีกว่า ร้านวงศ์สุวรรณ นั้น วงศ์ คือชื่อ ครูวงศ์ ศรียาภัย ซึ่งเป็นครูของท่าน ตอนแรกจะเข้าหุ้นตั้งร้านถ่ายรูปด้วยกัน  แต่ตอนหลังได้ถอนตัวออกไป โดยที่ครูยังคงชื่อ วงศ์ เอาไว้คู่กับ สุวรรณ  ไม่ยอมเปลี่ยนหรือตัดออก  เพราะเป็นชื่อของครู  ผมฟังแล้ว ซึ้งในความละเอียดอ่อนในใจ ของท่านยิ่งนัก ..
         ความประทับใจหลังสุดยังมีอีกครั้งครับ  เมื่อคราวรุ่นพวกผมเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงรวมรุ่นศิษย์เก่าพุทธนิคมเมื่อ 3-4 ปีก่อน  ผมได้พบและถ่ายภาพกับครูสุวรรณอีกครั้งในงานนั้น และภาพประทับใจสุดท้ายในงานก็คือ  แม้ครูเก่าแก่ที่อยู่ในวัยร่วงโรยต่างทะยอยกลับกันหมดแล้ว ใกล้เที่ยงคืน ครูสุวรรณ ก็ยังคงนั่งอยู่คนเดียวหน้าเวทีกลางแจ้ง ดูกิจกรรมการแสดงต่างๆที่รุ่นลูกรุ่นหลานของพวกเรานำเสนอบนเวที ด้วยใบหน้าที่เจือด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุขตลอดเวลา
           ไม่มีครูสุวรรณ สุวรรณรักษ์  ผมเชื่อสนิทใจว่าผมคงไม่มีวันนี้  ครูครับ .. ใครไม่รู้อาจมองว่าครูไม่ได้ทำอะไร กับผมมากนัก .. แต่เบื้องลึกในหัวใจของผม  ผมสารภาพอยู่ตลอดเวลาว่า ครูคือแบบอย่าง ที่ผมชื่นชม และอยากเป็นเช่นครู และที่สำคัญยิ่ง ครูคือผู้ลิขิตชีวิตผมครับ .


    Handyman … เจ้าเป็นไผ (๓)

    ไม่มีความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 7 มีนาคม 2009 เวลา 4:27 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
    อ่าน: 1341

        ครูผู้ลิขิตชีวิต

          เมื่อผมจบ ป.4 จากโรงเรียนวัดใกล้บ้าน  และทางบ้านกำลังตัดสินใจว่าจะให้เรียนต่อหรืออยู่บ้านช่วยพ่อแม่ และพี่ๆทำนาทำไร่ดี  ครูใหญ่ และครูที่โรงเรียนต่างบอกพ่อ แม่ ว่าควรให้ผมเรียนต่อ เพราะผมเรียนดี สอบได้ที่ 1 ได้คะแนน 89 % พ่อและแม่ก็เลยเห็นด้วยตามนั้น  จึงเป็นโอกาสให้ผมได้เรียนต่อ เป็น นักเรียน ป.5 รุ่นแรก ที่โรงเรียนพุทธนิคม อ.ไชยา จ. สุราษฎร์ธานี โดยพ่อได้ตัดสินใจให้ไปอยู่ วัดชยาราม กับท่านอาจารย์ พระครูสุธนธรรมสาร ผู้ที่ท่าน อาจารย์พุทธทาส บอกว่าคือ เพื่อนตาย ของท่าน  ความจริงผมมีบ้านพี่ชาย น้าชาย และญาติอีกหลายคนที่จะให้ไปอยู่ด้วยได้ แต่พ่อคงเห็นว่า วัดชยาราม น่าจะเหมาะกับลูกคนสุดท้องอย่างผม มากกว่าก็เป็นได้  ผมจึงได้ไปเป็น เด็กวัด และยอมรับว่าที่นั่นท่านอาจารย์พระครูสุธนธรรมสาร  ได้กลายเป็นครูที่มีอิทธิพลต่อชีวิตผมเป็นอย่างมาก ( รายละเอียดได้กล่าวถึงไว้บ้างแล้วใน บันทึกนี้ )  แต่ก็ไม่มาก และหลากหลายเท่ากับสิ่งที่ครูในดวงใจที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้มีต่อผม 
        ก่อนเข้าโรงเรียนใหม่ ผมจำเป็นต้องเข้าร้านถ่ายรูปเป็นครั้งแรก เพื่อถ่ายรูปติดเอกสาร  ในตลาดไชยาตอนนั้นร้านถ่ายรูปมีอยู่ 2 ร้าน คือร้าน ศิลป์ฟ้า และร้าน วงศ์สุวรรณ  ผมตัดสินใจใช้บริการของร้านที่สองครับ   และด้วยเหตุที่ผมเป็นเด็กบ้านนอกที่บ้าเรื่องช่าง เรื่องเทคโนโลยีมาก เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว  พอได้เห็นกล้องใหญ่ในร้าน เห็นช่างภาพ ถอด-ใส่แผ่นฟิล์มเข้ากล้อง กดปุ่มให้ไฟแฟลชทำงาน ก็ให้รู้สึกตื่นเต้น อยากเป็นช่างภาพ และถ่ายรูปเก่งแบบนั้นบ้าง  ยิ่งตอนเดินลงบันไดจากชั้นสองลงมาและได้เห็นช่างคนเดิมนั่งใช้พู่กันบรรจงแต่งฟิล์ม อย่างใจเย็นอยู่ที่โต๊ะข้างบันได ก็ยิ่งนึกศรัทธาเพิ่มมากขึ้น อยากเป็นเช่นที่ช่างภาพคนนั้นเป็นเหลือเกิน  เป็นไปได้ใคร่อยากเป็นลูกศิษย์ให้ช่วยสอน
         และแล้วผมก็ได้เข้าเรียนเป็นนักเรียน ป.5/1 ในโรงเรียนใหม่สมความตั้งใจ  แต่ที่เหลือเชื่อก็คือผมได้ครูประจำชั้นชื่อ นายสุวรรณ  สุวรรณรักษ์  ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน  ช่างภาพเจ้าของร้าน วงศ์สุวรรณ ที่ได้กล่าวถึงมาแล้วนั่นเอง 
        ผมนั้นนอกจากเรื่องเทคโนโลยี เครื่องยนต์กลไกแล้ว ผมรู้สึกชอบภาษาอังกฤษไม่น้อย แต่ก็ไม่เคยเรียนมาก่อน  อักษร 3 ตัวแรกที่ผมรู้จักก่อนเข้าเรียนป.5 คือ D D T ส่วน A B C เพิ่งมารู้จักทีหลัง จากครูสุวรรณ ครูประจำชั้นของผมนั่นเอง  เพราะท่านสอนวิชาภาษาอังกฤษและทำหน้าที่ครูประจำชั้นของพวกเราด้วย  ผมรู้สึกสนุกมาก และเล่นกับภาษาอังกฤษด้วยความชื่นชอบ จากหนังสือแบบเรียนอังกฤษเล่มแรกในชีวิต ชื่อ The Oxford English Course for Thailand ที่มีรูปพระปรางค์วัดอรุณฯ อยู่บนปกหน้า  โดยมีครูสุวรรณที่ผมศรัทธา เป็นผู้สอน  จำได้ดีว่าครู เป็นคน พูดน้อย  ยิ้มง่าย  ใจเย็น  และที่แน่ๆ เป็นช่างภาพมืออาชีพ  ที่สนใจเรื่องเทคโนโลยี และยังสอนวิชาภาษาอังกฤษที่ผมรัก อีกด้วย
         อยู่มาวันหนึ่งครูสุวรรณได้ทำให้ผมตื่นเต้นมากอีกแล้วครับ  ขณะที่พักกลางวันและเพื่อนๆกำลังออกไปทานข้าว  ผมเห็นครูทำอะไรบางอย่างกับสิ่งแปลกใหม่ของครู  มันคือวิทยุขนาดจิ๋ว กล่องสีแสดๆ ที่ เล็กขนาดว่าพกใส่กระเป๋าเสื้อได้เลยทีเดียว  ที่ผมเคยเห็นมาแต่เดิมนั้นวิทยุล้วนเครื่องใหญ่ต้องวางบนหิ้งบนชั้น เป็นเครื่องที่ใช้หลอดสุญญากาศ และใช้ถ่านไฟฉายก้อนใหญ่ถึง 72 ก้อน ลังถ่านที่อยู่ภายนอกเครื่อง โตกว่าตัวเครื่องรับวิทยุเสียอีก (ดู บันทึกนี้ เพิ่มเติมได้ครับ)  ที่ทันสมัยที่สุดก็เครื่อง Philips ใช้ Transistor เครื่องแรกของครูใหญ่โรงเรียนเก่า ที่ใช้ถ่านเพียง 6 ก้อนเท่านั้น ก็ใช้งานได้แล้ว  และที่ทำให้ผมงงมากจนต้องยืนดูอยู่ห่างๆ (เพราะกลัวครูเหมือนเด็กทั่วไปในตอนนั้น) คือ ครูสุวรรณ ใส่หูฟัง ( Earphone ) ตัวเล็กนิดเดียวเข้าไปในหูข้างหนึ่ง โดยเราเองไม่ได้ยินเสียงอะไรด้วยเลย  ผมทึ่งและคิดคาดเดาว่าเสียงมันจะเป็นอย่างไรหนอ น่าจะบี้ๆแบนๆ พอฟังรู้เรื่องกระมัง  และก็ยืนดูอยู่ไม่ยอมไปไหน  ครูสุวรรณยิ้มและกวักมือเรียกให้เข้าไปพร้อมกับถอดหูฟังดังกล่าวมาแหย่ในหูผม .. โอ้โฮ มันชัดเหมือนลำโพงใหญ่ๆเลยนี่นา มันทำได้อย่างไร ผมตื่นเต้นและ อยากแกะดูข้างในยิ่งนัก  ผลจากประสบการณ์ที่ ครูใส่ใจให้ความกรุณา แก่ตัวผมคราวนั้น ทำให้เกิดแรงบันดาลใจอยากทำวิทยุเป็น  ถึงขนาดเดินเท้าจากวัดชยารามไปสวนโมกข์ระยะทาง 4-5 กม. ได้บ่อยๆ เพื่อซักถามและเรียนรู้เรื่องวิทยุกับ ท่านจรูญ  พระสวนโมกข์ที่ สนใจและเก่งกาจเรื่องอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีอย่างหาตัวจับได้ยาก  และมีผลให้ผมสามารถสั่งชิ้นส่วนจากบริษัทไทยวิทยุที่กรุงเทพฯมาประกอบเครื่องรับวิทยุขายได้ในขณะที่ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น  หูฟังที่ทำจากตลับยาหม่องตราถ้วยทอง ที่ผมดัดแปลงสร้างขึ้นก็มีเสียงดัง ฟังได้ แม้จะไม่ชัดเจนดีนัก  ครูสุวรรณไม่ได้สอนผมเรื่องดังกล่าว แต่ถ้าไม่มีครูสุวรรณ ผมไม่เชื่อว่าผมจะมีโอกาสทำสิ่งเหล่านั้นได้ในขณะนั้น  ท่าน ไม่ได้สอน แต่ท่านรัก เมตตาและใส่ใจผม สิ่งที่ท่านให้คือแรงขับสำคัญอย่างยิ่ง


    Handyman … เจ้าเป็นไผ (๒)

    ไม่มีความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 7 มีนาคม 2009 เวลา 4:23 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
    อ่าน: 1105

       ต่อครับ .. ตอนนี้คือ .. ชีวิตเด็กวัด

       บ้านผมอยู่ห่างตัวอำเภอไชยาไปทางตะวันตกประมาณ ๙ กิโลเมตร  จบป.๔ ที่โรงเรียนใกล้บ้านแล้วก็ต้องมาเรียนต่อในตัวอำเภอ เป็น ป. ๕ รุ่นแรก  ถนนยังไม่มี  จะเดินไป-กลับวันละ ๑๘ กิโลเมตรก็คงไม่ไหว  จึงต้องมาอาศัยอยู่ในตัวอำเภอเพื่อเรียนต่อ  ความจริงเราก็มีบ้านพี่ชายคนโตซึ่งแต่งงานมีครอบครัวอยู่ไม่ไกลอำเภอ  และบ้านน้าชายที่ใกล้ชิดเหมือนพ่อคนที่สองอยู่ใกล้ตลาดไชยา  แต่คุณพ่อกลับให้ผมไปอยู่วัด  เป็นเด็กวัด  ที่พิเศษยิ่งขึ้นไปอีกคือเลือกเอาวัดชยารามที่มีท่านพระครูสุธนธรรมสารเป็นเจ้าอาวาส (ท่านอาจารย์พุทธทาสเคยกล่าวว่าคือเพื่อนตายของท่าน) วัดอื่นมีทำไมไม่ให้เราไปอยู่ ผมคิดเช่นนี้ทุกครั้งที่เห็นเพื่อนๆที่อยู่วัดเหล่านั้น อยู่กันค่อนข้างสบาย เที่ยวเตร่ได้ค่อนข้างมาก ไม่ต้องลำบากเหมือนที่วัดของเรา  พ่อเป็นคนพูดน้อย ไม่ได้บอกเหตุผลอะไร  แต่คาดเดาได้ในตอนหลังว่าคงจะให้ผมได้เข้ามารับการฝึกความแข็งแกร่งและความเป็นคนที่สมบูรณ์ในสำนักนี้เป็นแน่  ความที่ผมเป็นลูกคนสุดท้องด้วยกระมังที่ทำให้พ่อตัดสินใจเช่นนั้น  เพราะอยู่บ้านทำอะไรก็เหยาะๆแหยะๆ  ไม่ค่อยต้องรับผิดชอบกับอะไรจริงจังมากนัก เดี๋ยวก็แม่บ้าง  พี่สาวบ้าง  พี่ชายบ้างช่วยกันโอ๋ 

        ที่วัดชยารามผมเริ่มแปลกใจว่าทำไมเด็กวัดทั้งที่เป็นรุ่นพี่และรุ่นเดียวกันจึงมีแต่ลูกครู และข้าราชการเป็นส่วนมาก  ลูกผู้พิพากษาก็มี  นึกอีกทีพ่อเราแม้จะเป็นชาวนาก็นับว่ามีวิสัยทัศน์ที่ไม่ธรรมดาเหมือนกัน คิดอะไรแบบเดียวกับพ่อแม่ของเพื่อนๆเหล่านั้น

        ชีวิตและความเป็นอยู่ที่วัดชยาราม ทรหด  หรืออาจเรียกตามความรู้สึกในตอนนั้นว่า “โหดมาก” ก็ได้  ทุกหัวค่ำต้องสวดมนต์ทำวัตร เป็นบทสวดแบบแปลตามแบบฉบับของสวนโมกข์  แม้ว่าจะสวดตอนหัวค่ำแต่ก็สลับวันกันไประหว่างบทสวดทำวัตรเช้าและทำวัตรเย็น แรกๆก็ใช้หนังสือ  แต่ตอนหลังก็จำกันได้เกือบทุกคน  สวดมนต์เสร็จต้องมารวมตัวกันอ่านหนังสือ  ทำการบ้านที่โรงฉันโดยมีท่านอาจารย์พระครูสุธนคอยสอดส่องดูแลอย่างใกล้ชิด  ผมเคยโดนไม้เรียวฟาดก้น เหตุเพราะท่านเดินเข้ามาหาแล้วถามว่าอ่านอะไร  ผมตอบว่าเป็นหนังสือ เสรีภาพ (นิตยสารของสำนักงานข่าวสารอเมริกันในสมัยนั้น) ท่านพร่ำสอนว่าควรทำอะไร อย่างไร ก่อนลงไม้เรียวที่ก้นผม พร้อมด้วยคำว่า เสรีภาพ ๓ ครั้งตามเสียงไม้เรียว  เจ็บและจำครับ  ไม่ได้โกรธเพราะท่านไม่ได้ใช้อารมณ์   ตอนเช้าทุกคนต้องตื่น ตี ๕ มาอ่านหนังสืออีกรอบ  ท่านจะเดินตรวจไปทุกกุฏิที่พวกเราอยู่ หากยังไม่ตื่นก็จะใช้ด้ามไม้กวาดกระทุ้งที่พื้นห้องเพื่อปลุก  บางคนขี้เซามากโดนฟาดด้วยไม้เรียวทั้งๆที่อยู่ในมุ้งก็มี

       ท่านอาจารย์พระครูสุธนฯ ขยันมากๆ  มีฝีมือในการก่อสร้าง  และเป็นนักอ่าน  นักฟัง และติดตามข่าวสารบ้านเมืองอยู่เสมอ  คอยอบรมสั่งสอนพวกเราทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ เช่นหลังสวดมนต์ในวันพระ  ที่ว่าไม่เป็นทางการเช่นตอนเราไปขอลาท่านกลับไปเยี่ยมบ้าน จำได้ว่าครั้งหนึ่งไปลากลับบ้านในขณะที่ท่านอยู่บนหลังคาส้วม กำลังง่วนอยู่กับการซ่อมเปลี่ยนกระเบื้องมุงหลังคา  พนมมือจนเมื่อยแล้วเมื่อยอีก กว่าท่านจะบอกว่าไปเถอะ เพราะก่อนถึงประโยคนั้นท่านจะสอนเรื่องความไม่เห็นแก่ตัว  การสำนึกในบุญคุณพ่อแม่  ให้รู้จักทำงานแบ่งเบาภาระท่าน และ โทษของความขี้เกียจเป็นต้น  คำฮิตติดหูคือ “อย่าเห็นแก่ตัว” ท่านเน้นย้ำอยู่เสมอ เรื่องความไม่เห็นแก่ตัวนี้ไม่ได้อบรมกันด้วยการบอกกล่าวเท่านั้น  ท่านจะนำพวกเราทำงานหนักอยู่เสมอเช่นขุดดิน  ลอกคูคลองทางเดินเข้าหมู่บ้าน  ขุดสระน้ำ  ซ่อมแซมถนน  แทบทุกคืนวันศุกร์ เริ่มตั้งแต่หัวค่ำท่านจะนำพวกเราออกทำงานดังกล่าว โดยใช้ตะเกียงเจ้าพายุเป็นเครื่องให้ความสว่างในการปฏิบัติการ “เอาเหงื่อล้างอัตตา” ตามแบบฉบับของสวนโมกข์  ท่านย้ำบ่อยๆว่ากินข้าวของเขา ต้องรู้จักทำอะไรทดแทนบุญคุณ  นอกจากนี้กิจวัตรหลักของพวกเราอีกอย่างคือการเดินเท้าไปสวนโมกข์  ระยะทางประมาณ ๔-๕ กิโลเมตร ขาไปก็หอบหิ้วของไปช่วยเสริมที่โรงครัวสวนโมกข์  ทั้งอาหารแห้งและพืชผักที่มี  โดยเฉพาะดอกขี้เหล็กที่มีมากที่วัดของเรา  ขากลับบางทีก็มีสะตอจากสวนโมกข์ติดมือมาเลี้ยงพระที่วัดชยาราม  กิจกรรมที่ทำที่สวนโมกข์ได้แก่การจัดเรียงหินตามทางเดินขึ้นเขาพุทธทอง  เทปูนในงานก่อสร้างตามจุดต่างๆ  รวมทั้งโรงมหรสพทางวิญญาณที่เพิ่งจะก่อสร้างในตอนนั้น การไปล่องแพไม้ซุงมาใช้ในการก่อสร้างพวกเราก็ได้ทำ การเลื่อยไม้ซุงเป็นแผ่นไม้กระดานก็ได้ทำ  แรกๆก็เมื่อยแขนมาก  แต่นานๆเข้าก็เริ่มชิน 

        นอกจากการต้องมีวินัย และต้องทำงานหนัก หลากหลายรูปแบบแล้ว  ทุกวันพระเด็กวัดชยารามต้อถือศีลอุโบสถ งดอาหารเย็น จำได้ว่ามีครั้งหนึ่งผมอ่อนเพลียมากจนแทบจะออกไปเดินปิ่นโตตอนเช้าไม่ไหว  อาหารเย็นของพวกเราในวันปกติเป็นเมนูที่หลายท่านอาจไม่เชื่อ  หรือฟังแล้วอาจรู้สึกผะอืดผะอมขึ้นมาก็ได้  แต่รับรองว่าเป็นเรื่องจริง  ไม่ได้ปรุงแต่งครับ  คือเราจะเอากับข้าวทุกอย่างที่เหลือมาจากตอนกลางวันเทรวมกันในหม้อใบใหญ่ มีทุกอย่าง เช่นน้ำพริก แกงจืด แกงเผ็ด ของทอด และยำสารพัดชนิด นำมาต้มรวมกัน  บางทีก็คั้นกะทิใส่เพิ่มและเติมน้ำปลาเข้าไปด้วย  เราเรียกกันว่า “แกงรวม” เสร็จสรรพก็ตักราดข้าวแบ่งปันกันกินในหมู่อารามบอยของวัดนี้ .. กินเพื่ออยู่  กินเพื่อรับประโยชน์จากการกินครับ


    ควันหลง “ตีแตกอีสาน”

    4 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 5 มีนาคม 2009 เวลา 6:11 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
    อ่าน: 1309

        ผมเปิดลาน “หญ้าปากคอก” หวังจะให้เป็นแหล่งบอกเรื่องควรรู้  น่ารู้  จำเป็นตัองรู้ ในด้านต่างๆที่หลายคน ไม่ค่อยรู้ .. แต่ยังครับ ขอเวลาอีกหน่อย .. เริ่มบันทึกแรกด้วยการตอบโจทย์ “เจ้าเป็นไผ” และเข้ามา Update ข้อมูลในเรื่องดังกล่าวเป็นระยะ ตามจังหวะและโอกาสที่ว่าง

       บันทึกที่สองนี้ ก็ยังไม่เกี่ยวอะไรกับ “หญ้าปากคอก” ครับ .. ยังอยู่ในอาการอยากถ่ายทอดเรื่องราวที่สวนป่า เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา  แต่เวลาจำกัดก็จะขอเล่าด้วยภาพถ่ายดู  เป็นการลองทำให้คุ้นเคยกับเครื่องใช้ในบ้านใหม่แห่งนี้ด้วยครับ

       เขาเรียกไปทานข้าวแล้วครับ … แล้วจะมาขยับต่อ .. โปรดคอยติดตาม ……………..

     

      

     

    สวัสดีครับ

    ยังมีต่อ โปรดคอยติดตามครับ

    อิ อิ อิ


    Handyman … เจ้าเป็นไผ (๑)

    16 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 27 กุมภาพันธ 2009 เวลา 4:50 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
    อ่าน: 1424

        สวัสดีครับ

        สงสัยว่าจะมาต่อเติมเรื่องยาวเกิน Limit เลยมีผลให้ข้อมูลเก่าในบันทึกนี้หายเกลี้ยงครับ  ลองใหม่ 2-3 รอบก็มาเจออาการเดิมอีก จึงขอตัดเป็นตอน ๑   ๒   ๓ ดีกว่า  แต่ด้วยข้อจำกัดเรื่องเวลาและภารกิจเร่งด่วน ขอนำของเดิมๆมาวางแบบไม่ Edit ไปก่อนครับ  เริ่มจากบทกลอน บ้านนอก 3 ตอน ที่เขียนไว้นานแล้วดังนี้

       ๑.

            ฉันเป็นคน  บ้านนอก  ขอบอกกล่าว
    มีเรื่องราว  มากมาย  ให้นึกถึง
    กาลเวลา  ล่วงไป  ใฝ่คนึง
    สิ่งที่ตรึง  ใจมั่น  นั้นมากมาย

       สมัยนั้น  เราอยู่กัน  ฉันท์น้องพี่
    มากน้ำใจ  ไมตรี  มิเหือดหาย
    ไร้ไฟฟ้า  ไร้ประปา  แต่สบาย
    เราอยู่ได้  กับธรรมชาติ  อันอุดม

       อยากกินปลา  เราไปหา  ตามท้องทุ่ง
    เต็มตะกร้า  ล้นกระบุง  ก็สุขสม
    แบ่งจ่ายแจก  ลุงป้า  น่านิยม
    เป็นสังคม  แห่งน้ำใจ  อยู่ไกลเมือง

       ทั้งทำนา  ปลูกข้าว  และทำไร่
    จวบต้นข้าว  ออกรวงใหญ่  ชูช่อเหลือง
    ต่างช่วยกัน  เก็บเกี่ยวไป  ไม่สิ้นเปลือง
    ไม่มีเรื่อง  จ่ายค่าจ้าง  เป็นรางวัล

       ยังมีอีก  มากมาย  หลายตัวอย่าง
    ยังจำได้  ไม่จืดจาง  ใช่เรื่องฝัน
    ชักอ่อนล้า  ด้วยกรำงาน  มาทั้งวัน
    วันนี้พอ  ก็แล้วกัน  นะ บ๊าย บาย !

    ๒.

       ขอเรียงร้อย  เรื่องบ้านนอก  มาบอกต่อ
    อีกมากมาย  หลายข้อ  อยากเฉลย
    คนกรุงเขา  อาจค่อนว่า  พวกข้าเชย
    ขอเปิดเผย  สิ่งที่พบ  ประสบมา

        ฉันเป็นลูก  สุดท้อง  ของพ่อแม่
    ใครคิดมา  รังแก  ยากนักหนา
    กลัวพี่ชาย  จะทำร้าย  เจ็บกายา
    หากขืนมา  ซ่ากะเรา  เขาต้องเจอ

        แท้พี่เรา  ใช่นักเลง  เก่งตีต่อย
    อารมณ์ขัน  ไม่น้อย  สนุกเสมอ
    ใครมาดี  พี่จะรัก  เหมือนเพื่อนเกลอ
    ยิ้มหัวเราะ  อยู่เสมอ  ประทับใจ

        พี่กะฉัน  จะแบ่งปัน  แทบทุกสิ่ง
    ฉันเรียนรู้  ความจริง  ไม่สงสัย
    รู้ว่ารัก  ห่วงกัน  นั้นซึ้งใจ
    จนเติบใหญ่  ได้มีธรรม  ช่วยนำตน

        พ่อกะแม่  เป็นอย่างไร  ใครๆรู้
    เป็นแบบอย่าง  คนเชิดชู  ทุกแห่งหน
    แม่ขยัน  พ่อซื่อสัตย์  และอดทน
    การสั่งสอน  พร่ำบ่น  ไม่ค่อยมี

        ทำให้เห็น  เป็นให้ดู  เสียส่วนมาก
    ถึงพบความ  ลำบาก  พ่อไม่หนี
    เป็นผู้นำ  ชวนชาวบ้าน  ลูกหลานมี
    พัฒนา  ท้องถิ่นที่  กำเนิดกาย

        สหายพ่อ  เพื่อนร่วมใจ  คือหลวงพ่อ
    ทั้งบ้านวัด  จึงสานต่อ  ไม่ขาดสาย
    ช่วยนำพา  ผู้คน  พ้นอบาย
    ยังมีอีก  มากมาย  คอยติดตาม … นะจ๊ะ

    ๓.

           กลอนบ้านนอก  ตอนนี้  ตอนที่สาม
    ขอต่อความ  ตามเพลง  บรรเลงอักษร
    อาจอ่อนด้อย  อรรถรส  แห่งบทกลอน
    วานได้สอน  อย่าได้ซ้ำ  ขอน้ำใจ

        ตอนเป็นเด็ก  เมื่อยามเล็ก  ฉันจำได้
    คืนเดือนหงาย  แจ่มหล้า  ท้องฟ้าใส
    กลุ่มหนุ่มสาว  “อุก“เกี่ยวข้าว  ของเราไป
    ทั่วผืนนา  กว้างใหญ่  แอบเกี่ยวรวง

        ขะโมยข้าว  จากนาเรา  ใช่หรือไม่
    ใครตอบ”ใช่”  ก็ผิดไป  อย่างใหญ่หลวง
    แท้เป็นเรื่อง  ของน้ำใจ  ใช่หลอกลวง
    แรงใจกาย  ทั้งปวง  แอบช่วยเรา

        พอดึกนิด  เขาเริ่มคิด  ทำตามแผน
    ส่งตัวแทน  มาบอกใบ้  ให้พวกเขา
    ว่าไม่นาน  จะเข้ามา  ที่บ้านเรา
    จะรับเขา  อย่างไร  ให้รีบทำ

        ในไม่ช้า  พวกเขามา  ถึงที่บ้าน
    ร่วมดื่มกิน  เล่านิทาน  เรื่องขำขัน
    จวบเดือนต่ำ  จึงได้ร่ำ  ลาจากกัน
    ไปพักนอน  อย่างสุขสันต์  ที่บ้านตน

        เขาเล่นกัน  อย่างไร  เห็นไหมท่าน
    เล่นไปกับ  การทำงาน  และมีผล
    ได้ผูกรัก  เอาไว้ใน  ใจผู้คน
    ทุกหมู่บ้าน  ทั้งตำบล  ดุจครอบครัว.



    Main: 0.20770597457886 sec
    Sidebar: 0.072763919830322 sec